อาบาชิริ (Abashiri, 網走) เป็นเมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของฮอกไกโด ตัวเมืองมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ Drift Ice ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการคุมขังนักโทษทางการเมืองที่เมืองแห่งนี้
สำหรับบทความนี้ ผมจะมาแนะนำประวัติความเป็นมาของเมืองให้ทุกคนทราบโดยคร่าวๆ และจะไปว่ากันถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของเมืองอาบาชิริ (Abashiri)
ที่มาของชื่อ “อาบาชิริ” มาจากภาษาไอนุ แต่ว่านักภาษาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารากศัพท์ภาษาไอนุของคำนี้มาจากคำไหนกันแน่ครับ
เมืองอาบาชิริไม่ได้มีประวัติความเป็นมายาวนานเสียเท่าใดนัก เพราะญี่ปุ่นเพิ่งจะผนวกเกาะฮอกไกโดในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เท่านั้นเองครับ โดยอาบาชิริมีสถานะเป็นหมู่บ้านในช่วงทศวรรษ 1870 และได้กลายเป็นเมืองในช่วงปี ค.ศ.1902
อย่างไรก็ดีรัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์จากเมืองนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1890 กล่าวคือได้มีการสร้างคุกขนาดใหญ่ขึ้นที่นี่เพื่อคุมขังนักโทษทางการเมืองโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับรัฐบาลซาร์แห่งรัสเซียที่เนรเทศนักโทษเหล่านี้ไปยังไซบีเรียครับ
นักโทษที่ถูกเนรเทศมามีมากกว่าพันคน ซึ่งด้วยสภาพที่แร้นแค้นยากลำบากในเมืองที่ห่างไกล ทำให้กว่า 200 คน (หรือมากกว่าต้องจบชีวิตลงที่นี่ครับ)
ถึงกระนั้นช่วงหลังสงคราม อาบาชิริก็ได้พัฒนาเป็นเมืองธุรกิจประมงที่สำคัญของเกาะฮอกไกโด และยังมีการท่องเที่ยวที่บูมขึ้นมาด้วย สองสิ่งนี้ได้เปลี่ยนโฉมอาบาชิริให้กลายเป็นเมืองชายทะเลอันเงียบสงบแทนครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองอาบาชิริทำอย่างไร?
จากเมืองทั่วไปในญี่ปุ่น
บิน + รถบัส – สนามบินที่ใกล้เมืองอาบาชิริมากที่สุดคือ Memanbetsu Airport ซึ่งรองรับเที่ยวบินจากโตเกียว โอซาก้า ซัปโปโร (New Chitose/Okadama) และนาโกย่า ดังนั้นคุณสามารถบินมาลงที่นี่ และนั่งรถบัสไปยังอาบาชิริได้จากสนามบินโดยตรงครับ
ทว่าในกรณีที่คุณอยู่ในฮอกไกโดอยู่แล้ว คุณจะมีตัวเลือกดังต่อไปนี้
รถไฟ – คุณสามารถนั่งรถไฟ Limited Express (Okhotsk) ไปยังอาบาชิริได้โดยตรงจากซัปโปโรและอาซาฮิคาวะ (หรือแม้กระทั่งจาก Kamikawa Station ถ้าคุณไปเที่ยวโซอุนเคียวออนเซ็นมา)
แต่ข้อเสียคือมีวันละเที่ยวเท่านั้น และจะออกจากทั้งสองเมืองในตอนเช้า ถ้าคลาดไปแล้ว คุณจะต้องจองแบบซับซ้อน นั่นคือต้องเปลี่ยนรถไฟ 1-2 ครั้งครับ
รถบัส – Abashiri Bus ให้บริการรถบัสโดยตรงจากซัปโปโรไปยังอาบาชิริ โดยเวลาที่ใช้จะมากกว่ารถไฟสาย Okhotsk แบบไม่เปลี่ยนรถเล็กน้อย แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าครับ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว ถ้าคุณไม่ได้ซื้อ Japan Rail Pass มาครับ
เช่ารถขับ – ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว คุณสามารถเช่ารถที่ซัปโปโรหรืออาซาฮิคาวะและขับไปที่อาบาชิริได้ครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของ Abashiri Tourist Association โปรดตรวจสอบที่ต้นทางอีกครั้งหนึ่งก่อนออกเดินทาง เพราะว่าเส้นทางรถไฟหรือรถบัสนั้นเปลี่ยนได้ตลอดครับ
ไปเที่ยวอาบาชิริช่วงไหนดี?
อาบาชิริเที่ยวได้ทุกฤดู เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าคุณต้องการจะมาชมอะไรที่เมืองแห่งนี้ครับ
ถ้าต้องการมาชม Drift Ice แน่นอนว่าคุณจะต้องมาในช่วงฤดูหนาว (หลังจากปลายเดือนมกราคม) แต่ถ้าอยากจะมาชมดอกไม้ภายใต้อากาศที่เย็นสบาย ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พักที่นี่ ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักอาบาชิริของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. แหลมโนโตโระ
แหลมโนโตโระ (Cape Notoro) เป็นแหลมที่ยื่นเข้าไปในทะเลโอค็อตสค์ (Sea of Okhotsk) โดยที่ปลายสุดของแหลมนั้นจะมีประภาคารที่ส่องสว่างในช่วงกลางคืนตั้งอยู่ครับ
ที่นี่เป็นจุดชมวิวอันดับ 1 ของอาบาชิริอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคุณจะเห็นทั้งทะเลสาบโนโตโระ ทะเลโอค็อตสค์ แนวภูเขาชิเรโตโกะ ได้อย่างชัดเจน แถมในช่วงฤดูหนาว ที่นี่ก็เป็นจุดชมวิวทะเลน้ำแข็ง (Drift Ice) ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่บริษัทโตโยต้าเคยใช้ที่นี่ถ่ายทำโฆษณามาหลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับซีรีส์ต่างๆ ที่ใช้ที่นี่เป็นฉากหลังครับ
2. ชมปรากฏการณ์ Drift Ice
ปรากฏการณ์ Drift Ice หรือริวเฮียว (Ryuhyo) คือการที่น้ำแข็งปกคลุมส่วนบนของท้องทะเลโอค็อตสค์ในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นท้องทะเลจะกลายเป็นสีขาวสุดสายตา ซึ่งแปลกตาและสวยงามไปพร้อมๆ กันครับ
วิธีการชมปรากฏการณ์นี้ที่อาบาชิริที่ดีที่สุดคือการนั่งเรือตัดน้ำแข็งเข้าไปชมโดยตรง ซึ่งจะใช้เวลาชมประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนค่าชมอยู่ที่ 4,000 เยนต่อคนครับ วิธีนี้มีข้อดีคือได้เห็นแน่ๆ เกือบจะ 100% เพราะเรือจะพาคุณเข้าไปในจุดที่เกิดปรากฏการณ์นี้เลยครับ ถ้าสนใจก็จองได้ผ่านลิงค์นี้ (MS Aurora)
อีกวิธีหนึ่งคือนั่งรถไฟชมวิว Ryuhyo Monogatari Train ซึ่งจะวิ่งเลียบชายหาดจากอาบาชิริไปยังชิเรโตโกะ-ชาริ ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 970 เยน ซึ่งถูกกว่านั่งเรือมาก แต่ไม่การันตีว่าจะเห็นทะเลน้ำแข็ง ถึงกระนั้นคุณจะเห็นแนวภูเขาอันสวยงามของชิเรโตโกะแน่ๆ ครับ
ท้ายที่สุดถ้าคุณไม่ได้มาในช่วงฤดูหนาว แต่อยากเห็นของจริงและศึกษาว่าทะเลน้ำแข็งนี้เป็นอย่างไร คุณไปชมได้ตลอดที่ Okhotsk Ryuhyo Museum ในเมืองอาบาชิริครับ
3. คุกอาบาชิริ
คุกอาบาชิริ (Abashiri Prison) เป็นคุกขนาดใหญ่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้คุมขังนักโทษทางการเมืองในช่วงยุคเมจิ ปัจจุบันอาคารที่เคยเป็นคุกเมื่อร้อยกว่าปีก่อนได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปเรียบร้อยแล้ว (แต่คุกที่ใช้ขังนักโทษก็ยังอยู่แต่ย้ายไปสถานที่ใหม่)
คุณสามารถเข้าชมสถานที่แห่งนี้เพื่อศึกษาว่าในอดีต เหล่านักโทษเคยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เช่นเดียวกับระบบการไต่สวนที่เคยตั้งอยู่ในคุกแห่งนี้ด้วยครับ เพราะฉะนั้นใครที่ชอบประวัติศาสตร์ หรือเกมอย่าง Prison Architect ที่นี่ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
4. ชมสวนดอกไม้ต่างๆ
สวนโอมาการิ (Omagari Lakeside Park) ในอดีตเคยเป็นฟาร์มของคุกอาบาชิริที่ให้เหล่านักโทษทำงาน แต่ในปี ค.ศ.2005 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ ด้วยการปลูกต้นทานตะวันหลายล้านต้นในพื้นที่กว่า 80 Hectare (ประมาณ 500 ไร่) ครับ
ดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งอยู่สองช่วง ช่วงแรกจะอยู่ที่ครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม ส่วนอีกช่วงจะอยู่ที่ครึ่งหลังของเดือนกันยายน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตครับ ตลอดสองช่วงนี้ คุณสามารถมาชมวิวถ่ายรูปกับดอกทานตะวันเหล่านี้ได้ครับ
อีกหนึ่งสวนที่สวยและดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากคือสวน Higashimokoto Shibazakura Park ซึ่งเป็นสวนดอกชิบะซากุระ (moss phlox) ซึ่งจะออกดอกสีม่วงและสีบานเย็นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนครับ
5. ทะเลสาบโนโตโระ
ทะเลสาบโนโตโระ (Lake Notoro) เป็นทะเลสาบที่โด่งดังเพราะผืนน้ำถูกปกคลุมด้วยต้นกลาสเวิร์ต (Glasswort) ซึ่งใบของมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในช่วงเดือนกันยายน เกิดเป็นทัศนียภาพอันสวยงามที่ยากจะหาชมได้ครับ
ทั้งนี้การเดินชมทำได้อย่างง่ายดายมาก เพราะมีสะพานไม้เข้าไปถึงกลางทะเลสาบ จากตรงนั้นจะดูเหมือนว่าทุ่งสีแดงอยู่รายรอบตัวคุณครับ
6. ตกปลาที่ทะเลสาบอาบาชิริ
ทะเลสาบอาบาชิริ (Lake Abashiri) นั้นจะแข็งเป็นน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์แบบในช่วงฤดูหนาว เพราะฉะนั้นชาวญี่ปุ่นมักจะมาตั้งเต้นท์ตกปลาบนทะเลสาบครับ
ขั้นตอนการตกก็ไม่ได้ซับซ้อน ขั้นแรกก็จะใช้สว่านเจาะพื้นน้ำแข็งของทะเลสาบให้เป็นรู หลังจากนั้นก็หย่อนเบ็ดลงไปตกปลา smelt ที่มีอยู่อย่างมากมายครับ พอตกขึ้นมาได้ก็นำมาปรุงอาหารแบบสดๆ ครับ
7. ชมนกและสัตว์อื่นๆ
ด้วยความที่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย ทำให้ธรรมชาติรายล้อมเมืองอาบาชิริอุดมสมบูรณ์มาก ที่นี่จึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์มากมายครับ
จุดที่น่าสนใจในการชมสัตว์ได้แก่
Lake Tofutsu – ทะเลสาบโทฟุตสึเป็นทะเลสาบสวยที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ แต่ไฮไลท์ของที่นี่คือเหล่าหงส์สีขาว ซึ่งมักจะมารวมตัวกันที่นี่ในช่วงเดือนตุลาคม คุณสามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดทีเดียวครับ
ส่วนช่วงอื่นของปี ทุ่งหญ้าใกล้กับทะเลสาบก็จะมีม้าโพนี่และม้าอีกหลายชนิดที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ให้ชมครับ
Yobito Tancho Yuhodo – จุดชมนกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอาบาชิริ ตลอดเส้นทาง 7 กิโลเมตรจะมีกระดานไม้ปูอย่างดีให้เดินง่ายครับ
Komaba Kinohiroba Park – สวนขนาดใหญ่ใกล้เมืองที่มีกระรอกฮอกไกโดแสนน่ารัก และนกต่างๆ ให้ชมครับ
Nature Cruise – คุณสามารถนั่งเรือออกไปชมสัตว์ทะเลได้ ซึ่งมีตั้งแต่วาฬเพชฌฆาต โลมา แมวน้ำไปจนถึงนกทะเลต่างๆ ครับ
8. ชมวิวมุมสูงที่เท็นโตซัง
อาบาชิริเป็นเมืองที่สวยมาก หลายคนน่าจะอยากไปชมวิวมุมสูง ซึ่งคุณชมได้ที่เท็นโตซัง (Tentozan) จุดชมวิวเก่าแก่ที่มีคำกล่าวว่าพอขึ้นมาแล้วเหมือนอยู่บนเมืองสวรรค์เลยทีเดียว
จากจุดนี้คุณจะเห็นตัวเมืองได้แบบ 360 องศา และสถานที่ท่องเที่ยวหลักอย่างเช่นทะเลสาบอาบาชิริ ทะเลสาบโนโตโระ ไปจนถึงทะเลโอค็อตสส์ และแนวภูเขาอันตระการตาของชิเรโตโกะครับ
9. ลองชิมซีฟู้ด
เนื่องจากอาบาชิริเป็นหมู่บ้านชาวประมงมาตั้งแต่ในอดีต ชาวเมืองจึงภาคภูมิใจในรสชาติของซีฟู้ดของตนเองมาก จนถึงกับบอกว่าซีฟู้ดจากภูมิภาคของพวกตนยอดเยี่ยมที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งจากประสบการณ์ของหลายๆ คนก็พบว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด
ช่วงที่ซีฟู้ดคุณภาพดีที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงฤดูหนาวไม่มีการทำประมง เนื่องจาก อันตรายจาก Drift Ice) เมนูที่อยู่ในระดับ Top List ที่คุณไม่ควรพลาดคือปูขน อุนิ ไปจนถึงปลาน้ำลึกอย่างสึริคินกิ (Tsurikinki) ที่มีให้ชิมที่เมืองแห่งนี้เท่านั้นครับ
References
- Abashiri Tourism Association