อาซากุสะ (Asakusa, 浅草) เป็นหนึ่งในย่านของกรุงโตเกียวซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของปูชนียสถานเก่าแก่ซึ่งให้บรรยากาศแบบดั้งเดิม ตลอดจนยังมีร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างยิ่ง
จากที่ได้เดินทางไปมาแล้ว ผมก็ชอบย่านนี้เป็นอันดับต้นๆ ของโตเกียวเลยครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับย่านนี้โดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักย่านอาซากุสะ (Asakusa)
วัดเซ็นโซจิ ศูนย์กลางของย่านอาซากุสะนั้นเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 7 แต่กว่าตัวย่านจะได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังก็ลุเข้าสู่สมัยเอโดะแล้วครับ
อาซากุสะเติบโตขึ้นในฐานะย่านสิ่งเริงรมณ์ (และจัดเป็นหนึ่งในย่าน low city ของเมืองเช่นเดียวกับอุเอโนะ) โดยในสมัยเอโดะนั้น อาซากุสะมีโรงละครและโรงเกอิชาจำนวนมากมาย
สาเหตุก็เพราะย่านใกล้ๆ อย่างคุระมาเอะนั้นเป็นคลังสินค้า เพราะฉะนั้นจึงมีเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจมากมายที่มีเงิน ย่านนี้จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบความผ่อนคลายให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ครับ สุดท้ายอาซากุสะจึงได้กลายเป็นย่านโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเอโดะ
ความรุ่งโรจน์ของอาซากุสะดำเนินไปจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวย่านนั้นแทบจะกลายเป็นตอตะโก เพราะการทิ้งระเบิดเพลิงของกองทัพสหรัฐครับ เหตุการณ์นี้ทำให้ย่านอาซากุสะในปัจจุบันแทบไม่หลงเหลืออาคารเก่าจริงๆ ยุคก่อนสงครามหลงเหลืออยู่เลย
หลังจากสงครามได้มีการสร้างวัดเซ็นโซจิและศาลเจ้าต่างๆ ขึ้นมาใหม่ อาซากุสะได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียวตราบจนถึงทุกวันนี้ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปย่านอาซากุสะทำอย่างไร?
จากในโตเกียวคุณสามารถใช้รถไฟใต้ดิน (Ginza Line) ไปยังสถานี Asakusa Station ได้ครับ นอกจากนี้อาซากุสะยังมีสถานีของ Tobu Railway ซึ่งมีรถไฟให้บริการไปยังนิกโก้ คินุกาวะออนเซ็น หรืออุสึโนะมิยะ ดังนั้นคุณไปเที่ยวเมืองเหล่านี้และกลับมาโตเกียว คุณสามารถลงรถไฟที่ย่านอาซากุสะได้โดยตรงเลยครับ
ที่พัก
อาซากุสะเป็นหนึ่งในย่านที่น่าพักที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว ถ้าคุณยังไม่มีที่พักสามารถอ่านบทความเลือกที่พักอาซากุสะดีๆ ของผมได้ครับ
1. ประตูคามินาริมง
ประตูคามินาริมง (Kaminarimon) หรือประตูสายฟ้า ตัวประตูนั้นเป็นทางเข้าสู่วัดเซ็นโซจิ และมีรูปลักษณ์โดดเด่นเพราะมีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่นี่จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านอาซากุสะ รวมไปถึงกรุงโตเกียวและประเทศญี่ปุ่นไปโดยปริยายครับ
ตัวประตูนั้นมีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 10 แต่ของเดิมนั้นถูกทำลายไปหมดแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ สิ่งที่คุณเห็นในปัจจุบันคือสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1960 ครับ
ทั้งสี่ด้านของประตูมีรูปปั้นของเทพเจ้าชินโตตั้งอยู่ นั่นคือฟูจิน เทพเจ้าแห่งสายลม ไรจิน เทพเจ้าแห่งสายฟ้า รวมไปถึงเทพเท็นริวและคินริวครับ
2. ถนนนากามิเซะ
ถนนนากามิเซะ (Nakamise Street) หรือนากามิเซะโดริ เป็นถนนคนเดินที่ลากผ่านจากประตูคามินาริเข้าสู่ตัววัดเซ็นโซจิ โดยมีความยาวประมาณ 250 เมตรครับ
ปัจจุบันถนนบริเวณนี้มีร้านค้าเรียงรายกันไปตลอดสองข้างทาง รวมแล้วมีร้านค้ากว่า 50 ร้านด้วยกัน และขายทั้งของที่ระลึก งานศิลปะญี่ปุ่น (อย่างเช่น ukiyo-e) รวมไปถึงอาหารพื้นเมืองต่างๆ เพราะฉะนั้นตอบโจทย์ทั้งสายกินและสายช้อปเลยครับ
ห่างออกไปไม่ไกลนักจากถนนนากามิเซะมีถนนอีกแห่งหนึ่งชื่อถนนชินนากามิเซะ (Shin-Nakamise Street) ซึ่งมีร้านค้าและร้านอาหารเพิ่มเติมอีกมากมาย ถ้ายังรู้สึกไม่จุใจ คุณสามารถไปหาอะไรรับประทานเพิ่มที่นั่นได้ครับ
3. วัดเซ็นโซจิ
วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านอาซากุสะและอุดมไปด้วยตำนานเก่าแก่ โดยเชื่อว่าตัววัดสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.645 และอุทิศให้พระโพธิสัตว์กวนอิม (คันนงในภาษาญี่ปุ่น) ครับ
ตามตำนานเล่าว่ามีชาวประมงสองคนได้เห็นรูปปั้นองค์พระลอยมาตามแม่น้ำสุมิดะ พวกเขาได้เห็นว่าองค์พระน่าจะศักดิ์สิทธิ์มากจึงได้เชิญมาตั้งไว้ที่บ้าน พวกเขาได้เปลี่ยนพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านพวกตนเป็นวัด ก่อนที่จะมีการสร้างวัดเป็นเรื่องเป็นราวจนกลายเป็นวัดเซ็นโซจิในปัจจุบันครับ
นับตั้งแต่บัดนั้นวัดเซ็นโซจิก็ได้รับการเคารพนับถือของโชกุนและชนชั้นสูงมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยเอโดะที่ตัววัดได้กลายเป็นวัดหลวงที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาของรัฐบาลโชกุน
อย่างไรก็ดีตัววัดก็โดนไฟไหม้ครั้งใหญ่และการทิ้งระเบิดในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ทำให้ได้รับความเสียหายยับเยิน การสร้างวัดเซ็นโซจิจึงได้มีขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1960 ด้วยการบริจาคของบริษัทใหญ่ๆ อย่างเช่น Panasonic ประชาชนทั่วไปจากทั้งญี่ปุ่นครับ
ภายในวัดเซ็นโซจิมีจุดที่น่าสนใจหลายแห่งอย่างเช่น
หอคันนงโดะ (Kannondo) – หอหลักของวัดเซ็นโซจิที่มีหลังคาโค้งเป็นเอกลักษณ์ ด้านในมีรูปปั้นขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐานอยู่ครับ (น่าจะเป็นองค์จำลอง) บริเวณนี้เป็นจุดที่ศาสนิกมาไหว้พระขอพรกับองค์พระครับ
ประตูโฮโซมง (Hozomon) – ประตูโฮโซมงเป็นประตูชั้นในของวัดเซ็นโซจิ โดยมีลักษณะเป็นสองชั้นและมีโคมไฟขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน ด้านในบริเวณประตูเก็บรักษาพระสูตรทั้งหมดในพระพุทธศาสนาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัทธรรมปุณฑริกสูตร (Lotus Sutra) ครับ ใกล้กับประตูมีเจดีย์ห้าชั้นตั้งอยู่ด้วย ตัวเจดีย์มีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 20 ครับ
วัดเดนโบอิน (Denbo-in) – วัดย่อยที่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเซ็นโซจิ ด้านในมีสวนญี่ปุ่นอันสวยงาม แต่เปิดให้ชมไม่กี่วันเท่านั้นในแต่ละปีครับ
4. ศาลเจ้าอาซากุสะ
ศาลเจ้าอาซากุสะ (Asakusa Shrine) ตั้งอยู่ติดกับวัดเซ็นโซจิ แม้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของศาสนาชินโต ต่างกับวัดเซ็นโซจิที่เป็นของพุทธ แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่มากครับ
ตัวศาลเจ้าสร้างขึ้นในยุคเอโดะเพื่ออุทิศให้กับชายสามคนที่มีคุณูปการต่อการสร้างวัดเซ็นโซจิ นั่นคือชาวประมงสองคน (ตามที่เล่าไปแล้วด้านบน) และนายทุนเจ้าของที่ดินที่บริจาคพื้นที่บางส่วนของตนให้เป็นที่ตั้งวัดเซ็นโซจิ
สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าอาซากุสะเป็นแบบกอนเก็น สุคุริ (gongen-zukuri) ตามสไตล์ของศาลเจ้าชินโตในสมัยเอโดะ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือตัวศาลเจ้ารอดพ้นทั้งไฟไหม้ใหญ่และการทิ้งระเบิดมาได้ครับ ทำให้อาคารที่คุณเห็นเป็นของเดิมที่ผ่านการบูรณะครับ (ไม่ใช่สร้างใหม่เหมือนวัดเซ็นโซจิ)
ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในอาซากุสะและโตเกียว นั่นคือเทศกาลซันจะ มัตสึริ (Sanja Matsuri) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม (อ่านกำหนดการของแต่ละปีได้จากเว็บนี้)
ไฮไลท์ของเทศกาลนี้คือการแห่ศาลเจ้าขนาดย่อมที่เรียกว่ามิโคชิ (Mikoshi) ตลอดจนขบวนพาเหรดในชุดพื้นเมือง ตลอดจนมีการร้องรำทำเพลงแบบพื้นเมืองอย่างอลังการ ใครที่หลงรักวัฒนธรรมญี่ปุ่นห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
5. Tokyo Skytree
Tokyo Skytree เป็นหอคอยที่สูงถึง 634 เมตร และครองตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ณ ปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงโตเกียวครับ
ตัวหอคอยสร้างขึ้นในปี ค.ศ.2012 เพื่อรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย เพราะด้านบนมีจุดชมวิวสองแห่งที่สูง 350 และ 450 เมตรตามลำดับ ซึ่งคุณสามารถชมความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงญี่ปุ่นได้อย่างเต็มๆ ตาครับ
นอกจากนี้ด้านล่างของหอคอยยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Tokyo Solamachi ซึ่งมีร้านค้าและร้านอาหารกว่า 300 แห่ง เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Sumida Aquarium ที่มีสัตว์ให้ชมกว่า 10,000 ตัว ดังนั้นมีอะไรให้ทำอีกมากหลังจากชมวิวมุมสูงเสร็จครับ
6. สวนสุมิดะ
สวนสุมิดะ (Sumida Park) เป็นสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุมิดะ และในสวนมีการปลูกต้นซากุระจำนวนมาก ทำให้ที่นี่เป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของย่านอาซากุสะ
แม้ว่าเรื่องจำนวนอาจจะสู้สวนอุเอโนะไม่ได้ แต่ก็ได้วิวแม่น้ำสวยๆ มาทดแทนครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดชมเทศกาลดอกไม้ไฟ (Sumida River Festival) ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ดีที่สุดด้วย
7. ล่องแม่น้ำสุมิดะ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจในย่านอาซากุสะก็คือ การล่องแม่น้ำสุมิดะครับ ซึ่งจะเริ่มต้นที่อาซากุสะและพาคุณไปชมทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำ บางผู้ให้บริการนั้นอาจจะพาคุณไปได้ไกลถึงปากอ่าวโตเกียวได้เลยทีเดียว
ผู้ให้บริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะเห็น Tokyo Cruise เพราะเรือจะมีกระจกรายรอบ ช่วยให้คุณชมวิวได้ทุกด้านจากตัวเรือ ส่วนค่าบริการนั้นขึ้นอยู่กับระยะทางว่าคุณต้องการนั่งจากอาซากุสะไปที่ไหน (อย่างเช่นถ้าไปถึงสวนโอไดบะก็จะแพงหน่อย หรือประมาณ 1,720 เยนครับ)
8. Hoppy Street
สำหรับใครที่เน้นกินดื่ม หรือว่าอยาก hangout ในช่วงกลางคืน ในย่านอาซากุสะมีถนนชื่อ Hoppy Street ที่มีร้านอิซากายะเรียงรายกันไปตลอดสองข้างทาง
เพราะฉะนั้นเรียกได้ว่าตัวเลือกด้านอาหารของคุณแทบจะมีไม่จำกัดเลยก็ว่าได้ครับ
9. สวนสนุกฮานายะชิกิ
สวนสนุกฮานายะชิกิ (Hanayashiki) เป็นสวนสนุกแห่งแรกของญี่ปุ่น โดยเปิดทำการตั้งแต่ปี ค.ศ.1853 และอยู่ใกล้กับวัดเซ็นโซจิครับ
ปัจจุบันที่นี่ก็ยังเปิดทำการอยู่และมีเครื่องเล่นสนุกๆ ให้คุณได้เล่น ตั้งแต่รถไฟเหาะไปจนถึงบ้านผีสิงครับ ค่าเข้าอยู่ที่ 1,000 เยน ส่วนค่าเล่นเครื่องเล่นแบบไม่จำกัด (ทั้งวัน) อยู่ที่ 2,800 เยนครับ (อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสวนสนุก)
10. Asahi Beer Tower
Asahi Beer Tower เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทเบียร์อาซาฮีที่ส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปทั่วโลก
ใกล้กับตัวตึกนั้นมีหอ Super Dry Hall ซึ่งมีรูปปั้นสีทองเหมือนกับเปลวไฟอยู่ด้านบน ซึ่งรูปปั้นนี้ได้เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของย่านอาซากุสะนับตั้งแต่ช่วงที่สร้างเสร็จครับ
11. ช้อปปิ้ง
ในบริเวณย่านอาซากุสะนั้นมีสถานที่ช้อปปิ้งหลายแห่ง นอกเหนือจากถนนนากามิเซะแล้ว ยังมีจุดเหล่านี้อย่างเช่น
- ถนนนิชิซันโดะ (Nishi-Sando Street) – หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดถ้าคุณต้องการสินค้าพื้นเมืองของญี่ปุ่น ร้านค้าจะเป็นร้านเล็กๆ อยู่สองข้างทางของทางเดินที่ปูด้วยพื้นไม้ครับ
- Rox Department Store
- Matsuya Department Store
- Asakusa Underground Street – ถนนขายสินค้าใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
- ถนนคัปปะบาชิ (Kappabashi) – ถนนที่ขายเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับเชฟ และอุตสาหกรรมร้านอาหาร ซึ่งรวมไปถึงเครื่องแก้ว เฟอร์นิเจอร์ และอาหารจำลองต่างๆ
- Tokyo Solamachi/Mizumachi
- Asakusa Yokocho – เพิ่งเปิดใหม่ในปี ค.ศ.2022
12. ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง
อาซากุสะมีหลายเมนูที่คุณไม่ควรพลาดชิม ยกตัวอย่างเช่น
- มันหวานญี่ปุ่น (Satsuma Imo)
- คิบิดังโงะและไทยากิ
- ของหวานญี่ปุ่นที่ร้าน Umezono
- เมลอนปังที่ร้าน Asakusa Kagetsudo ที่เปิดทำการตั้งแต่ปี ค.ศ.1945
- ข้าวหน้าปลาไหล (อุนางิด้ง)
- เทมปุระ
References
- Go Tokyo (Official Travel Guide)
- Senso-ji Official Site
- Asakusa Shrine Official Site
- Hanayashiki Official Site
- Tokyo Cruise