อาคิตะ (Akita) เป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่เกือบตะวันออกสุด และรายล้อมไปด้วยพื้นที่ของจังหวัดอาโอโมริ มิยางิ อิวาเตะ และยามากาตะ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) ครับ
ในแง่การท่องเที่ยว อาคิตะเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดของญี่ปุ่น โดยอยู่ใน 5 อันดับจากท้ายในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะฉะนั้นที่นี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ในกรณีที่คุณเบื่อกับสถานที่เดิมๆ ที่มีคนไปมากจนเริ่มสูญเสียความเป็นญี่ปุ่นไปแล้วครับ
ในบทความนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับจังหวัดอาคิตะโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่เที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของจังหวัดอาคิตะ (Akita)
อาคิตะถือว่าเป็นดินแดนอันห่างไกลสำหรับชาวญี่ปุ่นโบราณ เพราะอยู่ไกลจากเมืองหลวงและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างนาราและเกียวโตมาก ดังนั้นที่นี่จึงมีการพัฒนาที่แตกต่างกับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่นครับ ที่นี่จึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่างๆ รวมไปถึงเหล่าอนารยชนมาจนถึงสมัยศตวรรษที่ 7 เลยทีเดียว
ในปี ค.ศ.658 รัฐบาลยามาโตะได้ส่งแม่ทัพอย่างอาเบะ โนะ ฮิราฟุ (Abe no Hirafu) นำกองทัพมาปราบปรามพวกเอโซะ (Ezo) ที่อาศัยอยู่ที่ดินแดนที่เป็นจังหวัดอาคิตะในปัจจุบัน และได้ตั้งป้อมปราการขึ้นในบริเวณนี้ ซึ่งตัวป้อมนี้เองที่ได้กลายเป็นเมืองอาคิตะ (Akita City) ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้ใช้เมืองแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในการรบกับพวกเอโซะ รวมไปถึงชนพื้นเมืองอื่นที่ก่อกบฏด้วย ตัวจังหวัดได้ถูกเปลี่ยนมือไปมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในสมัยเอโดะได้เป็นพื้นที่ปกครองของไดเมียวตระกูลซากาเตะ (Sakate Clan)
ตระกูลซากาเตะนั้นเป็นนักพัฒนา ตลอดเวลาเกือบ 3 ศตวรรษที่พวกเขาได้ปกครองอาคิตะ ตัวจังหวัดได้กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกและเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐบาลเมจิล้มเลิกระบอบไดเมียว อาคิตะจึงได้กลายเป็นเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของประเทศ เพราะเป็นพื้นที่ไม่กี่แห่งที่มีน้ำมันที่สามารถพัฒนาต่อได้ แต่ก็นำเคราะห์มาให้ด้วย เนื่องจากที่นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการทิ้งระเบิดญี่ปุ่นช่วงสงคราม ทำให้ตัวเมืองอาคิตะได้รับความเสียหายมาก
หลังสงครามและดำเนินมาถึงปัจจุบัน อาคิตะได้กลายเป็นพื้นที่หลักของญี่ปุ่นสำหรับการทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมป่าไม้ การทำเหมืองแร่ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ผลิตน้ำมันไม่กี่แห่งที่ญี่ปุ่นมีในประเทศครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปจังหวัดอาคิตะ (Akita) ทำอย่างไร?
เมืองอาคิตะ (Akita City) เชื่อมกับโตเกียวด้วย Akita Shinkansen ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งครับ
อย่างไรก็ดีใครที่อยากไปชมศิลปวัฒนธรรมของอาคิตะนั้น คุณสามารถเริ่มทริปของคุณที่เมืองโอดาเตะ (Odate) ได้เช่นกัน วิธีการเดินทางจากโตเกียวไปเมืองนี้ที่ง่ายที่สุดคือ การนั่ง Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานีโมริโอกะ (Morioka) เมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ หลังจากนั้นต่อ Shuhoku Bus ไปยังเมืองโอดาเตะครับ
ส่วนใครที่อยากจะชมธรรมชาตินั้น การเริ่มทริปอาคิตะที่สถานีทากะโนสุ (Takanosu Station) ที่เมืองคิตะอาคิตะ (Kitaakita) ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
ทั้งนี้คุณเดินทางไปเมืองนี้จากโตเกียวได้ด้วยการนั่ง Akita Shinkansen ไปลงสถานี Kakunodate Station แล้วต่อรถไฟสาย Akita Nairiku Line Railway ครับ ซึ่งช่วงหลังวิวสองข้างจะสวยงามมาก โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Visit Akita เว็บไซต์ทางการของ Akita Inu Tourism ผมแนะนำให้ตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ตลอดครับ
1. คาคุโนะดาเตะ
คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) เป็นหมู่บ้านที่ได้ชื่อเป็น Little Kyoto ของภูมิภาคโทโฮคุ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องบ้านพักของซามูไรในอดีตที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และสวยงามครับ
นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรมแล้ว คาคุโนะดาเตะยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมาก โดยต้นซากุระจะเรียงรายตอน 2 กิโลเมตรริมแม่น้ำฮิโนะคิไนครับ
นักท่องเที่ยวมักจะมาเช่าชุดกิโมโนแล้วเดินสัมผัสบรรยากาศในหมู่บ้าน หรือว่าอาจจะนั่งรถสองล้อคนลากเพื่อให้ดื่มด่ำกับความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมครับ
2. ทะเลสาบทาซาวะ
ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) เป็นทะเลสาบที่ครองแชมป์เรื่องความลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยลึกถึง 423 เมตรครับ
น้ำในทะเลสาบนั้นเป็นสีน้ำเงินใสสวยงาม ส่วนวิวโดยรอบก็เป็นภูเขาที่มีผืนป่าปกคลุม ซึ่งจะสวยมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นกันครับ ที่นี่จึงเป็นทะเลสาบยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวมักมาล่องเรือกันครับ
3. ภูเขาโมริโยชิ
ภูเขาโมริโยชิ (Mt.Moriyoshi) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอาคิตะที่คุณสามารถพูดได้ว่าสวยงามทุกฤดู เพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อนนั้นจะมีดอกไม้ป่าที่จะบานสะพรั่งตามธรรมชาติซึ่งสวยงามมาก ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีใบไม้เปลี่ยนสีอันตระการตาครับ
ส่วนช่วงฤดูหนาวนั้น ต้นไม้ที่นี่จะเกิดปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดหิมะ (Juhyo) เช่นเดียวกับที่ภูเขาซาโอะ ไปทั่วทั้งบริเวณภูเขา ซึ่งคุณสามารถมาชมได้อย่างใกล้ชิดเลยครับ
เช่นเดียวกับภูเขาชื่อดังอื่นๆ ของญี่ปุ่น ที่นี่มีกอนโดลาให้บริการด้วยในราคาไปกลับ 2,000 เยน ทำให้คุณไม่ต้องเดินหรือปีนเขาด้วยตัวเองครับ วิวจากกอนโดลาก็สวยสะดุดตาไม่แพ้ภูเขาใดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ส่วนใครที่ชอบเทรกกิ้งหรือปีนเขา ที่นี่มีหลายจุดให้เดินได้ครับ โดยระยะทางจะอยู่ที่ 4.5-13 กิโลเมตรครับ แต่ถ้าคุณชอบเล่นสกีหรือกิจกรรมฤดูหนาว แน่นอนว่าทำได้ในส่วนของ Ani Ski Resort ครับ
4. ทะเลสาบไทเฮ
ทะเลสาบไทเฮ (Lake Taihei) เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการสร้างเขื่อนโมริโยชิ รอบๆ ทะเลสาบมีผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสีอย่างสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวมักจะมาล่องเรีอกันที่นี่กัน ซึ่งค่าบริการจะอยู่ที่ 1,500 เยนครับ
5. ชมสวนดอกไม้ต่างๆ
อาคิตะนั้นมีสวนดอกไม้อยู่หลายแห่ง ซึ่งคุณสามารถไปเยี่ยมชมได้อาทิเช่น
- วัดอันโชจิ (Unshoji Temple) – วัดในเมืองโอกะ (Oga) ซึ่งมีสวนดอก hydrangea ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมากว่า 15 ปี ช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลายเดือนกรกฎาคมครับ ยิ่งตอนกลางคืนนั้นจะยิ่งสวย ถึงกับได้รับสมญาว่า Blue Heaven เลยครับ
- Tonose Fuji no Sato – ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองโอดาเตะ ภายในสวนมีต้น wisteria ประมาณ 80 ต้นที่รายรอบไปด้วยนาข้าว ซึ่งให้บรรยากาศที่สวยงามทีเดียวครับ
- Ishida Rose Garden – สวนกุหลาบขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้มากถึง 500 ชนิด ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน และตุลาคมครับ
- Omori Yokote Park – ตั้งอยู่ในเมืองโยโกเตะ มีดอกชิบะซากุระ หรือ Moss Pink ให้ชมครับ
6. ชิรากามิ ซันจิ
ชิรากามิ ซันจิ (Shirakami Sanchi) เป็นแนวภูเขาที่เป็นพรมแดนระหว่างอาคิตะและอาโอโมริ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องป่าบีชโบราณที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนสีให้ได้ชมกันอย่างงดงามมากครับ
อย่างไรก็ดีที่นี่ไม่ได้มีดีแค่นั้น จุดอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่
- Juniko – ทะเลสาบเล็กๆ สิบสองแห่งที่อยู่ใกล้กัน และเชื่อมด้วยทางเดินไม้คุณภาพเยี่ยม ซึ่งสวยเป็นพิเศษในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนครับ ใกล้ๆ กับหมู่ทะเลสาบมีโตรกชื่อ Nihon Canyon ซึ่งเป็นแกรนด์แคนยอนไซส์เล็กครับ
- Dairakyo Gorge – โตรกอันสวยงามที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชั้นยอด
- Anmon Falls – น้ำตกสวยสามแห่งแห่งชิรากามิ ซันจิ
ในการมาเที่ยวชิรากามิ ซันจินั้น คุณจะต้องเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่ (ตามเส้นทางเทรค) เพราะฉะนั้นเรื่องรองเท้าสำคัญมากครับ
7. นั่งรถไฟชมวิว
อาคิตะนั้นมีเส้นทางรถไฟชมวิวหลักๆ ของสองเส้นด้วยกัน ได้แก่
- Akita Nairiku Line – เส้นนี้ผมได้เขียนถึงไปแล้วด้านบน วิวของสองข้างทางจะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะจะตัดผ่านแนวภูเขาและผืนป่าแสนสวยของอาคิตะครับ
- Yuri Kogen Railway – หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Chokai Sangoku Line เป็นเส้นทางรถไฟระยะสั้นระหว่างเมืองยูโกฮอนโจกับเมืองยาชิมะ ซึ่งมีความยาวเพียง 23 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เรื่องวิวนั้นสวยแบบตราตรึง เพราะผ่านภูเขาโชกาอิ (Mt.Chokai) ทุ่งดอกไม้ นาข้าวของจังหวัดอาคิตะครับ
8. ชมสุนัขสายพันธุ์อาคิตะ
สุนัขสายพันธุ์อาคิตะ (Akita Dog) เป็นสิ่งที่น่าจะมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดแห่งนี้ก็เป็นได้ และเป็นความภาคภูมิใจของผู้คนในจังหวัดด้วยเช่นกัน
ในเมืองแห่งนี้จึงมีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้กับสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่ด้วย อย่างที่ Akita Dog Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสุนัขเหล่านี้โดยตรง
คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา รวมไปถึงสตอรี่ของฮาจิโกะ (Hachiko) สุนัขสายพันธุ์อาคิตะที่รอเจ้าของที่สถานีชิบูย่าเป็นเวลานานถึง 9 ปีหลังเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวนี้ได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกครับ และแน่นอนที่สุดคือได้พบกับสุนัขอาคิตะแบบตัวเป็นๆ อีกด้วย
ใกล้กับเมืองอาคิตะมีศาลเจ้าชื่อ Roken Shrine ที่อุทิศให้กับชิโระ (Shiro) สุนัขล่าเหยื่อของนายพรานชื่อซาดะโรคุ (Sadaroku) ครับ
เรื่องของทั้งสองนั้นมีอยู่ว่า ซาดะโรคุได้ถูกจับกุมเพราะโดนเข้าใจผิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐว่าล่าสัตว์ในจุดที่ไม่ให้ล่า ซาดะโรคุที่ถูกจับกุมจึงให้ชิโระกลับไปที่บ้านเพื่อไปนำเอกสารจากภรรยา แต่กว่าภรรยาจะเข้าใจว่าเจ้าสุนัขต้องการอะไรก็ใช้เวลานานมาก ท้ายที่สุดก็ไปไม่ทัน เพราะซาดะโรคุโดนประหารไปเสียก่อน
หลังจากนั้นชิโระจึงเห่าหอนอย่างเศร้าสร้อย มันหนีไปในภูเขาจนกระทั่งตายลงอย่างโดดเดี่ยว ราวกับว่าเทพเจ้าจะรับรู้ถึงความเศร้าและโกรธเกรี้ยวของมันจึงบันดาลให้ในเมืองมีภัยพิบัติ และคร่าชีวิตทุกคนที่ทำให้เจ้านายของมันตายครับ
หลังจากนั้นว่ากันว่าพวกซามูไรและเจ้าหน้าที่รัฐมักจะตกม้าอยู่เสมอ เมื่อผ่านภูเขาแถวนั้น ชาวบ้านจึงสร้างศาลเจ้าขึ้นบนภูเขาดังกล่าวครับ
9. ตามรอยวัฒนธรรมดั้งเดิมที่โอดาเตะและโคซากะ
นอกจากเป็นบ้านเกิดของสุนัขอาคิตะแล้ว เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ อย่างเช่น
- Torigata Estate – บ้านพักของตระกูลโทริกาตะที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบเกียวโต ด้านในมีอาคารสไตล์ดั้งเดิมและสวนแบบญี่ปุ่นที่งดงามทั้ง 4 ฤดูครับ
- Matsumine Shrine – ศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเหมือนกับที่จิจิบุ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ที่นี่จะอุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ครับ ตัวศาลเจ้านั้นอยู่กลางป่าเลย โดยเส้นทางสู่ตัวศาลเจ้าจะมีต้นสนซีดาร์ขนาดยักษ์เรียงรายกันไป และบรรยากาศดูน่าลึกลับ ทำให้นักเดินทางบางคนรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
ใกล้กับเมืองโอดาเตะคือเมืองโคซากะที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจเช่นกัน อย่างเช่น
- Kosaka Mine Office – อาคารสวยที่สร้างขึ้นในสมัยยุคเมจิ เพื่อใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทเหมืองแร่ที่เคยรุ่งโรจน์ในอาคิตะครับ
- Korakukan Theater – โรงละครที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1910 เพื่อเป็นสถานที่ให้เหล่าคนงานได้ผ่อนคลาย ด้านนอกของโรงละครสร้างขึ้นด้วยศิลปกรรมตะวันตก ส่วนด้านในเป็นแบบญี่ปุ่นครับ ปัจจุบันก็ยังมีจัดการแสดงที่คุณสามารถเข้าชมได้อยู่ครับ
ค่าเข้าชมอยู่ที่ 2,200 เยน อ้างอิงจากเว็บไซต์ของโรงละครครับ
10. เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ
เทศกาลโยโกเตะคามาคุระ (Yokote Kamakura Festival) เป็นเทศกาลเก่าแก่ที่จัดขึ้นในเมืองโยโกเตะ (ใกล้กับปราสาทเดิม) ในจังหวัดอาคิตะ ช่วงวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ของทุกปี
ตามธรรมเนียมแล้วจะมีการสร้างบ้านหิมะ (เรียกว่าคามาคุระ ซึ่งคล้ายกับ igloo) แล้วในช่วงเย็นเด็กๆ จะเข้าไปอยู่ในนั้นและเชื้อเชิญให้ผู้ใหญ่เข้าไปในบ้านหิมะ พร้อมกับมอบขนมและอามะสาเก (เครื่องดื่มไร้แอลกฮออล์) ครับ นอกจากนี้รอบๆยังประดับประดาด้วยโคมไฟหิมมขนาดเล็กอีกจำนวนมากด้วย
อย่างไรก็ดีถ้าคุณไปเที่ยวเมืองนี้ในช่วงอื่น คุณสามารถไปชมคามาคุระของจริงได้ที่ Kamakuran Hall ซึ่งเก็บรักษาบ้านหิมะไว้ในอุณหภูมิ -10 องศาตลอดทั้งปีครับ
11. นิวโตะออนเซ็น
นิวโตะออนเซ็น (Nyuto Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในผืนป่าอันบริสุทธิ์ของยอดเขานิวโตะ ด้วยความที่อยู่ในผืนที่ห่างไกล ทำให้ยังหลงเหลือธรรมเนียมออนเซ็นแบบดั้งเดิมของโทโฮคุอยู่ นั่นคือออนเซ็นแบบกลางแจ้งซึ่งไม่แยกหญิงชายครับ (แต่แบบแยกชายหญิงก็มีเช่นกัน)
จุดที่สระน้ำร้อนตั้งอยู่นั้นจะมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก ดังนั้นถ้าอยากแช่ออนเซ็นแบบวิวสวยๆ ที่นี่คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
12. หมู่บ้านออนเซ็นอื่นๆ
อาคิตะเป็นจังหวัดที่มีหมู่บ้านออนเซ็นคุณภาพดีหลายแห่งนอกเหนือไปจากนิวโตะออนเซ็น ไม่ว่าจะเป็น
ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen) – ออนเซ็นที่มีน้ำซึ่งมีสถานะความเป็นกรดมากที่สุดแห่งหนึ่ง (ph 1.1) และตัวน้ำพุร้อน (ก่อนที่จะปรับอุณหภูมิ) นั้นสูงถึง 98 องศา ที่นี่จึงชื่อเสียงเรื่องน้ำที่ใช้รักษาโรคต่างๆ ได้อย่างดีครับ
โอกะออนเซ็น (Oga Onsen) – หมู๋บ้านออนเซ็นที่เป็นต้นกำเนิดของนามะฮาเกะ เทพเจ้าแห่งภูเขาที่มีใบหน้าคล้ายยักษ์ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งไดเมียวตระกูลซาตาเกะโปรดปรานมาก ในปัจจุบันเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวญี่ปุ่น เพราะน้ำของที่นี่มีสรรพคุณบำรุงผิวครับ
ยุเสะออนเซ็น (Yuze Onsen) – ออนเซ็นที่มีน้ำชั้นเลิศที่ช่วยเรื่องการประทินผิว และเป็นต้นกำเนิดของเมนูอาหารชั้นยอดของอาคิตะอย่างคิริตันโปครับ
13. ชมเทศกาลต่างๆ
อาคิตะเป็นจังหวัดที่มีเทศกาลและงานรื่นเริงมากมายไม่ต่างกับจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่น โดยงานที่น่าสนใจอย่างเช่น
Kanto Festival – เทศกาลใหญ่ที่จัดขึ้นที่เมืองอาคิตะ (Akita City) ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยชาวเมืองจะนำโคมไฟญี่ปุ่นไปประดับบนไม้ไผ่ท่อนใหญ่ แล้วเดินไปตามท้องถนน และยังมีการแสดงผาดโผนโดยใช้ไม้ประดับโคมไฟเหล่านี้ด้วยครับ
Odate Shining Street – ในช่วงเดือนธันวาคม เมืองโอดาเตะมีจะมีประดับประดาดวงไฟทั้งหมด 900,000 ดวงตามถนนคนเดินเส้นสำคัญของเมือง ซึ่งสวยไม่แพ้ถนนโจเซนจิ โดริของเซนไดเลยครับ
Namahage Sedo Festival – จัดขึ้นที่เมืองโอกะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยชาวเมืองจะแต่งกายเป็นนามะฮาเกะ เทพเจ้าแห่งภูเขาที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับยักษ์ เทศกาลนี้นั้นหาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในญี่ปุ่น ดังนั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
Nishimonai Bon Odori – เทศกาลระบำที่ผู้แสดงจะมีหมวกปิดใบหน้า ซึ่งงานที่จัดที่เมืองอุโกะ (Ugo) จังหวัดอาคิตะนั้นยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในสามของประเทศ สูสีกับเมืองกุโจแห่งจังหวัดกิฟุ และของจังหวัดโทคุชิมะครับ
เทศกาลดอกไม้ไฟ – ในช่วงฤดูร้อน หลายเมืองของอาคิตะมีการจัดเทศกาลดอกไม้ไฟ ไม่ว่าจะเป็นโอดาเตะหรือว่าคิตะอาคิตะ ซึ่งคุณไปชมได้ในช่วงกลางคืนครับ แต่ที่สุดยอดจริงๆ คือ Omagari Firework Festival ที่เมืองโอมาการิ ซึ่งเป็นงานดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโทโฮคุครับ
14. ชิมอาหารพื้นเมือง
อาคิตะนั้นมีหลายเมนูที่คุณพลาดชิมไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น
คิริตันโปะ (Kiritanpo) – ข้าวสวยจะถูกนำมาบดจนเละ แล้วนำมาปั้นจนเป็นทรงกระบอก หลังจากนั้นจะนำมาย่าง หรือว่าใส่มาในนาเบะครับ เมนูนี้คืออาหารพื้นเมืองอันดับ 1 ของอาคิตะ เรียกได้ว่าไปถึงที่นั่นแล้วไม่ลองไม่ได้ครับ
ฮิไน จิโดริ (Hinai-Jidori) – ไก่ที่เลี้ยงแบบ free-range เป็นเวลากว่าร้อยวัน ทำให้เนื้อปราศจากไขมัน และเวลานำมาย่างจะมีความอุมามิมากกว่าปกติครับ
อินานิวะอุด้ง (Inaiwa Udon) – อุด้งที่ถือกำเนิดที่เมืองอินานิวะ ตอนใต้ของจังหวัดอาคิตะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสามสุดยอดอุด้งของญี่ปุ่นครับ
โยโกเตะยากิโซบะ (Yokote Yakisoba) – ยากิโซบะสูตรของเมืองโยโกเตะที่มีจุดเด่นที่มีรสหวานนำ (เพราะผัดกับซอส Worcester) และมีไข่ดาวโปะหน้าครับ
บาบาเฮระ (Babahera) – ไอศกรีมโคนรูปดอกกุหลาบ ซึ่งมักจะวางขายในช่วงฤดูร้อน
References
- Visit Akita
- Stay Akita (Akita Tourism Federation)
- Tazawa-Kakunodate Official Site
- City Odate Official Site
- Kosako-mco