หน้าแรกญี่ปุ่นคิวชู6 ที่เที่ยวเบปปุ (Beppu) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

6 ที่เที่ยวเบปปุ (Beppu) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

เบปปุ (Beppu) เป็นเมืองในจังหวัดโออิตะที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นเมืองออนเซ็น อันที่จริงแล้วนั้นเบปปุถือว่าเป็นอันดับ 1 ในเรื่องปริมาณน้ำแร่ที่ผลิตได้ เหนือกว่าเมืองใดๆ ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งสาวกผู้หลงรักการแช่ออนเซ็น (อย่างเช่นผมเป็นต้น) ไม่ควรพลาดทุกกรณีเลยครับ

ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเบปปุโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

รู้จักเมืองเบปปุ (Beppu)

สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองเบปปุนั้นด้านหนึ่งติดทะเล โดยอยู่ทางด้านตะวันตกของอ่าวเบปปุ ส่วนอีกสามด้านนั้นล้วนแต่เป็นแนวภูเขาสูงและภูเขาไฟ แต่ใกล้กับตัวเมืองนั้นมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ทำให้ตัวเมืองจัดว่าอุดมสมบูรณ์ทีเดียวครับ

เบปปุ
by Madrugada Verde/ShutterStock

เบปปุนั้นเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่อย่างน้อยช่วงต้นศตวรรษที่ 8 (ก่อนยุคนาราเล็กน้อย) โดยมีชื่อว่าเป็นออนเซ็นที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งความนิยมของเบปปุยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในสมัยคามาคุระ เห็นได้ชัดจากการสร้างสถานที่บริบาลผู้ป่วยจำนวนมากในพื้นที่บริเวณเมืองเพื่อรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการรุกรานของกองทัพมองโกล

ทว่าหลังจากนั้นเบปปุก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก จนกระทั่งสมัยเอโดะที่เบปปุเริ่มได้รับความนิยมขึ้นมาพอสมควร ต่อมาในสมัยเมจิมีการใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการค้นหาบ่อน้ำพุร้อน ทำให้ปริมาณน้ำแร่ที่ตัวเมืองผลิตได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็เป็นอันดับ 1 ของประเทศอย่างไร้ผู้คู่แข่งครับ และเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมือง

by Sean Pavone/ShutterStock

อย่างไรก็ดีการที่ชาวเมืองใช้น้ำแร่เหล่านี้ในการทำการเกษตรและผลิตเกลือได้ทำให้บ่อน้ำพุร้อนเสื่อมคุณภาพไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเข้ามาควบคุมการใช้ปริมาณน้ำ และสั่งให้งดใช้น้ำแร่ในการผลิตเกลือโดยเด็ดขาด

ปัจจุบันเบปปุได้กลายเป็นเมืองออนเซ็นที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศ และมีชื่อเสียงระบือไกลไปยังต่างแดน ที่นี่จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่นครับ

บ่อร้อนที่เบปปุ
by Orapin Joyphuem/ShutterStock

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปเมืองเบปปุทำอย่างไร?

เบปปุเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของเกาะคิวชู เพราะฉะนั้นเดินทางไปได้ไม่ยากจากเมืองใหญ่ของเกาะอย่างเช่นฟุกุโอกะครับ

จากฟุกุโอกะ

  • รถไฟ – รถไฟ Sonic Limited Express Train เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายที่สุดในการเดินทางจากฟุกุโอกะ (Hakata Station) หรือคิตะคิวชู (Kokura Station) ไปยังเบปปุ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นครับ
  • รถบัส – อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือรถบัสของ Nishitetsu Bus โดยจะใช้เวลา 2.5 ชั่วโมงจากสถานี Hakata Station ซึ่งมากกว่ารถไฟ แต่ราคาถูกกว่าอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าคุณอยากประหยัดค่าใช้จ่าย การนั่งรถบัสถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ

จากที่อื่นๆ

ในกรณีที่คุณไปเที่ยวยูฟุอินหรืออาโซะ จะมีรถบัสให้บริการจากทั้งสองแห่งไปยังเบปปุได้โดยตรง (Kamenoi Bus สำหรับยูฟุอิน และ Kyushu Odan Bus สำหรับอาโซะ) ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปมาครับ

ส่วนเมืองอื่นๆ นั้นจะสะดวกสบายยิ่งขึ้น ถ้าคุณเช่ารถขับเองมาจากฟุกุโอกะหรือว่าโออิตะ และยังเปิดทางให้คุณไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่นคุโรคาวะออนเซ็นเป็นต้นครับ

ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Beppu Tourism และ JR Kyushu โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ

การสัญจรในเมืองเบปปุทำอย่างไร?

รถบัสจะเป็นพาหนะหลักของคุณสำหรับเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในเมืองเบปปุ แต่ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นไป แท็กซี่จะเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ครับ

เมืองเบปปุในปัจจุบัน
by iamlukyeee/ShutterStock
Tip

ผมแนะนำอย่างยิ่งให้พักที่เบปปุสักคืนหนึ่ง ถ้าคุณยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ

1. หมู่บ้านออนเซ็นทั้ง 8

เบปปุเป็นเมืองออนเซ็นขนาดใหญ่ที่มีหมู่บ้านออนเซ็นย่อยถึง 8 แห่ง หรือเรียกรวมๆ ว่าเบปปุฮัตโตะ (Beppu Hatto) ซึ่งแต่ละแห่งนั้นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไปครับ

เบปปุออนเซ็น (Beppu Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นโบราณที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในเบปปุ ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8 ไฮไลท์ของที่นี่คือโรงอาบน้ำทาเคกาวาระ (Takegawara) ที่เปิดมาตั้งแต่สมัยเมจิ ถึงทุกวันนี้ก็เกือบ 150 ปีแล้วครับ

ฮามาวากิออนเซ็น (Hamawaki Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นเก่าแก่ที่เชื่อกันว่ามีประวัติย้อนไปถึงสมัยคามาคุระ ตามตำนานเล่าว่าน้ำแร่ของที่นี่พุ่งออกมาจากหาดทรายครับ ในหมู่บ้านยังมีอาคารเก่าๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งบางส่วนเคยเป็นสถานที่เริงรมณ์ หรือจุดที่เหล่าเกอิชาขึ้นแสดงครับ

คาเมกาวะออนเซ็น (Kamegawa Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่ที่มีเกลือเป็นส่วนผสมจำนวนมาก และการอาบทรายร้อนไปพร้อมๆ กับฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งครับ อย่างไรก็ดี facilities เดิมนั้นปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 แต่ทางเมืองกำลังสร้างแห่งใหม่มาทดแทนครับ

การอาบทรายที่คาเมกาวะออนเซ็น
by Vassamon Anansukkasem/ShutterStock

คันนาวะออนเซ็น (Kannawa Onsen) – ออนเซ็นที่มีควันพวยพุ่งออกมาแทบจะตลอดเวลา และมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องอาหารจิโกคุมุชิ (Jigokumushi) อาหารที่ทำด้วยการอบไอน้ำจากบ่อน้ำแร่ครับ

เบปปุออนเซ็น (Beppu Onsen)
by maruru/ShutterStock

คันไคจิออนเซ็น (Kankaiji Onsen) – หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงสมัยคามาคุระ จุดแข็งอยู่ที่วิวมุมสูงที่สวยที่สุด ซึ่งคุณจะได้ชมระหว่างที่แช่ในสระกลางแจ้ง (rotenburo) ครับ

โฮริตะออนเซ็น (Horita Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่เริ่มมีชื่อเสียงในสมัยเอโดะ และจัดว่าวิวสวยเป็นอันดับต้นๆ เพราะวิวจากสระน้ำแต่ละแห่งนั้นสวยงามมาก แต่ที่ฟินสุดๆ ต้องที่ Taki-no-Yu เพราะอยู่ใกล้กับน้ำตกสองแห่งครับ

ชิบะเซกิออนเซ็น (Shibaseki Onsen) – ออนเซ็นที่ว่ากันว่ามีคุณภาพน้ำแสนวิเศษ และเคยรักษาโรคของจักรพรรดิญี่ปุ่นสองพระองค์ทั้งในช่วงศตวรรษที่ 9 และ 11 โรงอาบน้ำแต่ละแห่งจะถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยนกชนิดต่างๆ ครับ

เมียวบันออนเซ็น (Myoban Onsen) – ในอดีตที่นี่เคยเป็นสถานที่ผลิตสารส้มตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งพัฒนาร่วมไปกับธุรกิจออนเซ็นของหมู่บ้าน นอกจากออนเซ็นที่มีหลายแบบแล้ว หมู่บ้านนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องการอาบโคลนที่ช่วยให้ผิวสวยครับ

ในแต่ละหมู่บ้านนั้นจะมีโรงอาบน้ำที่คุณใช้บริการได้หลายแห่ง อย่างไรก็ดีเบปปุนั้นมีวัฒนธรรมการอาบน้ำที่ค่อนข้างเคร่งครัด ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อนเพื่อความสะดวกใจเวลาแช่ออนเซ็นครับ

2. จิโกคุทั้ง 7

จิโกคุ (Jigoku) หรือ “นรก” คือบ่อร้อนทั้ง 7 แห่งที่อยู่ภายในเขตเมืองเบปปุ ซึ่งแต่ละบ่อจะมีสีที่แตกต่างกันไป เพราะแร่ธาตุที่ไม่เหมือนกันในแต่ละบ่อนั่นเองครับ ทั้งนี้การท่องเที่ยวไปตามบ่อทั้ง 7 แห่งถือว่าเป็น a must ของการเดินทางไปเยือนเมืองนี้มาตั้งแต่โบราณแล้วครับ

บ่อทั้ง 7 แห่งประกอบด้วย

อุมิจิโกคุ (Umi Jigoku) – สระร้อนที่มีน้ำร้อนสีฟ้าเหมือนกับน้ำทะเล แต่สีของน้ำในสระจะแปรไปตามมุมของดวงอาทิตย์ ใกล้กับสระมีสวนและจุดชมวิวให้คุณบ่อแห่งนี้ได้จากมุมสูงครับ ตัวบ่อนั้นอาจจะดูตื้นๆ แต่จริงๆแล้วลึกถึง 200 เมตรด้วยกันครับ

ใกล้กับสระแห่งนี้ คุณสามารถซื้อไข่ออนเซ็น (ไข่ที่ถูกนำไปต้มให้สุกด้วยน้ำในบ่อร้อน) เช่นเดียวกับอาหารและของว่างอื่นๆ ที่คาเฟ่ใกล้ๆ ครับ

โอนิอิชิโบอุสุ จิโกคุ (Oniishibouzu Jigoku) – สระร้อนที่โคลนเดือดสีเทา ที่มีเสียงเดือดปุดๆ ให้คุณได้ยินอยู่แทบจะตลอดเวลา รูปร่างของฟองอากาศเวลาผุดขึ้นมานั้นคนญี่ปุ่นว่าเหมือนกับศีรษะที่ถูกโกนผมจนล้าน ใกล้กับบ่อแห่งนี้มีบ่อแช่เท้าให้คุณนั่งพักคลายเหนื่อยด้วยครับ

คามาโดะ จิโกคุ (Kamado Jigoku) – บ่อนี้เป็นบ่อร้อนที่มีบ่อย่อยมากมายที่อยู่ใกล้กัน และมีสีที่แตกต่างกันด้วยตั้งแต่สีส้มไปจนถึงสีฟ้า ในอดีตชาวบ้านมักจะใช้ไอน้ำจากบ่อแห่งนี้ในการหุงข้าวไปถวายที่ศาลเจ้าครับ ที่นี่จึงมีผลิตภัณฑ์อาหารจากบ่อร้อนมากมายที่ให้คุณได้ลิ้มลอง ตั้งแต่น้ำแร่ไปจนถึงไข่ออนเซ็น นอกจากนี้ใกล้กับบ่อนี้ยังมีบ่อให้แช่มือและเท้าด้วยครับ

คามาโดะ จิโกคุ
by Sean Pavone/ShutterStock

โอนิยามะ จิโกคุ (Oniyama Jigoku) – ชื่อของที่นี่แปลง่ายๆ ว่านรกจระเข้ ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่เลี้ยงจระเข้ด้วยไอน้ำจากบ่อร้อน ปัจจุบันที่นี่ก็ยังมีสวนจระเข้ให้เข้าชมได้ครับ

Oniyama Jigoku
by pompom/ShutterStock

ชิไรเคะ จิโกคุ (Shiraike Jigoku) – บ่อร้อนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับหัวใจ น้ำของบ่อนั้นเปลี่ยนสีไปในแต่ละช่วงของวัน ตั้งแต่สีขาวเข้มไปจนถึงสีออกฟ้า-น้ำเงิน ใกล้กับบ่อร้อนมีพิพิธภัณฑ์ปลาเขตร้อนที่มีปลาหลากหลายชนิดให้คุณได้ชมครับ

ชิไรเคะ จิโกคุ
by leungchopan/ShutterStock

จิโนอิเคะ จิโกคุ (Chinoike Jigoku) – สระร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคนารา น้ำในสระนี้มีสีแดง ทำให้ได้รับสมญาว่าเป็นสระเลือด (แต่จริงๆ แล้วเป็นดินโคลนที่กำลังเดือด) ในอดีตดินของที่นี่ถูกใช้ไปตบแต่งสุสาน เช่นเดียวกับใช้ในการย้อมสีเสื้อผ้าต่างๆ ครับ

จิโนอิเคะ จิโกคุ
by Yobab/ShutterStock

ปัจจุบันบ่อนี้มีร้านค้าและร้านอาหารอยู่รอบบ่อแห่งนี้ เช่นเดียวกับบ่อแช่เท้าครับ

ทัตสึมากิ จิโกคุ (Tatsumaki Jigoku) – บ่อร้อนที่มีน้ำพวยพุ่งทุกๆ 30-40 นาที และส่งเสียงดังไปทั่วอาณาบริเวณ ใกล้กับบ่อร้อนแห่งนี้จะมีร้านขายขนมหวานที่เก็บเกี่ยวกับฟาร์มใกล้ๆ ครับ

ทัตสึมากิ จิโกคุ ที่เที่ยว Beppu
by Ziggy_mars/ShutterStock

สำหรับการเที่ยวบ่อร้อนทั้ง 7 แห่งนั้น นักเดินทางมักจะซื้อทัวร์ชื่อว่า Jigoku Meguri Bus Tour ซึ่งเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ ค.ศ.1928 ครับ แต่จะเที่ยวเองแบบไม่ง้อทัวร์ก็ได้เช่นกันครับ

3. ภูเขาสึรุมิ

ภูเขาสึรุมิ (Mt.Tsurumi) หรือสึรุมิดาเกะเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่เหนือเมืองเบปปุ ทำให้เป็นจุดชมวิวมุมสูงของตัวเมืองที่หันหน้าออกทะเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ในการขึ้นไปนั้นก็มีกระเช้าพาคุณขึ้นไป การเดินทางจึงสะดวกสบายมากครับ

ภูเขาสึรุมิ
by KAZU_49M/ShutterStock

บริเวณสถานีกระเช้านั้นมีต้นซากุระปลูกไว้มากกว่าสองพันต้น เพราะฉะนั้นที่นี่ย่อมเป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของเบปปุไปโดยปริยาย ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ที่นี่ก็งดงามไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามครับ

4. ลิ้มลองจิโกคุมูชิ

จิโกคุมูชิ (Jigokumushi) เป็นเมนูอาหารที่ทำด้วยการนึ่งวัตถุดิบด้วยไอน้ำจากบ่อร้อนจนสุก คุณสามารถไปลิ้มลองเมนูนี้ได้ที่ Jigokumushi Kobo Kannawa หรือ Nisainoyuyado Asahiya โดยคุณจะได้ซื้อวัตถุดิบและนำทั้งหมดไปใส่ในจุดอบไอน้ำ (ด้วยการช่วยเหลือจากทีมงาน) หลังจากนั้นคุณก็มารับอาหารของคุณไป เมื่อขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อยครับ

by Suchart Boonyavech/ShutterStock

อาหารที่นึ่งเสร็จแล้วจะมีกลิ่นหอมมาก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยวดยิ่งครับ เมื่อไปถึงเบปปุควรหาอะไรลองสักครั้งครับ ไม่ลองก็เหมือนไปไม่ถึงนั่นเอง

นอกจากเมนูนี้แล้ว เบปปุมีสองเมนูที่น่าสนใจ เมนูแรกได้แก่ Beppu Reimen หรือหมี่เย็นที่ญี่ปุ่นรับมาจากเกาหลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และปรับให้เป็นสไตล์ของเมืองนี้ครับ ส่วนอีกเมนูคือ Toriten ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือไก่ทอดแบบเทมปุระ เมนูนี้เป็นเมนูเลื่องชื่อที่โด่งดังไปทั่วจังหวัดโออิตะครับ

Toriten
by Kitinut Jinapuck/ShutterStock

5. ทะเลสาบชิดากะ

ทะเลสาบชิดากะ (Lake Shidaka) เป็นทะเลสาบบนภูเขา โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแบบ unseen ของเบปปุ ทัศนียภาพของที่นี่จะเปลี่ยนไปทุกฤดู โดยจะมีซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผืนป่าเขียวชอุ่มช่วงฤดูร้อน และใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ

Lake Shidaka
by Kai Keisuke/ShutterStock

บริเวณทะเลสาบยังมีปลาคาร์พและหงส์จำนวนมาก ซึ่งนักเดินทางนิยมมาให้อาหารกัน เช่นเดียวกับตั้งเต้นท์ชมวิว ไปจนถึงดูท้องฟ้าอันพร่างพราวในยามค่ำคืนครับ

หงส์ที่ทะเลสาบชิดากะ
by TETSU Snowdrop/ShutterStock

6. Takasakiyama Natural Zoological Garden

Takasakiyama Natural Zoological Garden เป็นเขตรักษาพันธุ์ลิงที่ตั้งอยู่ที่ตีนภูเขาทาคาซากิ ที่นี่มีลิงญี่ปุ่นมากถึง 1,500 ตัวที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ถูกคุมขังหรือรบกวน สาเหตุที่เขตนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาก็เพราะลิงพวกนี้ไปรบกวนชาวบ้านและชาวไร่ชาวสวน (ไม่ต่างอะไรกับที่ไทย) แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้ามาจัดระเบียบพื้นที่ให้เป็นระบบ และเปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวครับ

Takasakiyama Natural Zoological Garden
by rujin/ShutterStock

ด้านในจะมีกิจกรรมให้อาหารลิงซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งคุณจะได้รับชมหมู่ลิงเหล่านี้อย่างใกล้ชิดครับ

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

แนะนำสำหรับช่วงฤดูร้อน

โรงแรมน่าจองในโตเกียว

บทความล่าสุด

error: Content is protected !!