หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น14 ที่เที่ยวอาคิตะ (Akita) และกิจกรรมน่าสนใจที่คุณไม่ควรพลาด

14 ที่เที่ยวอาคิตะ (Akita) และกิจกรรมน่าสนใจที่คุณไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

อาคิตะ (Akita) เป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่เกือบตะวันออกสุด และรายล้อมไปด้วยพื้นที่ของจังหวัดอาโอโมริ มิยางิ อิวาเตะ และยามากาตะ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) ครับ

ในแง่การท่องเที่ยว อาคิตะเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดของญี่ปุ่น โดยอยู่ใน 5 อันดับจากท้ายในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะฉะนั้นที่นี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ในกรณีที่คุณเบื่อกับสถานที่เดิมๆ ที่มีคนไปมากจนเริ่มสูญเสียความเป็นญี่ปุ่นไปแล้วครับ

ในบทความนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับจังหวัดอาคิตะโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่เที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

ความเป็นมาของจังหวัดอาคิตะ (Akita)

อาคิตะถือว่าเป็นดินแดนอันห่างไกลสำหรับชาวญี่ปุ่นโบราณ เพราะอยู่ไกลจากเมืองหลวงและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างนาราและเกียวโตมาก ดังนั้นที่นี่จึงมีการพัฒนาที่แตกต่างกับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่นครับ ที่นี่จึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่างๆ รวมไปถึงเหล่าอนารยชนมาจนถึงสมัยศตวรรษที่ 7 เลยทีเดียว

ในปี ค.ศ.658 รัฐบาลยามาโตะได้ส่งแม่ทัพอย่างอาเบะ โนะ ฮิราฟุ (Abe no Hirafu) นำกองทัพมาปราบปรามพวกเอโซะ (Ezo) ที่อาศัยอยู่ที่ดินแดนที่เป็นจังหวัดอาคิตะในปัจจุบัน และได้ตั้งป้อมปราการขึ้นในบริเวณนี้ ซึ่งตัวป้อมนี้เองที่ได้กลายเป็นเมืองอาคิตะ (Akita City) ในเวลาต่อมา

Yoroibata Dam
by Shirakami/ShutterStock

หลังจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้ใช้เมืองแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในการรบกับพวกเอโซะ รวมไปถึงชนพื้นเมืองอื่นที่ก่อกบฏด้วย ตัวจังหวัดได้ถูกเปลี่ยนมือไปมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในสมัยเอโดะได้เป็นพื้นที่ปกครองของไดเมียวตระกูลซากาเตะ (Sakate Clan)

ตระกูลซากาเตะนั้นเป็นนักพัฒนา ตลอดเวลาเกือบ 3 ศตวรรษที่พวกเขาได้ปกครองอาคิตะ ตัวจังหวัดได้กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกและเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นครับ

ปราสาทโยโกเตะ (Yokote Castle)
ปราสาทโยโกเตะ (Yokote Castle) ซึ่งเคยโดนเผาราบไปแล้วในช่วงสงครามโบชิน แต่ได้รับการสร้างใหม่ในปัจจุบัน by yspbqh14/ShutterStock

ในช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐบาลเมจิล้มเลิกระบอบไดเมียว อาคิตะจึงได้กลายเป็นเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของประเทศ เพราะเป็นพื้นที่ไม่กี่แห่งที่มีน้ำมันที่สามารถพัฒนาต่อได้ แต่ก็นำเคราะห์มาให้ด้วย เนื่องจากที่นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการทิ้งระเบิดญี่ปุ่นช่วงสงคราม ทำให้ตัวเมืองอาคิตะได้รับความเสียหายมาก

หลังสงครามและดำเนินมาถึงปัจจุบัน อาคิตะได้กลายเป็นพื้นที่หลักของญี่ปุ่นสำหรับการทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมป่าไม้ การทำเหมืองแร่ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ผลิตน้ำมันไม่กี่แห่งที่ญี่ปุ่นมีในประเทศครับ

จังหวัดอาคิตะเป็นพื้นที่ปลูกข้าวอันอุดมสมบูรณ์
by Phuong D. Nguyen/ShutterStock

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปจังหวัดอาคิตะ (Akita) ทำอย่างไร?

เมืองอาคิตะ (Akita City) เชื่อมกับโตเกียวด้วย Akita Shinkansen ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งครับ

อย่างไรก็ดีใครที่อยากไปชมศิลปวัฒนธรรมของอาคิตะนั้น คุณสามารถเริ่มทริปของคุณที่เมืองโอดาเตะ (Odate) ได้เช่นกัน วิธีการเดินทางจากโตเกียวไปเมืองนี้ที่ง่ายที่สุดคือ การนั่ง Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานีโมริโอกะ (Morioka) เมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ หลังจากนั้นต่อ Shuhoku Bus ไปยังเมืองโอดาเตะครับ

ส่วนใครที่อยากจะชมธรรมชาตินั้น การเริ่มทริปอาคิตะที่สถานีทากะโนสุ (Takanosu Station) ที่เมืองคิตะอาคิตะ (Kitaakita) ถือว่าน่าสนใจทีเดียว

ทั้งนี้คุณเดินทางไปเมืองนี้จากโตเกียวได้ด้วยการนั่ง Akita Shinkansen ไปลงสถานี Kakunodate Station แล้วต่อรถไฟสาย Akita Nairiku Line Railway ครับ ซึ่งช่วงหลังวิวสองข้างจะสวยงามมาก โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงครับ

Akita Nairiku Line Railwa
by weniliou/ShutterStock

ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Visit Akita เว็บไซต์ทางการของ Akita Inu Tourism ผมแนะนำให้ตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ตลอดครับ

1. คาคุโนะดาเตะ

คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) เป็นหมู่บ้านที่ได้ชื่อเป็น Little Kyoto ของภูมิภาคโทโฮคุ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องบ้านพักของซามูไรในอดีตที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และสวยงามครับ

คาคุโนะดาเตะ ที่เที่ยวอันดับ 1 จังหวัดอากิตะ
by amosfal/ShutterStock

นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรมแล้ว คาคุโนะดาเตะยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมาก โดยต้นซากุระจะเรียงรายตอน 2 กิโลเมตรริมแม่น้ำฮิโนะคิไนครับ

คาคุโนะดาเตะ
by norikazu/ShutterStock

นักท่องเที่ยวมักจะมาเช่าชุดกิโมโนแล้วเดินสัมผัสบรรยากาศในหมู่บ้าน หรือว่าอาจจะนั่งรถสองล้อคนลากเพื่อให้ดื่มด่ำกับความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมครับ

2. ทะเลสาบทาซาวะ

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) เป็นทะเลสาบที่ครองแชมป์เรื่องความลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยลึกถึง 423 เมตรครับ

Lake Tazawa, Akita
by eye-blink/ShutterStock

น้ำในทะเลสาบนั้นเป็นสีน้ำเงินใสสวยงาม ส่วนวิวโดยรอบก็เป็นภูเขาที่มีผืนป่าปกคลุม ซึ่งจะสวยมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นกันครับ ที่นี่จึงเป็นทะเลสาบยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวมักมาล่องเรือกันครับ

3. ภูเขาโมริโยชิ

ภูเขาโมริโยชิ (Mt.Moriyoshi) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอาคิตะที่คุณสามารถพูดได้ว่าสวยงามทุกฤดู เพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อนนั้นจะมีดอกไม้ป่าที่จะบานสะพรั่งตามธรรมชาติซึ่งสวยงามมาก ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีใบไม้เปลี่ยนสีอันตระการตาครับ

ภูเขาโมริโยชิ (Mt.Moriyoshi)
by osap/ShutterStock

ส่วนช่วงฤดูหนาวนั้น ต้นไม้ที่นี่จะเกิดปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดหิมะ (Juhyo) เช่นเดียวกับที่ภูเขาซาโอะ ไปทั่วทั้งบริเวณภูเขา ซึ่งคุณสามารถมาชมได้อย่างใกล้ชิดเลยครับ

ภูเขาโมริโยชิ
by wee-to/ShutterStock

เช่นเดียวกับภูเขาชื่อดังอื่นๆ ของญี่ปุ่น ที่นี่มีกอนโดลาให้บริการด้วยในราคาไปกลับ 2,000 เยน ทำให้คุณไม่ต้องเดินหรือปีนเขาด้วยตัวเองครับ วิวจากกอนโดลาก็สวยสะดุดตาไม่แพ้ภูเขาใดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ส่วนใครที่ชอบเทรกกิ้งหรือปีนเขา ที่นี่มีหลายจุดให้เดินได้ครับ โดยระยะทางจะอยู่ที่ 4.5-13 กิโลเมตรครับ แต่ถ้าคุณชอบเล่นสกีหรือกิจกรรมฤดูหนาว แน่นอนว่าทำได้ในส่วนของ Ani Ski Resort ครับ

4. ทะเลสาบไทเฮ

ทะเลสาบไทเฮ (Lake Taihei) เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการสร้างเขื่อนโมริโยชิ รอบๆ ทะเลสาบมีผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสีอย่างสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ

ทะเลสาบไทเฮ
by KPG-Payless/ShutterStock

เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวมักจะมาล่องเรีอกันที่นี่กัน ซึ่งค่าบริการจะอยู่ที่ 1,500 เยนครับ

5. ชมสวนดอกไม้ต่างๆ

อาคิตะนั้นมีสวนดอกไม้อยู่หลายแห่ง ซึ่งคุณสามารถไปเยี่ยมชมได้อาทิเช่น

Unshoji Temple
by yspbqh14/ShutterStock
  • วัดอันโชจิ (Unshoji Temple) – วัดในเมืองโอกะ (Oga) ซึ่งมีสวนดอก hydrangea ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมากว่า 15 ปี ช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลายเดือนกรกฎาคมครับ ยิ่งตอนกลางคืนนั้นจะยิ่งสวย ถึงกับได้รับสมญาว่า Blue Heaven เลยครับ
  • Tonose Fuji no Sato – ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองโอดาเตะ ภายในสวนมีต้น wisteria ประมาณ 80 ต้นที่รายรอบไปด้วยนาข้าว ซึ่งให้บรรยากาศที่สวยงามทีเดียวครับ
  • Ishida Rose Garden – สวนกุหลาบขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้มากถึง 500 ชนิด ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน และตุลาคมครับ
  • Omori Yokote Park – ตั้งอยู่ในเมืองโยโกเตะ มีดอกชิบะซากุระ หรือ Moss Pink ให้ชมครับ
Omori Yokote Park
by osap/ShutterStock

6. ชิรากามิ ซันจิ

ชิรากามิ ซันจิ (Shirakami Sanchi) เป็นแนวภูเขาที่เป็นพรมแดนระหว่างอาคิตะและอาโอโมริ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องป่าบีชโบราณที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนสีให้ได้ชมกันอย่างงดงามมากครับ

Shirakami Sanchi, Akita
by eye-blink/ShutterStock

อย่างไรก็ดีที่นี่ไม่ได้มีดีแค่นั้น จุดอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่

JUniko
by eye-blink/ShutterStock
  • Juniko – ทะเลสาบเล็กๆ สิบสองแห่งที่อยู่ใกล้กัน และเชื่อมด้วยทางเดินไม้คุณภาพเยี่ยม ซึ่งสวยเป็นพิเศษในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนครับ ใกล้ๆ กับหมู่ทะเลสาบมีโตรกชื่อ Nihon Canyon ซึ่งเป็นแกรนด์แคนยอนไซส์เล็กครับ
  • Dairakyo Gorge – โตรกอันสวยงามที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชั้นยอด
  • Anmon Falls – น้ำตกสวยสามแห่งแห่งชิรากามิ ซันจิ

ในการมาเที่ยวชิรากามิ ซันจินั้น คุณจะต้องเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่ (ตามเส้นทางเทรค) เพราะฉะนั้นเรื่องรองเท้าสำคัญมากครับ

7. นั่งรถไฟชมวิว

อาคิตะนั้นมีเส้นทางรถไฟชมวิวหลักๆ ของสองเส้นด้วยกัน ได้แก่

  • Akita Nairiku Line – เส้นนี้ผมได้เขียนถึงไปแล้วด้านบน วิวของสองข้างทางจะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะจะตัดผ่านแนวภูเขาและผืนป่าแสนสวยของอาคิตะครับ
  • Yuri Kogen Railway – หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Chokai Sangoku Line เป็นเส้นทางรถไฟระยะสั้นระหว่างเมืองยูโกฮอนโจกับเมืองยาชิมะ ซึ่งมีความยาวเพียง 23 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เรื่องวิวนั้นสวยแบบตราตรึง เพราะผ่านภูเขาโชกาอิ (Mt.Chokai) ทุ่งดอกไม้ นาข้าวของจังหวัดอาคิตะครับ
วิวสองข้างทางของ Yuri Kogen Railway by yspbqh14/ShutterStock

8. ชมสุนัขสายพันธุ์อาคิตะ

สุนัขสายพันธุ์อาคิตะ (Akita Dog) เป็นสิ่งที่น่าจะมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดแห่งนี้ก็เป็นได้ และเป็นความภาคภูมิใจของผู้คนในจังหวัดด้วยเช่นกัน

ในเมืองแห่งนี้จึงมีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้กับสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่ด้วย อย่างที่ Akita Dog Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสุนัขเหล่านี้โดยตรง

สุนัขสายพันธุ์อาคิตะ
by OlgaOvcharenko/ShutterStock

คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา รวมไปถึงสตอรี่ของฮาจิโกะ (Hachiko) สุนัขสายพันธุ์อาคิตะที่รอเจ้าของที่สถานีชิบูย่าเป็นเวลานานถึง 9 ปีหลังเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวนี้ได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกครับ และแน่นอนที่สุดคือได้พบกับสุนัขอาคิตะแบบตัวเป็นๆ อีกด้วย

ใกล้กับเมืองอาคิตะมีศาลเจ้าชื่อ Roken Shrine ที่อุทิศให้กับชิโระ (Shiro) สุนัขล่าเหยื่อของนายพรานชื่อซาดะโรคุ (Sadaroku) ครับ

เรื่องของทั้งสองนั้นมีอยู่ว่า ซาดะโรคุได้ถูกจับกุมเพราะโดนเข้าใจผิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐว่าล่าสัตว์ในจุดที่ไม่ให้ล่า ซาดะโรคุที่ถูกจับกุมจึงให้ชิโระกลับไปที่บ้านเพื่อไปนำเอกสารจากภรรยา แต่กว่าภรรยาจะเข้าใจว่าเจ้าสุนัขต้องการอะไรก็ใช้เวลานานมาก ท้ายที่สุดก็ไปไม่ทัน เพราะซาดะโรคุโดนประหารไปเสียก่อน

หลังจากนั้นชิโระจึงเห่าหอนอย่างเศร้าสร้อย มันหนีไปในภูเขาจนกระทั่งตายลงอย่างโดดเดี่ยว ราวกับว่าเทพเจ้าจะรับรู้ถึงความเศร้าและโกรธเกรี้ยวของมันจึงบันดาลให้ในเมืองมีภัยพิบัติ และคร่าชีวิตทุกคนที่ทำให้เจ้านายของมันตายครับ

หลังจากนั้นว่ากันว่าพวกซามูไรและเจ้าหน้าที่รัฐมักจะตกม้าอยู่เสมอ เมื่อผ่านภูเขาแถวนั้น ชาวบ้านจึงสร้างศาลเจ้าขึ้นบนภูเขาดังกล่าวครับ

9. ตามรอยวัฒนธรรมดั้งเดิมที่โอดาเตะและโคซากะ

นอกจากเป็นบ้านเกิดของสุนัขอาคิตะแล้ว เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ อย่างเช่น

  • Torigata Estate – บ้านพักของตระกูลโทริกาตะที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบเกียวโต ด้านในมีอาคารสไตล์ดั้งเดิมและสวนแบบญี่ปุ่นที่งดงามทั้ง 4 ฤดูครับ
  • Matsumine Shrine – ศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเหมือนกับที่จิจิบุ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ที่นี่จะอุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ครับ ตัวศาลเจ้านั้นอยู่กลางป่าเลย โดยเส้นทางสู่ตัวศาลเจ้าจะมีต้นสนซีดาร์ขนาดยักษ์เรียงรายกันไป และบรรยากาศดูน่าลึกลับ ทำให้นักเดินทางบางคนรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

ใกล้กับเมืองโอดาเตะคือเมืองโคซากะที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจเช่นกัน อย่างเช่น

Kosaka Mine Office
by linegold/ShutterStock
  • Kosaka Mine Office – อาคารสวยที่สร้างขึ้นในสมัยยุคเมจิ เพื่อใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทเหมืองแร่ที่เคยรุ่งโรจน์ในอาคิตะครับ
  • Korakukan Theater – โรงละครที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1910 เพื่อเป็นสถานที่ให้เหล่าคนงานได้ผ่อนคลาย ด้านนอกของโรงละครสร้างขึ้นด้วยศิลปกรรมตะวันตก ส่วนด้านในเป็นแบบญี่ปุ่นครับ ปัจจุบันก็ยังมีจัดการแสดงที่คุณสามารถเข้าชมได้อยู่ครับ

ค่าเข้าชมอยู่ที่ 2,200 เยน อ้างอิงจากเว็บไซต์ของโรงละครครับ

10. เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ

เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ (Yokote Kamakura Festival) เป็นเทศกาลเก่าแก่ที่จัดขึ้นในเมืองโยโกเตะ (ใกล้กับปราสาทเดิม) ในจังหวัดอาคิตะ ช่วงวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ของทุกปี

เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ
by yspbqh14/ShutterStock

ตามธรรมเนียมแล้วจะมีการสร้างบ้านหิมะ (เรียกว่าคามาคุระ ซึ่งคล้ายกับ igloo) แล้วในช่วงเย็นเด็กๆ จะเข้าไปอยู่ในนั้นและเชื้อเชิญให้ผู้ใหญ่เข้าไปในบ้านหิมะ พร้อมกับมอบขนมและอามะสาเก (เครื่องดื่มไร้แอลกฮออล์) ครับ นอกจากนี้รอบๆยังประดับประดาด้วยโคมไฟหิมมขนาดเล็กอีกจำนวนมากด้วย

เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ หนึ่งในที่เที่ยวอาคิตะที่คุณไม่ควรพลาด
by yspbqh14/ShutterStock

อย่างไรก็ดีถ้าคุณไปเที่ยวเมืองนี้ในช่วงอื่น คุณสามารถไปชมคามาคุระของจริงได้ที่ Kamakuran Hall ซึ่งเก็บรักษาบ้านหิมะไว้ในอุณหภูมิ -10 องศาตลอดทั้งปีครับ

11. นิวโตะออนเซ็น

นิวโตะออนเซ็น (Nyuto Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในผืนป่าอันบริสุทธิ์ของยอดเขานิวโตะ ด้วยความที่อยู่ในผืนที่ห่างไกล ทำให้ยังหลงเหลือธรรมเนียมออนเซ็นแบบดั้งเดิมของโทโฮคุอยู่ นั่นคือออนเซ็นแบบกลางแจ้งซึ่งไม่แยกหญิงชายครับ (แต่แบบแยกชายหญิงก็มีเช่นกัน)

นิวโตะออนเซ็น
by Piotr Milewski/ShutterStock

จุดที่สระน้ำร้อนตั้งอยู่นั้นจะมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก ดังนั้นถ้าอยากแช่ออนเซ็นแบบวิวสวยๆ ที่นี่คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

12. หมู่บ้านออนเซ็นอื่นๆ

อาคิตะเป็นจังหวัดที่มีหมู่บ้านออนเซ็นคุณภาพดีหลายแห่งนอกเหนือไปจากนิวโตะออนเซ็น ไม่ว่าจะเป็น

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen) – ออนเซ็นที่มีน้ำซึ่งมีสถานะความเป็นกรดมากที่สุดแห่งหนึ่ง (ph 1.1) และตัวน้ำพุร้อน (ก่อนที่จะปรับอุณหภูมิ) นั้นสูงถึง 98 องศา ที่นี่จึงชื่อเสียงเรื่องน้ำที่ใช้รักษาโรคต่างๆ ได้อย่างดีครับ

ทามากาวะออนเซ็น
by Bildagentur Zoonar GmbH/ShutterStock

โอกะออนเซ็น (Oga Onsen) – หมู๋บ้านออนเซ็นที่เป็นต้นกำเนิดของนามะฮาเกะ เทพเจ้าแห่งภูเขาที่มีใบหน้าคล้ายยักษ์ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งไดเมียวตระกูลซาตาเกะโปรดปรานมาก ในปัจจุบันเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวญี่ปุ่น เพราะน้ำของที่นี่มีสรรพคุณบำรุงผิวครับ

ยุเสะออนเซ็น (Yuze Onsen) – ออนเซ็นที่มีน้ำชั้นเลิศที่ช่วยเรื่องการประทินผิว และเป็นต้นกำเนิดของเมนูอาหารชั้นยอดของอาคิตะอย่างคิริตันโปครับ

13. ชมเทศกาลต่างๆ

อาคิตะเป็นจังหวัดที่มีเทศกาลและงานรื่นเริงมากมายไม่ต่างกับจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่น โดยงานที่น่าสนใจอย่างเช่น

Kanto Festival – เทศกาลใหญ่ที่จัดขึ้นที่เมืองอาคิตะ (Akita City) ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยชาวเมืองจะนำโคมไฟญี่ปุ่นไปประดับบนไม้ไผ่ท่อนใหญ่ แล้วเดินไปตามท้องถนน และยังมีการแสดงผาดโผนโดยใช้ไม้ประดับโคมไฟเหล่านี้ด้วยครับ

Kanto Festival เทศกาลใหญ่ของจังหวัดอาคิตะ
by Shihina/ShutterStock

Odate Shining Street – ในช่วงเดือนธันวาคม เมืองโอดาเตะมีจะมีประดับประดาดวงไฟทั้งหมด 900,000 ดวงตามถนนคนเดินเส้นสำคัญของเมือง ซึ่งสวยไม่แพ้ถนนโจเซนจิ โดริของเซนไดเลยครับ

Namahage Sedo Festival – จัดขึ้นที่เมืองโอกะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยชาวเมืองจะแต่งกายเป็นนามะฮาเกะ เทพเจ้าแห่งภูเขาที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับยักษ์ เทศกาลนี้นั้นหาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในญี่ปุ่น ดังนั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

Nishimonai Bon Odori – เทศกาลระบำที่ผู้แสดงจะมีหมวกปิดใบหน้า ซึ่งงานที่จัดที่เมืองอุโกะ (Ugo) จังหวัดอาคิตะนั้นยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในสามของประเทศ สูสีกับเมืองกุโจแห่งจังหวัดกิฟุ และของจังหวัดโทคุชิมะครับ

Nishimonai Bon Odori ระบำของจังหวัดอาคิตะ
by yspbqh14/ShutterStock

เทศกาลดอกไม้ไฟ – ในช่วงฤดูร้อน หลายเมืองของอาคิตะมีการจัดเทศกาลดอกไม้ไฟ ไม่ว่าจะเป็นโอดาเตะหรือว่าคิตะอาคิตะ ซึ่งคุณไปชมได้ในช่วงกลางคืนครับ แต่ที่สุดยอดจริงๆ คือ Omagari Firework Festival ที่เมืองโอมาการิ ซึ่งเป็นงานดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโทโฮคุครับ

เทศกาลดอกไม้ไฟที่อาคิตะถือว่าใหญ่ที่สุดในโทโฮคุ
by shin_12t/ShutterStock

14. ชิมอาหารพื้นเมือง

อาคิตะนั้นมีหลายเมนูที่คุณพลาดชิมไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น

คิริตันโปะ (Kiritanpo) – ข้าวสวยจะถูกนำมาบดจนเละ แล้วนำมาปั้นจนเป็นทรงกระบอก หลังจากนั้นจะนำมาย่าง หรือว่าใส่มาในนาเบะครับ เมนูนี้คืออาหารพื้นเมืองอันดับ 1 ของอาคิตะ เรียกได้ว่าไปถึงที่นั่นแล้วไม่ลองไม่ได้ครับ

คิริตันโปะ
by gontabunta/ShutterStock

ฮิไน จิโดริ (Hinai-Jidori) – ไก่ที่เลี้ยงแบบ free-range เป็นเวลากว่าร้อยวัน ทำให้เนื้อปราศจากไขมัน และเวลานำมาย่างจะมีความอุมามิมากกว่าปกติครับ

อินานิวะอุด้ง (Inaiwa Udon) – อุด้งที่ถือกำเนิดที่เมืองอินานิวะ ตอนใต้ของจังหวัดอาคิตะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสามสุดยอดอุด้งของญี่ปุ่นครับ

โยโกเตะยากิโซบะ (Yokote Yakisoba) – ยากิโซบะสูตรของเมืองโยโกเตะที่มีจุดเด่นที่มีรสหวานนำ (เพราะผัดกับซอส Worcester) และมีไข่ดาวโปะหน้าครับ

by sasazawa/ShutterStock

บาบาเฮระ (Babahera) – ไอศกรีมโคนรูปดอกกุหลาบ ซึ่งมักจะวางขายในช่วงฤดูร้อน

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

แนะนำสำหรับช่วงฤดูร้อน

โรงแรมน่าจองในโตเกียว

บทความล่าสุด

error: Content is protected !!