เบปปุ (Beppu) เป็นเมืองในจังหวัดโออิตะที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นเมืองออนเซ็น อันที่จริงแล้วนั้นเบปปุถือว่าเป็นอันดับ 1 ในเรื่องปริมาณน้ำแร่ที่ผลิตได้ เหนือกว่าเมืองใดๆ ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งสาวกผู้หลงรักการแช่ออนเซ็น (อย่างเช่นผมเป็นต้น) ไม่ควรพลาดทุกกรณีเลยครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเบปปุโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองเบปปุ (Beppu)
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองเบปปุนั้นด้านหนึ่งติดทะเล โดยอยู่ทางด้านตะวันตกของอ่าวเบปปุ ส่วนอีกสามด้านนั้นล้วนแต่เป็นแนวภูเขาสูงและภูเขาไฟ แต่ใกล้กับตัวเมืองนั้นมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ทำให้ตัวเมืองจัดว่าอุดมสมบูรณ์ทีเดียวครับ
เบปปุนั้นเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่อย่างน้อยช่วงต้นศตวรรษที่ 8 (ก่อนยุคนาราเล็กน้อย) โดยมีชื่อว่าเป็นออนเซ็นที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งความนิยมของเบปปุยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในสมัยคามาคุระ เห็นได้ชัดจากการสร้างสถานที่บริบาลผู้ป่วยจำนวนมากในพื้นที่บริเวณเมืองเพื่อรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการรุกรานของกองทัพมองโกล
ทว่าหลังจากนั้นเบปปุก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก จนกระทั่งสมัยเอโดะที่เบปปุเริ่มได้รับความนิยมขึ้นมาพอสมควร ต่อมาในสมัยเมจิมีการใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการค้นหาบ่อน้ำพุร้อน ทำให้ปริมาณน้ำแร่ที่ตัวเมืองผลิตได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็เป็นอันดับ 1 ของประเทศอย่างไร้ผู้คู่แข่งครับ และเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมือง
อย่างไรก็ดีการที่ชาวเมืองใช้น้ำแร่เหล่านี้ในการทำการเกษตรและผลิตเกลือได้ทำให้บ่อน้ำพุร้อนเสื่อมคุณภาพไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเข้ามาควบคุมการใช้ปริมาณน้ำ และสั่งให้งดใช้น้ำแร่ในการผลิตเกลือโดยเด็ดขาด
ปัจจุบันเบปปุได้กลายเป็นเมืองออนเซ็นที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศ และมีชื่อเสียงระบือไกลไปยังต่างแดน ที่นี่จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่นครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองเบปปุทำอย่างไร?
เบปปุเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของเกาะคิวชู เพราะฉะนั้นเดินทางไปได้ไม่ยากจากเมืองใหญ่ของเกาะอย่างเช่นฟุกุโอกะครับ
จากฟุกุโอกะ
- รถไฟ – รถไฟ Sonic Limited Express Train เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายที่สุดในการเดินทางจากฟุกุโอกะ (Hakata Station) หรือคิตะคิวชู (Kokura Station) ไปยังเบปปุ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นครับ
- รถบัส – อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือรถบัสของ Nishitetsu Bus โดยจะใช้เวลา 2.5 ชั่วโมงจากสถานี Hakata Station ซึ่งมากกว่ารถไฟ แต่ราคาถูกกว่าอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าคุณอยากประหยัดค่าใช้จ่าย การนั่งรถบัสถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ
จากที่อื่นๆ
ในกรณีที่คุณไปเที่ยวยูฟุอินหรืออาโซะ จะมีรถบัสให้บริการจากทั้งสองแห่งไปยังเบปปุได้โดยตรง (Kamenoi Bus สำหรับยูฟุอิน และ Kyushu Odan Bus สำหรับอาโซะ) ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปมาครับ
ส่วนเมืองอื่นๆ นั้นจะสะดวกสบายยิ่งขึ้น ถ้าคุณเช่ารถขับเองมาจากฟุกุโอกะหรือว่าโออิตะ และยังเปิดทางให้คุณไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่นคุโรคาวะออนเซ็นเป็นต้นครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Beppu Tourism และ JR Kyushu โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ
การสัญจรในเมืองเบปปุทำอย่างไร?
รถบัสจะเป็นพาหนะหลักของคุณสำหรับเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในเมืองเบปปุ แต่ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นไป แท็กซี่จะเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ครับ
ผมแนะนำอย่างยิ่งให้พักที่เบปปุสักคืนหนึ่ง ถ้าคุณยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. หมู่บ้านออนเซ็นทั้ง 8
เบปปุเป็นเมืองออนเซ็นขนาดใหญ่ที่มีหมู่บ้านออนเซ็นย่อยถึง 8 แห่ง หรือเรียกรวมๆ ว่าเบปปุฮัตโตะ (Beppu Hatto) ซึ่งแต่ละแห่งนั้นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไปครับ
เบปปุออนเซ็น (Beppu Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นโบราณที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในเบปปุ ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8 ไฮไลท์ของที่นี่คือโรงอาบน้ำทาเคกาวาระ (Takegawara) ที่เปิดมาตั้งแต่สมัยเมจิ ถึงทุกวันนี้ก็เกือบ 150 ปีแล้วครับ
ฮามาวากิออนเซ็น (Hamawaki Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นเก่าแก่ที่เชื่อกันว่ามีประวัติย้อนไปถึงสมัยคามาคุระ ตามตำนานเล่าว่าน้ำแร่ของที่นี่พุ่งออกมาจากหาดทรายครับ ในหมู่บ้านยังมีอาคารเก่าๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งบางส่วนเคยเป็นสถานที่เริงรมณ์ หรือจุดที่เหล่าเกอิชาขึ้นแสดงครับ
คาเมกาวะออนเซ็น (Kamegawa Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่ที่มีเกลือเป็นส่วนผสมจำนวนมาก และการอาบทรายร้อนไปพร้อมๆ กับฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งครับ อย่างไรก็ดี facilities เดิมนั้นปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 แต่ทางเมืองกำลังสร้างแห่งใหม่มาทดแทนครับ
คันนาวะออนเซ็น (Kannawa Onsen) – ออนเซ็นที่มีควันพวยพุ่งออกมาแทบจะตลอดเวลา และมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องอาหารจิโกคุมุชิ (Jigokumushi) อาหารที่ทำด้วยการอบไอน้ำจากบ่อน้ำแร่ครับ
คันไคจิออนเซ็น (Kankaiji Onsen) – หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงสมัยคามาคุระ จุดแข็งอยู่ที่วิวมุมสูงที่สวยที่สุด ซึ่งคุณจะได้ชมระหว่างที่แช่ในสระกลางแจ้ง (rotenburo) ครับ
โฮริตะออนเซ็น (Horita Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่เริ่มมีชื่อเสียงในสมัยเอโดะ และจัดว่าวิวสวยเป็นอันดับต้นๆ เพราะวิวจากสระน้ำแต่ละแห่งนั้นสวยงามมาก แต่ที่ฟินสุดๆ ต้องที่ Taki-no-Yu เพราะอยู่ใกล้กับน้ำตกสองแห่งครับ
ชิบะเซกิออนเซ็น (Shibaseki Onsen) – ออนเซ็นที่ว่ากันว่ามีคุณภาพน้ำแสนวิเศษ และเคยรักษาโรคของจักรพรรดิญี่ปุ่นสองพระองค์ทั้งในช่วงศตวรรษที่ 9 และ 11 โรงอาบน้ำแต่ละแห่งจะถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยนกชนิดต่างๆ ครับ
เมียวบันออนเซ็น (Myoban Onsen) – ในอดีตที่นี่เคยเป็นสถานที่ผลิตสารส้มตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งพัฒนาร่วมไปกับธุรกิจออนเซ็นของหมู่บ้าน นอกจากออนเซ็นที่มีหลายแบบแล้ว หมู่บ้านนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องการอาบโคลนที่ช่วยให้ผิวสวยครับ
ในแต่ละหมู่บ้านนั้นจะมีโรงอาบน้ำที่คุณใช้บริการได้หลายแห่ง อย่างไรก็ดีเบปปุนั้นมีวัฒนธรรมการอาบน้ำที่ค่อนข้างเคร่งครัด ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อนเพื่อความสะดวกใจเวลาแช่ออนเซ็นครับ
2. จิโกคุทั้ง 7
จิโกคุ (Jigoku) หรือ “นรก” คือบ่อร้อนทั้ง 7 แห่งที่อยู่ภายในเขตเมืองเบปปุ ซึ่งแต่ละบ่อจะมีสีที่แตกต่างกันไป เพราะแร่ธาตุที่ไม่เหมือนกันในแต่ละบ่อนั่นเองครับ ทั้งนี้การท่องเที่ยวไปตามบ่อทั้ง 7 แห่งถือว่าเป็น a must ของการเดินทางไปเยือนเมืองนี้มาตั้งแต่โบราณแล้วครับ
บ่อทั้ง 7 แห่งประกอบด้วย
อุมิจิโกคุ (Umi Jigoku) – สระร้อนที่มีน้ำร้อนสีฟ้าเหมือนกับน้ำทะเล แต่สีของน้ำในสระจะแปรไปตามมุมของดวงอาทิตย์ ใกล้กับสระมีสวนและจุดชมวิวให้คุณบ่อแห่งนี้ได้จากมุมสูงครับ ตัวบ่อนั้นอาจจะดูตื้นๆ แต่จริงๆแล้วลึกถึง 200 เมตรด้วยกันครับ
ใกล้กับสระแห่งนี้ คุณสามารถซื้อไข่ออนเซ็น (ไข่ที่ถูกนำไปต้มให้สุกด้วยน้ำในบ่อร้อน) เช่นเดียวกับอาหารและของว่างอื่นๆ ที่คาเฟ่ใกล้ๆ ครับ
โอนิอิชิโบอุสุ จิโกคุ (Oniishibouzu Jigoku) – สระร้อนที่โคลนเดือดสีเทา ที่มีเสียงเดือดปุดๆ ให้คุณได้ยินอยู่แทบจะตลอดเวลา รูปร่างของฟองอากาศเวลาผุดขึ้นมานั้นคนญี่ปุ่นว่าเหมือนกับศีรษะที่ถูกโกนผมจนล้าน ใกล้กับบ่อแห่งนี้มีบ่อแช่เท้าให้คุณนั่งพักคลายเหนื่อยด้วยครับ
คามาโดะ จิโกคุ (Kamado Jigoku) – บ่อนี้เป็นบ่อร้อนที่มีบ่อย่อยมากมายที่อยู่ใกล้กัน และมีสีที่แตกต่างกันด้วยตั้งแต่สีส้มไปจนถึงสีฟ้า ในอดีตชาวบ้านมักจะใช้ไอน้ำจากบ่อแห่งนี้ในการหุงข้าวไปถวายที่ศาลเจ้าครับ ที่นี่จึงมีผลิตภัณฑ์อาหารจากบ่อร้อนมากมายที่ให้คุณได้ลิ้มลอง ตั้งแต่น้ำแร่ไปจนถึงไข่ออนเซ็น นอกจากนี้ใกล้กับบ่อนี้ยังมีบ่อให้แช่มือและเท้าด้วยครับ
โอนิยามะ จิโกคุ (Oniyama Jigoku) – ชื่อของที่นี่แปลง่ายๆ ว่านรกจระเข้ ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่เลี้ยงจระเข้ด้วยไอน้ำจากบ่อร้อน ปัจจุบันที่นี่ก็ยังมีสวนจระเข้ให้เข้าชมได้ครับ
ชิไรเคะ จิโกคุ (Shiraike Jigoku) – บ่อร้อนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับหัวใจ น้ำของบ่อนั้นเปลี่ยนสีไปในแต่ละช่วงของวัน ตั้งแต่สีขาวเข้มไปจนถึงสีออกฟ้า-น้ำเงิน ใกล้กับบ่อร้อนมีพิพิธภัณฑ์ปลาเขตร้อนที่มีปลาหลากหลายชนิดให้คุณได้ชมครับ
จิโนอิเคะ จิโกคุ (Chinoike Jigoku) – สระร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคนารา น้ำในสระนี้มีสีแดง ทำให้ได้รับสมญาว่าเป็นสระเลือด (แต่จริงๆ แล้วเป็นดินโคลนที่กำลังเดือด) ในอดีตดินของที่นี่ถูกใช้ไปตบแต่งสุสาน เช่นเดียวกับใช้ในการย้อมสีเสื้อผ้าต่างๆ ครับ
ปัจจุบันบ่อนี้มีร้านค้าและร้านอาหารอยู่รอบบ่อแห่งนี้ เช่นเดียวกับบ่อแช่เท้าครับ
ทัตสึมากิ จิโกคุ (Tatsumaki Jigoku) – บ่อร้อนที่มีน้ำพวยพุ่งทุกๆ 30-40 นาที และส่งเสียงดังไปทั่วอาณาบริเวณ ใกล้กับบ่อร้อนแห่งนี้จะมีร้านขายขนมหวานที่เก็บเกี่ยวกับฟาร์มใกล้ๆ ครับ
สำหรับการเที่ยวบ่อร้อนทั้ง 7 แห่งนั้น นักเดินทางมักจะซื้อทัวร์ชื่อว่า Jigoku Meguri Bus Tour ซึ่งเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ ค.ศ.1928 ครับ แต่จะเที่ยวเองแบบไม่ง้อทัวร์ก็ได้เช่นกันครับ
3. ภูเขาสึรุมิ
ภูเขาสึรุมิ (Mt.Tsurumi) หรือสึรุมิดาเกะเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่เหนือเมืองเบปปุ ทำให้เป็นจุดชมวิวมุมสูงของตัวเมืองที่หันหน้าออกทะเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ในการขึ้นไปนั้นก็มีกระเช้าพาคุณขึ้นไป การเดินทางจึงสะดวกสบายมากครับ
บริเวณสถานีกระเช้านั้นมีต้นซากุระปลูกไว้มากกว่าสองพันต้น เพราะฉะนั้นที่นี่ย่อมเป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของเบปปุไปโดยปริยาย ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ที่นี่ก็งดงามไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามครับ
4. ลิ้มลองจิโกคุมูชิ
จิโกคุมูชิ (Jigokumushi) เป็นเมนูอาหารที่ทำด้วยการนึ่งวัตถุดิบด้วยไอน้ำจากบ่อร้อนจนสุก คุณสามารถไปลิ้มลองเมนูนี้ได้ที่ Jigokumushi Kobo Kannawa หรือ Nisainoyuyado Asahiya โดยคุณจะได้ซื้อวัตถุดิบและนำทั้งหมดไปใส่ในจุดอบไอน้ำ (ด้วยการช่วยเหลือจากทีมงาน) หลังจากนั้นคุณก็มารับอาหารของคุณไป เมื่อขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อยครับ
อาหารที่นึ่งเสร็จแล้วจะมีกลิ่นหอมมาก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยวดยิ่งครับ เมื่อไปถึงเบปปุควรหาอะไรลองสักครั้งครับ ไม่ลองก็เหมือนไปไม่ถึงนั่นเอง
นอกจากเมนูนี้แล้ว เบปปุมีสองเมนูที่น่าสนใจ เมนูแรกได้แก่ Beppu Reimen หรือหมี่เย็นที่ญี่ปุ่นรับมาจากเกาหลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และปรับให้เป็นสไตล์ของเมืองนี้ครับ ส่วนอีกเมนูคือ Toriten ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือไก่ทอดแบบเทมปุระ เมนูนี้เป็นเมนูเลื่องชื่อที่โด่งดังไปทั่วจังหวัดโออิตะครับ
5. ทะเลสาบชิดากะ
ทะเลสาบชิดากะ (Lake Shidaka) เป็นทะเลสาบบนภูเขา โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแบบ unseen ของเบปปุ ทัศนียภาพของที่นี่จะเปลี่ยนไปทุกฤดู โดยจะมีซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผืนป่าเขียวชอุ่มช่วงฤดูร้อน และใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
บริเวณทะเลสาบยังมีปลาคาร์พและหงส์จำนวนมาก ซึ่งนักเดินทางนิยมมาให้อาหารกัน เช่นเดียวกับตั้งเต้นท์ชมวิว ไปจนถึงดูท้องฟ้าอันพร่างพราวในยามค่ำคืนครับ
6. Takasakiyama Natural Zoological Garden
Takasakiyama Natural Zoological Garden เป็นเขตรักษาพันธุ์ลิงที่ตั้งอยู่ที่ตีนภูเขาทาคาซากิ ที่นี่มีลิงญี่ปุ่นมากถึง 1,500 ตัวที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ถูกคุมขังหรือรบกวน สาเหตุที่เขตนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาก็เพราะลิงพวกนี้ไปรบกวนชาวบ้านและชาวไร่ชาวสวน (ไม่ต่างอะไรกับที่ไทย) แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้ามาจัดระเบียบพื้นที่ให้เป็นระบบ และเปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวครับ
ด้านในจะมีกิจกรรมให้อาหารลิงซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งคุณจะได้รับชมหมู่ลิงเหล่านี้อย่างใกล้ชิดครับ
References
- Beppu Tourism
- JNTO – Hells of Beppu Article