อาเรสโซ (Arezzo) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคทัสคานี (Tuscany) ของประเทศอิตาลี โดยห่างจากฟลอเรนซ์ไปประมาณ 80 กิโลเมตร ทำให้แวะเที่ยวเมืองแห่งนี้เพิ่มเติมได้ไม่ยากเลยครับ
แต่ไหนแต่ไรมาเมืองนี้เป็นเมืองของศิลปินและกวี ศิลปินหลายคนอย่างเช่น Giorgio Vasari หรือแม้กระทั่งไมเคิลแองเจโลได้ถือกำเนิดในเมืองหรือว่าเกิดใกล้กับที่นี่ ทุกวันนี้อาเรสโซจึงยังหลงเหลือความเป็นยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสอย่างชัดเจนครับ
สำหรับบทความนี้ ผมจะเริ่มต้นด้วยการเล่าให้คุณได้รู้จักความเป็นมาของเมือง ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักอาเรสโซ (Arezzo)
ต่างจากเมืองอื่นๆ ในย่านเดียวกันอย่างปิซ่า หรือ เซียน่าที่เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงก่อนยุคโรมัน อาเรสโซนั้นเคยเป็นเมืองสำคัญของชาวอีทรัสกัน (Etruscan) มาก่อน หรืออาจจะมีสถานะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของอาณาจักรด้วยซ้ำไป (ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์โรมันอย่าง Livy) ตัวเมืองจึงรุ่งเรืองมาตั้งแต่ช่วง 2500 ปีก่อนแล้วครับ
หลังจากที่ชาวโรมันได้มีอำนาจมากขึ้น ทหารโรมันได้เข้ายึดครองเมืองนี้ได้สำเร็จในช่วงปี 311 ก่อนคริสตกาล ในยุคโรมันนั้น อาเรสโซมีชื่อว่า Arretium และยังรุ่งเรืองสืบต่อมา ในช่วงต้นสมัยจักรวรรดินั้น อาเรสโซน่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับที่สามในจักรวรรดิเลยทีเดียว และมีการค้าที่มั่งคั่ง โดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผาที่ประณีตและสวยงามที่รู้จักกันในนาม Arretine Ware ครับ
เมื่อศาสนาคริสต์เผยแผ่เข้าในบริเวณนี้ ตัวเมืองจึงอยู่ในการปกครองของเหล่าบิชอปสืบต่อกันมา ซึ่งก็ยังรุ่งโรจน์อยู่ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 5-6 อิตาลีอยู่ในช่วงไฟสงครามเพราะจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย และอนารยชนเผ่าต่างๆ เข้ามารุกราน ตัวเมืองที่เคยรุ่งเรืองจึงได้รับความเสียหายหนักมาก และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่อาเรสโซไม่เคยกลับไปรุ่งเรืองเหมือนกับสมัยโรมันอีกเลย
ในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาวเมืองอาเรสโซได้ล้มเลิกระบอบบิชอปที่ปกครองเมืองมาหลายร้อยปี และเปลี่ยนตัวเมืองให้กลายเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นกับผู้ใด (เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในทัสคานี) ชาวเมืองอาเรสโซปกครองตนเองได้ยาวนานเกือบ 300 ปี แต่สุดท้ายก็สูญสิ้นเอกราชและตกเป็นส่วนหนึ่งของนครฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ.1384
ช่วงที่อาเรสโซอยู่ในการปกครองของฟลอเรนซ์เป็นช่วงที่ตัวเมืองสูญเสียสถานะการเป็นเมืองเอกทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สิ่งก่อสร้า่งจำนวนมากหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน (เพราะไม่มีการรื้อถอนเพื่อขยายพื้นที่ทางเศรษฐกิจ)
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 อาเรสโซได้ถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียน และได้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของชาวอิตาเลียนได้การขับไล่ผู้รุกรานออกไปครับ
อาเรสโซได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่สถาปนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1860 หลังจากนั้นตัวเมืองก็คงอยู่อย่างสงบสุข จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่กองทัพเยอรมันใช้ตัวเมืองเป็นฐานที่มั่นในการสกัดการรุกรานของกองทัพพันธมิตร ทำให้อาเรสโซเสียหายหนักมาก แต่ตัวเมืองก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาหลังสงคราม และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งของภูมิภาคครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปอาเรสโซ (Arezzo) ทำอย่างไร?
อาเรสโซสามารถเดินทางไปได้ไม่ยากจากเมืองใหญ่ๆ ของอิตาลี รวมไปถึงเมืองในภูมิภาคเดียวกันอย่างลุกกา เซียน่า และปิซ่า โดยวิธีการดังต่อไปนี้
- รถไฟ – รถไฟเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายที่สุด โดยรถไฟของ Trenitalia นั้นจะใช้เวลา 40-70 นาทีจากฟลอเรนซ์ (ความเร็วขึ้นอยู่กับขบวนที่เลือกจอง) ส่วนราคานั้นก็อยู่ที่ 10-11 ยูโรเท่านั้นครับ วิธีการจองที่ง่ายที่สุดคือผ่านเว็บ Omio
- เช่ารถขับ – อาเรซโซอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์แค่ 80 กิโลเมตร ดังนั้นคุณสามารถเช่ารถและขับไปเที่ยวอาเรซโซได้ไม่ยากเลยครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจากการท่องเที่ยวเมืองอาเรซโซ โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ
1. Piazza Grande
Piazza Grande เป็นจัตุรัสใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาเรซโซ และเป็นแห่งที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอีกด้วย ตัวจัตุรัสนั้นถูกโอบล้อมด้วยวังเก่าและอาคารช่วงศตวรรษที่ 14-16 หลายแห่ง ความสวยงามของตัวจัตุรัสเป็นที่เลื่องลือ และได้รับการยกย่องว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลีเลยครับ
หนึ่งในวังที่สวยงามที่สุดในเมืองอย่าง Palazzo della Fraternita dei Laici นั้นตั้งอยู่ที่นี่ จุดเด่นก็คือด้านล่างของวังนั้นสร้างขึ้นในสไตล์โกธิค ขณะที่ด้านบนจะเป็นสไตล์ Renaissance ครับ ดังนั้นตัววังจะโดดเด่นไม่เหมือนใครครับ
ห่างจากวังไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งด้านในหอระฆังมีนาฬิกาที่บอกเวลา และทิศทางของดวงดาว ซึ่งพิเศษอย่างมากตรงที่ใช้เป็นทฤษฎีของปโตเลมี (ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด)
ตัวจัตุรัสนั้นเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายแห่ง โดยเฉพาะเรื่อง Life is Beautiful หรือ La vita è bella ที่ทำให้ความสวยงามของที่นี่เป็นที่ประจักษ์ของคนทั่วโลกครับ
ในช่วงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน ที่นี่จะเป็นสถานที่จัดแข่งขันกีฬาโบราณชื่อ Giostra del Saracino โดยผู้เล่นจะสวมเครื่องแต่งกายแบบอัศวินในยุคกลางแล้วขี่ม้าเข้าสัประยุทธ์กันครับ ขณะที่สุดสัปดาห์แรกของเดือน จัตุรัสแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่รวมตัวของพ่อค้าขายของเก่า ใครที่ชอบของโบราณคุณภาพดี สามารถมาจับจ่ายซื่อของไปได้ครับ
2. Duomo di Arezzo
Duomo di Arezzo หรือ Arezzo Cathedral (อีกชื่อหนึ่งในภาษาอิตาเลียนว่า Cattedrale di Ss. Donato e Pietro) เป็นมหาวิหารหลักสไตล์โกธิคที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเมือง การก่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 แต่กว่าจะเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าศตวรรษที่ 16 แล้ว สาเหตุก็เพราะการสร้างถูกหยุดไปหลายครั้งครับ
หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว ตัวมหาวิหารก็ยังได้รับการสร้างแต่งเติมอยู่หลายครั้ง อย่างในครั้งสุดท้ายได้มีการเพิ่มยอดแหลม (spire) ขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ.1935 ครับ
ตัวมหาวิหารมีชื่อเสียงเพราะหน้าต่างที่สวยงามอันเป็นผลงานของช่างฝีมือชาวฝรั่งเศสนามว่า Guillaume de Marcillat นอกจากนี้ด้านในยังมีสถานที่ฝังพระศพของพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10 ผู้สวรรคตระหว่างที่เสด็จเยือนเมืองอาเรสโซในช่วงศตวรรษที่ 13
ด้านในได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอันงามงด เช่นเดียวกับมหาวิหารในเมืองต่างๆ ของอิตาลี ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Maddalena อันเป็นผลงานของ Piero della Francesca ศิลปินเอกคนหนึ่งของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้นครับ
3. San Francesco Basilica
San Francesco Basilica หรือ Basilica di San Francesco เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ในสไตล์โกธิคผสมผสานกับแนวศิลปะแบบ Franciscan ครับ
แม้ว่าตัวมหาวิหารไม่ได้สร้างจนเสร็จสิ้นอย่างที่ผู้สร้างแรกเริ่มตั้งใจไว้ แต่ภาพเขียนสีเฟรสโกที่ตบแต่งด้านในของมหาวิหารนั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะภาพที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ 15 ตอนของตำนาน Legend of the True Cross ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศด้านการแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลีครับ
4. Church of San Domenico
Church of San Domenico เป็นโบสถ์สวยสไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยเป็นผลงานการออกแบบของ Nicola Pisano นักปั้นระดับตำนานของยุค Renaissance ครับ
นอกเหนือจากภาพเขียนสีเฟรสโกแล้ว สิ่งที่โดดเด่นออกมาด้านในของมหาวิหารคือภาพพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนขนาดใหญ่หรือ Cimabue Crucifix ที่วาดบนผืนไม้ในช่วงปี ค.ศ.1270 และมีอายุมากกว่า 700 ปี เทคนิคการวาดภาพนี้จะใช้ทองคำและ tempera (น้ำผสมกับไข่) ผสมผสานกับสีครับ
5. Pieve di Santa Maria
Pieve di Santa Maria เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอาเรสโซ ตัวโบสถ์สร้างขึ้นในสไตล์ romanesque ในช่วงศตวรรษที่ 12 แต่ได้รับการสร้างใหม่หลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 13-17 ครับ
จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้อยู่ที่หอระฆังที่เหมือนกับมีรู 100 รู สาเหตุที่ได้รับสมญาเช่นนั้นก็เพราะมีหน้าต่างแบบ lancet arch เป็นจำนวนมากครับ ส่วนไฮไลท์งานศิลป์ของด้านในคือภาพเขียนแบบ polyptych ของ Pietro Lorenzetti ครับ
ด้านในตัวโบสถ์มีสุสานโบราณที่เก็บรักษาร่างของนักบุญ Donatus (หรือ San Donato) ผู้อุปถัมภ์เมืองแห่งนี้อยู่ครับ ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของชาวเมืองนี้เลยทีเดียว
6. Roman Amphitheater
Roman Amphitheater เป็นโรงละครโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวโรมันปกครองอาเรสโซ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดของเมืองที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตที่นี่สามารถจุผู้คนได้มากถึง 8,000 คนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีตัวโรงละครอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เทียบกับโรงละครโรมันที่เมืองอื่นๆ ของอิตาลี หรือว่าในจอร์แดน (อย่างเช่นที่เพตราหรืออัมมาน) ไม่ได้เลยครับ
7. Casa del Vasari
Casa del Vasari เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับ Giorgio Vasari ศิลปินผู้มีทักษะระดับเทพไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสี รูปปั้น ไปจนถึงด้านสถาปัตยกรรม ทำให้เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดศิลปินแห่งยุค Renaissance คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ
ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นอยู่ในบ้านจริงๆ ที่อัครศิลปินเคยอาศัยอยู่จริงๆ เพื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน โดยเขาได้ซื้อบ้านแห่งนี้มาและได้วาดภาพเขียนสีเฟรสโกตบแต่งตัวบ้านด้วยตนเอง ก่อนที่จะได้ย้ายสถานที่พำนักไปยังกรุงโรมและฟลอเรนซ์ (ตามผู้ว่าจ้างงาน)
นอกเหนือจากตัวบ้านแล้วนั้น ปัจจุบันตัวพิพิธภัณฑ์ยังมีภาพเขียนสีที่เป็นผลงานจากศิลปินผู้เป็นลูกศิษย์ของ Vasari อีกกว่าห้าสิบชิ้นให้คุณได้ชื่นชมความงามครับ
8. Medici Fortress
Medici Fortress เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่อาเรสโซตกเป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐฟลอเรนซ์ ตัวป้อมปราการตั้งอยู่บนภูเขาเหนือเมือง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเมืองครับ แต่เอาเข้าจริงหลังจากสร้างเสร็จก็ไม่ค่อยได้ใช้เป็นประโยชน์เท่าไรนัก เพราะป้อมปราการกลายเป็นสิ่งล้าสมัยเพราะการเข้ามาของปืนใหญ่ครับ
ในเวลาต่อมาพื้นที่ส่วนนี้จึงกลายเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนคนทั่วไปมาเดินเล่นได้ เช่นเดียวกับชมวิวมุมสูงของเมืองอาเรสโซครับ
9. สถานที่เที่ยวอื่นๆ
อาเรสโซเป็นเมืองที่มีจัตุรัส วัง ที่ทำการรัฐ และพิพิธภัณฑ์น้อยใหญ่หลายแห่งเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของอิตาลี
- Palazzo dei Priori – วังเก่าสมัยศตวรรษที่ 14 ที่ปัจจุบันยังเป็นที่ทำการรัฐบาลท้องถิ่นของเมือง
- Palazzo delle Logge – สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตามการออกแบบของ Giorgio Vasari ในอดีตเคยเป็นสถานที่ประจานเหล่าอาชญากรและผู้กระทำผิดทั้งหลายครับ ใกล้กับบริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของ Palazzo Pretorio วังเก่าที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดประจำเมืองครับ
- Piazza Guido Monaco – จัตุรัสทรงกลมสวยงามที่มีอนุสาวรีย์ของ Guido Monaco ตั้งอยู่ ซึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้วางโครงร่างของทฤษฎีดนตรี (ระบบโน้ต ฯลฯ) ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันครับ
- Ivan Bruschi Museum – พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านของพ่อค้าของเก่าสมัยศตวรรษที่ 20 นามว่า Ivan Bruschi ซึ่งได้รำรวยขึ้นมาเพราะการค้าของเก่า เพราะฉะนั้นในบ้านของเขาจึงเต็มไปด้วยของเก่าและโบราณวัตถุที่คุณสามารถเข้าชมได้ครับ
References
- Visit Tuscany
- Visit Arezzo (Official Travel Site)