หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวยุโรป9 ที่เที่ยวอาเรสโซ (Arezzo) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

9 ที่เที่ยวอาเรสโซ (Arezzo) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

อาเรสโซ (Arezzo) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคทัสคานี (Tuscany) ของประเทศอิตาลี โดยห่างจากฟลอเรนซ์ไปประมาณ 80 กิโลเมตร ทำให้แวะเที่ยวเมืองแห่งนี้เพิ่มเติมได้ไม่ยากเลยครับ

แต่ไหนแต่ไรมาเมืองนี้เป็นเมืองของศิลปินและกวี ศิลปินหลายคนอย่างเช่น Giorgio Vasari หรือแม้กระทั่งไมเคิลแองเจโลได้ถือกำเนิดในเมืองหรือว่าเกิดใกล้กับที่นี่ ทุกวันนี้อาเรสโซจึงยังหลงเหลือความเป็นยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสอย่างชัดเจนครับ

สำหรับบทความนี้ ผมจะเริ่มต้นด้วยการเล่าให้คุณได้รู้จักความเป็นมาของเมือง ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

รู้จักอาเรสโซ (Arezzo)

ต่างจากเมืองอื่นๆ ในย่านเดียวกันอย่างปิซ่า หรือ เซียน่าที่เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงก่อนยุคโรมัน อาเรสโซนั้นเคยเป็นเมืองสำคัญของชาวอีทรัสกัน (Etruscan) มาก่อน หรืออาจจะมีสถานะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของอาณาจักรด้วยซ้ำไป (ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์โรมันอย่าง Livy) ตัวเมืองจึงรุ่งเรืองมาตั้งแต่ช่วง 2500 ปีก่อนแล้วครับ

หลังจากที่ชาวโรมันได้มีอำนาจมากขึ้น ทหารโรมันได้เข้ายึดครองเมืองนี้ได้สำเร็จในช่วงปี 311 ก่อนคริสตกาล ในยุคโรมันนั้น อาเรสโซมีชื่อว่า Arretium และยังรุ่งเรืองสืบต่อมา ในช่วงต้นสมัยจักรวรรดินั้น อาเรสโซน่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับที่สามในจักรวรรดิเลยทีเดียว และมีการค้าที่มั่งคั่ง โดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีตและสวยงามที่รู้จักกันในนาม Arretine Ware ครับ

Piazza Grande ที่เที่ยวหลักของเมืองอาเรสโซ (Arezzo)
by Sergey Dzyuba/ShutterStock

เมื่อศาสนาคริสต์เผยแผ่เข้าในบริเวณนี้ ตัวเมืองจึงอยู่ในการปกครองของเหล่าบิชอปสืบต่อกันมา ซึ่งก็ยังรุ่งโรจน์อยู่ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 5-6 อิตาลีอยู่ในช่วงไฟสงครามเพราะจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย และอนารยชนเผ่าต่างๆ เข้ามารุกราน ตัวเมืองที่เคยรุ่งเรืองจึงได้รับความเสียหายหนักมาก และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่อาเรสโซไม่เคยกลับไปรุ่งเรืองเหมือนกับสมัยโรมันอีกเลย

ในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาวเมืองอาเรสโซได้ล้มเลิกระบอบบิชอปที่ปกครองเมืองมาหลายร้อยปี และเปลี่ยนตัวเมืองให้กลายเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นกับผู้ใด (เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในทัสคานี) ชาวเมืองอาเรสโซปกครองตนเองได้ยาวนานเกือบ 300 ปี แต่สุดท้ายก็สูญสิ้นเอกราชและตกเป็นส่วนหนึ่งของนครฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ.1384

เมืองอาเรสโซ ประเทศอิตาลี
by MilaCroft/ShutterStock

ช่วงที่อาเรสโซอยู่ในการปกครองของฟลอเรนซ์เป็นช่วงที่ตัวเมืองสูญเสียสถานะการเป็นเมืองเอกทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สิ่งก่อสร้า่งจำนวนมากหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน (เพราะไม่มีการรื้อถอนเพื่อขยายพื้นที่ทางเศรษฐกิจ)

ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 อาเรสโซได้ถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียน และได้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของชาวอิตาเลียนได้การขับไล่ผู้รุกรานออกไปครับ

ย่านเมืองเก่าของอาเรสโซ (Arezzo)
by Marco Taliani de Marchio/ShutterStock

อาเรสโซได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่สถาปนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1860 หลังจากนั้นตัวเมืองก็คงอยู่อย่างสงบสุข จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่กองทัพเยอรมันใช้ตัวเมืองเป็นฐานที่มั่นในการสกัดการรุกรานของกองทัพพันธมิตร ทำให้อาเรสโซเสียหายหนักมาก แต่ตัวเมืองก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาหลังสงคราม และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งของภูมิภาคครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปอาเรสโซ (Arezzo) ทำอย่างไร?

อาเรสโซสามารถเดินทางไปได้ไม่ยากจากเมืองใหญ่ๆ ของอิตาลี รวมไปถึงเมืองในภูมิภาคเดียวกันอย่างลุกกา เซียน่า และปิซ่า โดยวิธีการดังต่อไปนี้

  • รถไฟ – รถไฟเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายที่สุด โดยรถไฟของ Trenitalia นั้นจะใช้เวลา 40-70 นาทีจากฟลอเรนซ์ (ความเร็วขึ้นอยู่กับขบวนที่เลือกจอง) ส่วนราคานั้นก็อยู่ที่ 10-11 ยูโรเท่านั้นครับ วิธีการจองที่ง่ายที่สุดคือผ่านเว็บ Omio
  • เช่ารถขับ – อาเรซโซอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์แค่ 80 กิโลเมตร ดังนั้นคุณสามารถเช่ารถและขับไปเที่ยวอาเรซโซได้ไม่ยากเลยครับ

ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจากการท่องเที่ยวเมืองอาเรซโซ โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ

1. Piazza Grande

Piazza Grande เป็นจัตุรัสใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาเรซโซ และเป็นแห่งที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอีกด้วย ตัวจัตุรัสนั้นถูกโอบล้อมด้วยวังเก่าและอาคารช่วงศตวรรษที่ 14-16 หลายแห่ง ความสวยงามของตัวจัตุรัสเป็นที่เลื่องลือ และได้รับการยกย่องว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลีเลยครับ

Piazza Grande
by ermess/ShutterStock

หนึ่งในวังที่สวยงามที่สุดในเมืองอย่าง Palazzo della Fraternita dei Laici นั้นตั้งอยู่ที่นี่ จุดเด่นก็คือด้านล่างของวังนั้นสร้างขึ้นในสไตล์โกธิค ขณะที่ด้านบนจะเป็นสไตล์ Renaissance ครับ ดังนั้นตัววังจะโดดเด่นไม่เหมือนใครครับ

ห่างจากวังไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งด้านในหอระฆังมีนาฬิกาที่บอกเวลา และทิศทางของดวงดาว ซึ่งพิเศษอย่างมากตรงที่ใช้เป็นทฤษฎีของปโตเลมี (ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด)

Piazza Grande
by claudio zaccherini/ShutterStock

ตัวจัตุรัสนั้นเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายแห่ง โดยเฉพาะเรื่อง Life is Beautiful หรือ La vita è bella ที่ทำให้ความสวยงามของที่นี่เป็นที่ประจักษ์ของคนทั่วโลกครับ

ในช่วงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน ที่นี่จะเป็นสถานที่จัดแข่งขันกีฬาโบราณชื่อ Giostra del Saracino โดยผู้เล่นจะสวมเครื่องแต่งกายแบบอัศวินในยุคกลางแล้วขี่ม้าเข้าสัประยุทธ์กันครับ ขณะที่สุดสัปดาห์แรกของเดือน จัตุรัสแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่รวมตัวของพ่อค้าขายของเก่า ใครที่ชอบของโบราณคุณภาพดี สามารถมาจับจ่ายซื่อของไปได้ครับ

2. Duomo di Arezzo

Duomo di Arezzo หรือ Arezzo Cathedral (อีกชื่อหนึ่งในภาษาอิตาเลียนว่า Cattedrale di Ss. Donato e Pietro) เป็นมหาวิหารหลักสไตล์โกธิคที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเมือง การก่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 แต่กว่าจะเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าศตวรรษที่ 16 แล้ว สาเหตุก็เพราะการสร้างถูกหยุดไปหลายครั้งครับ

หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว ตัวมหาวิหารก็ยังได้รับการสร้างแต่งเติมอยู่หลายครั้ง อย่างในครั้งสุดท้ายได้มีการเพิ่มยอดแหลม (spire) ขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ.1935 ครับ

Duomo di Arezzo
by fotorebel/ShutterStock

ตัวมหาวิหารมีชื่อเสียงเพราะหน้าต่างที่สวยงามอันเป็นผลงานของช่างฝีมือชาวฝรั่งเศสนามว่า Guillaume de Marcillat นอกจากนี้ด้านในยังมีสถานที่ฝังพระศพของพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10 ผู้สวรรคตระหว่างที่เสด็จเยือนเมืองอาเรสโซในช่วงศตวรรษที่ 13

ด้านในได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอันงามงด เช่นเดียวกับมหาวิหารในเมืองต่างๆ ของอิตาลี ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Maddalena อันเป็นผลงานของ Piero della Francesca ศิลปินเอกคนหนึ่งของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้นครับ

3. San Francesco Basilica

San Francesco Basilica หรือ Basilica di San Francesco เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ในสไตล์โกธิคผสมผสานกับแนวศิลปะแบบ Franciscan ครับ

San Francesco Basilica
by Florian Augustin/ShutterStock

แม้ว่าตัวมหาวิหารไม่ได้สร้างจนเสร็จสิ้นอย่างที่ผู้สร้างแรกเริ่มตั้งใจไว้ แต่ภาพเขียนสีเฟรสโกที่ตบแต่งด้านในของมหาวิหารนั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะภาพที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ 15 ตอนของตำนาน Legend of the True Cross ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศด้านการแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลีครับ

4. Church of San Domenico

Church of San Domenico เป็นโบสถ์สวยสไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยเป็นผลงานการออกแบบของ Nicola Pisano นักปั้นระดับตำนานของยุค Renaissance ครับ

by victimwalker/ShutterStock

นอกเหนือจากภาพเขียนสีเฟรสโกแล้ว สิ่งที่โดดเด่นออกมาด้านในของมหาวิหารคือภาพพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนขนาดใหญ่หรือ Cimabue Crucifix ที่วาดบนผืนไม้ในช่วงปี ค.ศ.1270 และมีอายุมากกว่า 700 ปี เทคนิคการวาดภาพนี้จะใช้ทองคำและ tempera (น้ำผสมกับไข่) ผสมผสานกับสีครับ

5. Pieve di Santa Maria

Pieve di Santa Maria เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอาเรสโซ ตัวโบสถ์สร้างขึ้นในสไตล์ romanesque ในช่วงศตวรรษที่ 12 แต่ได้รับการสร้างใหม่หลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 13-17 ครับ

 Pieve di Santa Maria
by Geert Van Keymolen/ShutterStock

จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้อยู่ที่หอระฆังที่เหมือนกับมีรู 100 รู สาเหตุที่ได้รับสมญาเช่นนั้นก็เพราะมีหน้าต่างแบบ lancet arch เป็นจำนวนมากครับ ส่วนไฮไลท์งานศิลป์ของด้านในคือภาพเขียนแบบ polyptych ของ Pietro Lorenzetti ครับ

ด้านในตัวโบสถ์มีสุสานโบราณที่เก็บรักษาร่างของนักบุญ Donatus (หรือ San Donato) ผู้อุปถัมภ์เมืองแห่งนี้อยู่ครับ ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของชาวเมืองนี้เลยทีเดียว

6. Roman Amphitheater

Roman Amphitheater เป็นโรงละครโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวโรมันปกครองอาเรสโซ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดของเมืองที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตที่นี่สามารถจุผู้คนได้มากถึง 8,000 คนเลยทีเดียว

Roman Amphitheater
by pixel creator/ShutterStock

อย่างไรก็ดีตัวโรงละครอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เทียบกับโรงละครโรมันที่เมืองอื่นๆ ของอิตาลี หรือว่าในจอร์แดน (อย่างเช่นที่เพตราหรืออัมมาน) ไม่ได้เลยครับ

7. Casa del Vasari

Casa del Vasari เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับ Giorgio Vasari ศิลปินผู้มีทักษะระดับเทพไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสี รูปปั้น ไปจนถึงด้านสถาปัตยกรรม ทำให้เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดศิลปินแห่งยุค Renaissance คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ

ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นอยู่ในบ้านจริงๆ ที่อัครศิลปินเคยอาศัยอยู่จริงๆ เพื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน โดยเขาได้ซื้อบ้านแห่งนี้มาและได้วาดภาพเขียนสีเฟรสโกตบแต่งตัวบ้านด้วยตนเอง ก่อนที่จะได้ย้ายสถานที่พำนักไปยังกรุงโรมและฟลอเรนซ์ (ตามผู้ว่าจ้างงาน)

นอกเหนือจากตัวบ้านแล้วนั้น ปัจจุบันตัวพิพิธภัณฑ์ยังมีภาพเขียนสีที่เป็นผลงานจากศิลปินผู้เป็นลูกศิษย์ของ Vasari อีกกว่าห้าสิบชิ้นให้คุณได้ชื่นชมความงามครับ

8. Medici Fortress

Medici Fortress เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่อาเรสโซตกเป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐฟลอเรนซ์ ตัวป้อมปราการตั้งอยู่บนภูเขาเหนือเมือง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเมืองครับ แต่เอาเข้าจริงหลังจากสร้างเสร็จก็ไม่ค่อยได้ใช้เป็นประโยชน์เท่าไรนัก เพราะป้อมปราการกลายเป็นสิ่งล้าสมัยเพราะการเข้ามาของปืนใหญ่ครับ

Medici Fortress เมืองอาเรสโซ
by John_Silver/ShutterStock

ในเวลาต่อมาพื้นที่ส่วนนี้จึงกลายเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนคนทั่วไปมาเดินเล่นได้ เช่นเดียวกับชมวิวมุมสูงของเมืองอาเรสโซครับ

9. สถานที่เที่ยวอื่นๆ

อาเรสโซเป็นเมืองที่มีจัตุรัส วัง ที่ทำการรัฐ และพิพิธภัณฑ์น้อยใหญ่หลายแห่งเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของอิตาลี

Palazzo dei Priori
Palazzo dei Priori by victimewalker/ShutterStock
  • Palazzo dei Priori – วังเก่าสมัยศตวรรษที่ 14 ที่ปัจจุบันยังเป็นที่ทำการรัฐบาลท้องถิ่นของเมือง
  • Palazzo delle Logge – สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตามการออกแบบของ Giorgio Vasari ในอดีตเคยเป็นสถานที่ประจานเหล่าอาชญากรและผู้กระทำผิดทั้งหลายครับ ใกล้กับบริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของ Palazzo Pretorio วังเก่าที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดประจำเมืองครับ
  • Piazza Guido Monaco – จัตุรัสทรงกลมสวยงามที่มีอนุสาวรีย์ของ Guido Monaco ตั้งอยู่ ซึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้วางโครงร่างของทฤษฎีดนตรี (ระบบโน้ต ฯลฯ) ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันครับ
  • Ivan Bruschi Museum – พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านของพ่อค้าของเก่าสมัยศตวรรษที่ 20 นามว่า Ivan Bruschi ซึ่งได้รำรวยขึ้นมาเพราะการค้าของเก่า เพราะฉะนั้นในบ้านของเขาจึงเต็มไปด้วยของเก่าและโบราณวัตถุที่คุณสามารถเข้าชมได้ครับ

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

Most Popular

error: Content is protected !!