อาโซะ (Aso) เป็นเมืองในจังหวัดคุมาโมโตะบนเกาะคิวชู ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาไฟอาโซะ (Mt.Aso) ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ยังคุกรุ่นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และอาจเรียกได้ว่ามีการปะทุรุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศอีกด้วย ในบทความนี้จะแนะนำคุณไปรู้จักเมืองนี้โดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองอาโซะ (Aso)
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองอาโซะนั้นตั้งอยู่ในแอ่งภูเขาไฟอาโซะ (Aso Caldera) ที่เกิดจากการปะทุและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในอดีต ซึ่งแอ่งภูเขาไฟนี้นั้นถือว่าใหญ่เป็นอับดับต้นๆ ของโลกเลยครับ ตัวเมืองมีแม่น้ำคิคุจิไหลผ่าน และกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติอาโซะ-คุจู (Aso-Kuju National Park)
สำหรับทางด้านประวัติศาสตร์นั้น พื้นที่บริเวณนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เกือบสองพันปีก่อน เพราะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอาโซะ (Aso Shrine) หนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยชาวบ้านแถบนี้จะมาทำพิธีเซ่นสรวงภูเขาไฟที่นี่ทุกครั้งที่มีการปะทุครับ
อย่างไรก็ดีอาโซะไม่ได้มีบทบาททางด้านประวัติศาสตร์มากนักด้วยความที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงอย่างเกียวโตและโตเกียว ปัจจุบันอาโซะได้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เพราะนอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาแล้ว บริเวณเมืองยังมีน้ำพุร้อนมากมาย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมนอกเหนือจากยูฟุอิน และคุโรคาวะออนเซ็นสำหรับใครที่อยากจะไปแช่ออนเซ็นในเกาะคิวชูครับ
ข้อควรทราบ
เรื่องความปลอดภัยมีอะไรต้องระวังบ้าง?
สถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งในเมืองอาโซะอยู่ในเขตภูเขาไฟ เพราะฉะนั้นถ้ามีการปะทุเกิดขึ้นจะมีอันตรายได้ ดังนั้นโปรดตรวจสอบสถานะของภูเขาไฟที่เว็บนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางครับ
การเดินทางไปอาโซะทำอย่างไร?
การเช่ารถจากเมืองใหญ่ของเกาะคิวชู (ฟุกุโอกะ, คิตะคิวชู, คุมาโมโตะ ฯลฯ) เป็นตัวเลือกที่ง่ายดายและสะดวกสบายที่สุด แต่ถ้าคุณไม่ประสงค์จะขับรถเอง คุณจะมีทางเลือกดังต่อไปนี้ครับ
จากคุมาโมโตะ
รถบัส – Yamabiko Bus และ Kyushu Odan Bus คือผู้ให้บริการสองเจ้าที่ให้บริการรถบัสจากคุมาโมโตะไปยังอาโซะ โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
รถไฟ – คุณสามารถนั่งรถไฟชมวิว Kyushu Odan Tokkyu จากคุมาโมโตะไปยังอาโซะได้ โดยเวลาที่ใช้จะอยู่ที่ประมาณ 70 นาทีครับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมผมแนะนำให้ตรวจสอบที่เว็บของ JR Kyushu ครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Aso City Kanko เว็บท่องเที่ยวทางการของเมืองอาโซะ โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ
เพื่อที่จะได้สัมผัสกับธรรมชาติของที่นี่อย่างเต็มอิ่ม ผมแนะนำให้พักที่อาโซะสักคืนหนึ่ง ก่อนที่จะจองผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ภูเขาไฟอาโซะ
ภูเขาไฟอาโซะ (Mt.Aso) เป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่และเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ ในอดีตนั้นมีกระเช้า (Aso Ropeway) ที่พาคุณขึ้นไปได้ถึงด้านบนของยอดภูเขาไฟ แต่เนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟที่รุนแรงตามมาด้วยแผ่นดินไหวใหญ่ในจังหวัดคุมาโมโตะได้ทำให้ทั้งสถานีกระเช้าได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปัจจุบันกระเช้าจึงปิดให้บริการไปแล้วเรียบร้อย
ปัจจุบันวิธีการที่คุณจะชมภูเขาลูกนี้จึงเหลือไม่กี่วิธี สำหรับใครที่มีสุภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาเรื่องหัวใจหรือการหายใจ (เพราะบางยอดจะปล่อยแก๊สออกมา ซึ่งสร้างปัญหากับการหายใจ) คุณอาจจะเลือกไปชมหนึ่งในยอดทั้งห้าของภูเขาไฟอาโซะได้แก่ ภูเขาเอโบชิ (Mt.Eboshi), ภูเขานากะ (Mt.Naka) ภูเขาทากะ (Mt.Taka) ภูเขาคิจิมะ (Mt.Kijima) และภูเขาเนโกะ (Mt.Neko) และชม crater ที่สวยงามซึ่งเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนครับ
ทั้งนี้ยอดที่ไปชมง่ายที่สุดคือภูเขานากะ เพราะมีถนนขึ้นไปถึง ทำให้คุณลงจากรถ (ไม่ว่าจะขับเองหรือรถบัส) แล้วชมได้เลย (ถ้าทุกสิ่งเอื้ออำนวย) แต่ถ้าสนใจจะไปยอดอื่น คุณจะอาจจะต้องเดินเทรคหรือปีนเขาขึ้นไป ซึ่งไม่เหมาะกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ครับ
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือนั่งบอลลูนไอร้อนขึ้นไปชมภูเขาไฟอาโซะ ซึ่งคุณจะได้ชมวิวสวยๆ แบบ 360 องศา และให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่ใดด้วย ค่าบริการอยู่ที่ 2,200 เยนต่อคน อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของผู้ให้บริการครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจและเป็นแลนด์มาร์กของเมืองอาโซะก็คือ โคเมะสุกะ (Komezuka) ซึ่งเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่มีความเป็นเอกลักษณ์ บริเวณปากปล่องจะมีหญ้าปกคลุมโดยรอบ ทั้งนี้คุณสามารถซื้อทัวร์ในราคาประมาณ 6,000 เยน โดยจะมีไกด์พาคุณลงไปสำรวจด้านล่างของปากปล่องแห่งนี้ครับ
2. ทุ่งคุซาเซนริ
ทุ่งคุซาเซนริ (Kusasenri) เป็นทุ่งหญ้าที่ตั้งอยู่ในแอ่งภูเขาไฟ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยแนวภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น (ภูเขาเอโบชิและภูเขาคิจิมะ) และมีแอ่งน้ำที่สะท้อนภูเขาไฟลงบนพื้นน้ำ นักเดินทางนิยมเดินทางมาขี่ม้าชมวิวกันที่นี่ (มีให้บริการช่วงเดือนมีนาคมถึงธันวาคมเท่านั้น) รวมไปถึงถ่ายรูปแอ่งที่เต็มไปด้วยผืนหญ้าสีเขียวอันงดงามครับ
3. พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอาโซะ
พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอาโซะ (Aso Volcano Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟอาโซะ รวมไปถึงธรรมชาติโดยรอบอย่างละเอียด โดยตั้งอยู่ใกล้กับทุ่งคุซาเซนริครับ
นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ที่นี่ยังมีคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากหาที่นั่งพัก คุณอาจจะไปใช้บริการคาเฟ่ได้ครับ
4. ศาลเจ้าอาโซะ
ศาลเจ้าอาโซะ (Aso Shrine) อาจจะเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 282 ก่อนคริสตกาล แต่ในปัจจุบันนั้นตัวอาคารเดิมนั้นพังทลายไปสิ้นแล้ว แม้กระทั่งส่วนที่สร้างใหม่ก็ตาม (เพราะแผ่นดินไหวใหญ่รอบ 130 ปีที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2016)
ปัจจุบันศาลเจ้าอาโซะอยู่ระหว่างการซ่อมแซม แต่ก็ยังพอเข้าชมได้ ไฮไลท์ของที่นี่คือประตูโรมง (Romon Gate) ประตูสองชั้นที่ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศครับ
5. อุจิโนะมากิออนเซ็น
อุจิโนะมากิออนเซ็น (Uchinomaki Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาโซะ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวใช้นอนพักแรม เพราะจะได้แช่ออนเซ็นเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการท่องเที่ยวและการเดินทางครับ
นอกเหนือจากคุณภาพน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมแล้ว จุดเด่นของที่นี่คือวิวที่สวยมาก ซึ่งจะฟินสุดๆ เวลาที่คุณลองแช่บ่อกลางแจ้งแบบ rotenburo ครับ
6. ชมทะเลเมฆที่สวนแทนโกยามะ
สวนแทนโกยามะ (Tangoyama Park) เป็นจุดชมวิวทะเลเมฆหมอกที่สวยที่สุดของของอาโซะ โดยส่วนมากแล้วจะได้ชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เพราะว่าเป็นช่วงที่อุณหภูมิช่วงกลางวันและกลางคืนจะต่างกันอย่างมากครับ
ในการชมนั้น แน่นอนว่าคุณควรจะตื่นตั้งแต่เช้าและขับรถไปยังที่นี่ (อยู่ไม่ไกลจากอุจิโนะมากิออนเซ็น) ทะเลเมฆจะปรากฏให้ชมในช่วงเวลาประมาณ 7 โมงเช้าครับ
7. ไดคังโบ
ไดคังโบ (Daikanbo) เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของอาโซะเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นส่วนที่สูงที่สุดนอกภูเขาไฟอาโซะ ทำให้คุณเห็นวิวแบบพาโนรามาของเมืองอาโซะ ตลอดจนแนวภูเขาไฟที่ห้อมล้อมเมืองได้อย่างชัดเจนที่สุดในแบบพาโนรามา บ้างว่าวิวของจุดนี้เหมือนกับพระพุทธรูปปางไสยาสน์ครับ
นอกจากนี้ถ้าคุณเดินทางไปช่วงเช้า ตอนฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วง คุณอาจจะโชคดีได้ชมทะเลหมอกเป็นของขวัญด้วยครับ
8. Aso Milk Road
Aso Milk Road เป็นทางหลวงความยาว 45 กิโลเมตรที่ครอบคลุมพื้นที่ของทางหลวงหมายเลข 339, 12 และ 45 โดยพาดผ่านส่วนนอกของภูเขาไฟ ทำให้คุณได้ชมวิวสวยๆ ของทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากแร่ธาตุจากภูเขาไฟครับ นอกจากนี้ความสวยของทิวทัศน์สองข้างทางส่งผลให้ที่นี่มักจะเป็นจุดที่บริษัทรถมักจะมาถ่ายทำโฆษณาครับ
สาเหตุที่ถนนเส้นนี้ได้รับสมญาว่า Milk Road ก็เพราะบริเวณนี้มีการเลี้ยงโคนมจำนวนมาก และผลิตนมคุณภาพเยี่ยมที่ไม่ได้ด้อยกว่าที่ฮอกไกโดเลยครับ ถ้าอยากจะไปลองชิมหรือว่าซื้อเป็นของฝาก สถานที่คุณควรจะไปเยือนคือ Aso Milk Factory ครับ
9. ชิมอาหารพื้นเมือง
เมนูอันดับหนึ่งของที่นี่แน่นอนว่าคือข้าวหน้าเนื้อหรือ อะคาอุชิด้ง (Akaushi Don) โดยเนื้อวากิวชั้นเลิศของที่นี่จะนำไปย่างจนหอมกรุ่นแล้วเสิร์ฟบนข้าวสวยร้อนๆ เพียงเท่านี้ก็ฟินสุดๆ แล้วครับ หรือว่าจะสั่งเป็นสเต็กมารับประทานก็อร่อยไม่แพ้กัน
ส่วนอีกเมนูหนึ่งคือดาโกจิรุ (Dagojiru) ซึ่งเป็นเมนูพื้นบ้านของจังหวัดคุมาโมโตะ โดยมีลักษณะคล้ายกับเกี๊ยวน้ำ แต่เกี๊ยวจะคล้ายกับดังโงะ ในซุปก็จะมีเนื้อสัตว์และผักประกอบด้วยครับ นอกจากนี้เมนูอื่นๆ อย่างเช่นผลิตภัณฑ์นมและชีสก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดครับ
References
- Aso City Kanko
- Aso Nature Land Official Site
- Aso Volcano Official Site
- JNTO – Aso and Around Article
- Aso Geopark