โบโลญญ่า (Bologna) เป็นเมืองหลวงของเขตการปกครอง Emilia-Romagna ของประเทศอิตาลี และเป็นประตูสู่เมืองสวยในภูมิภาคหลายแห่ง อาทิเช่นราเวนนา หรือปาร์มา และเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วยครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองโบโลญญ่า ก่อนที่จะแนะนำสถานที่เที่ยวสำคัญเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองโบโลญญ่า (Bologna)
โบโลญญ่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหลายแขนงด้วยกัน ตั้งแต่เป็นเมืองแห่งการศึกษาเพราะว่ามีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตั้งอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับเมืองแห่งอาหาร เพราะมีวัฒนธรรมอาหารที่มีชื่อเสียง ไส้กรอกสัญชาติอเมริกันอย่าง Bologna Sausage นั้นมีที่มาจากไส้กรอกอิตาเลียนชื่อ Mortadella ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองโบโลญญาแห่งนี้ครับ
บริเวณเมืองโบโลญญ่านั้นเป็นพื้นที่เก่าแก่ที่มีผู้อยู่อาศัยมาอย่างน้อยตั้งแต่ช่วง 900 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่ชาวอีทรัสกันจะแผ่อำนาจเข้ามาในแถบนี้ และได้สร้างเมืองขึ้นที่นี่ โดยในช่วงนั้นมีนามว่า Felsina ครับ
หลายร้อยปีต่อมา ตัวเมืองได้อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน และมีสถานะเป็นแค่เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้มีการป้องกันอะไรมากนัก เพราะฉะนั้นในช่วงที่ชาวโรมันอ่อนแอ ตัวเมืองจึงถูกปล้นสะดมหลายครั้งโดยอนารยชน ทำให้ในช่วงศตวรรษที่ 5 นั้นโบโลญญ่าก็เป็นแค่เหลือแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง บิชอป Petronius ได้เผยแผ่ศาสนาคริสต์เข้ามาที่นี่ และได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างเมืองโบโลญญ่าขึ้นมาใหม่ ซึ่งหลังจากบิชอปท่านนี้ได้ล่วงลับไปแล้วก็ได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมภ์ (patron saint) ของเมืองแห่งนี้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ
ในช่วงยุคกลาง ตัวเมืองอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิ Carolingian ของชาวแฟรงก์ (ก่อนที่จะเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในเวลาต่อมา) และได้เฟื่องฟูขึ้นมาเพราะว่าเป็นเมืองชายแดนทางภาคใต้ โบโลญญ่าได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขาย เช่นเดียวกับการศึกษาทางด้านกฎหมาย ช่วงนี้เองได้มีการสร้างมหาวิทยาลัยโบโลญญ่าซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกครับ
ช่วยปลายศตวรรษที่ 14-16 โบโลญญ่าถูกแย่งชิงไปมาระหว่างมิลาน ฟลอเรนซ์ หรือแม้กระทั่งนครรัฐของพระสันตะปาปา (Papal states) แม้ว่าจะเผชิญกับความไม่สงบมากมาย แต่ตัวเมืองก็ยังมั่งคั่ง ในช่วงศตวรรษที่ 16 นั้นตัวเมืองมีประชากรมากกว่า 70,000 คนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีพระสันตะปาปาได้เข้าปกครองโบโลญญ่าอย่างเด็ดขาดในช่วงปี ค.ศ.1506 ซึ่งช่วงนี้ได้มีการสร้างโบสถ์ มหาวิหาร และสิ่งก่อสร้างมากมาย แต่ตัวเมืองกลับเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว เพราะมีโรคระบาดเป็นปัจจัยสำคัญ และเศรษฐกิจก็เริ่มแย่ลงเพราะศูนย์กลางการค้าขายในยุโรปเริ่มเปลี่ยนจากอิตาลีไปที่เมืองริมมหาสมุทรแอตแลนติก (เพราะชาติตะวันตกมีอาณานิคมไปทั่วโลกนั่นเอง)
ส่วนด้านการศึกษาก็ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะเมื่อถูกปกครองโดยตรงจากพระสันตะปาปา ทำให้ศาสตร์หลายแขนงโดนปิดกั้น นักศึกษาที่เคยมากมายที่มหาวิทยาลัยโบโลญญ่าจึงน้อยลงตามลำดับ ทำให้ตัวเมืองเสื่อมโทรมลงทุกด้าน กลายเป็นว่าอดีตเมืองที่เคยมีรุ่งโรจน์กลับมีขอทานมากถึง 10,000 คนจากประชากร 70,000 คนในปี ค.ศ.1841
การปกครองโบโลญญ่าจากพระสันตะปาปาสิ้นสุดลงในช่วงศตวรรษที่ 19 หลังจากประเทศอิตาลีได้สถาปนาขึ้น โบโลญญ่าได้กลับมาเจริญขึ้นอีกครั้ง โดยเป็นศูนย์กลางการเกษตร เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องจักรทำการเกษตร ฯลฯ
ตัวเมืองได้รับความเสียหายยับเยินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งรวมไปถึงตัวเมืองเก่าที่สวยงามรุ่งโรจน์ด้วย แต่ก็ได้รับการบูรณะอย่างดีหลังสงครามสงบ ในปัจจุบันโบโลญญ่าารุ่งเรืองด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมของภูมิภาค และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทอิตาลีชั้นนำครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปโบโลญญ่าทำอย่างไร?
โบโลญญ่าเชื่อมกับเมืองใหญ่อื่นๆ ของอิตาลีด้วยรถไฟหรือรถบัส ไม่ว่าจะเป็นโรม มิลาน เวนิส หรือ เจนัว ทำให้คุณเดินทางไปโบโลญญ่าได้อย่างง่ายดายสะดวกสบาย สำหรับการจองตั๋วและเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ ผมแนะนำให้จองผ่านเว็บ Omio (รถบัสและรถไฟ) หรือ Rail Europe (รถไฟเท่านั้น) ครับ
ประหยัดค่าเข้าสถานที่ต่างๆ อย่างไร?
คุณสามารถประหยัดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในเมืองได้ด้วยการซื้อ Bologna Welcome Card ในราคา 25 ยูโรครับ
1. The Two Towers
The Two Towers หรือหอคอยคู่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบโลญญ่า โดยหอคอยทั้งสองมีนามว่า Asinelli Tower และ Garisenda Tower ครับ
สำหรับ Asinelli Tower นั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 โดยสูงถึง 97 เมตร ในปัจจุบันเปิดให้เข้าชมได้ ซึ่งคุณสามารถเดินขึ้นไปถึงยอดของหอคอยเพื่อชมทัศนียภาพของย่านเมืองเก่าได้อย่างงามยิ่ง แต่เดินขึ้นไปก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องขึ้นบันไดไปถึงเกือบ 500 ขั้นครับ
หอนี้มีตำนานแปลกๆ อยู่หลายเรื่องด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือใครที่ปีนหอคอยแห่งนี้จะเรียนไม่จบครับ เอาเป็นว่าถ้าคุณเป็นสายมูแล้วยังเรียนไม่จบ คุณอาจจะรออยู่ข้างล่างก็ได้ครับ แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นแค่กุศโลบายไม่ให้เด็กที่มหาวิทยาลัยโดดเรียนไปที่นี่มากกว่า
ส่วน Garisenda Tower นั้นสูงแค่ 47 เมตร แต่ตัวหอคอยกลับเอียงคล้ายกับหอเอนปิซ่า ซึ่งมาจากรากฐานที่ทรุดตัวลง ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจไม่สร้างให้สูงขึ้นกว่านี้ตามที่ตั้งใจไว้ ในช่วงยุคกลางนั้น หอนี้มีชื่อเสียงมากทีเดียวถึงขนาดปรากฏในผลงาน Inferno ของยอดนักเขียนอย่าง Dante ครับ
ปัจจุบันหอนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชม เพราะกำลังได้รับการบูรณะครับ
2. Piazza Nettuno
Piazza Nettuno เป็นจัตุรัสอันเป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองโบโลญญ่า นั่นก็คือ Fountain of Neptune หรือ Fontana del Nettuno เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน (โพโซดอน) ยืนอยู่เหนือสรรพสิ่งใต้ท้องทะเล ตัวน้ำพุสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยเป็นผลงานของช่างฝีมือนามว่า Giambologna ครับ
ทว่าน้ำพุนี้มีนัยยะทางการเมืองด้วยเช่นกัน นั่นก็คือพระสันตะปาปาเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งในโลก เทวาน้อยทั้ง 4 เบื้องล่างนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงแม่น้ำใหญ่ของโลกได้ว่าแม่น้ำดานูบ แม่น้ำไนล์ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำแอมาซอนครับ
ปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่พบปะยอดนิยมของชาวเมือง ที่นี่มีร้านอาหารตลอดจนร้านค้าจำนวนมากอยู่รายรอบครับ
3. Piazza Maggiore
Piazza Maggiore เป็นจัตุรัสใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโบโลญญ่าและเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญในเมืองหลายแห่งในอดีต ตัวจัตุรัสได้รับการสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 ทำให้เป็นหนึ่งในจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลีครับ เจตจำนงของผู้สร้างก็คือกระตุ้นการค้าขาย และย้ายสถานที่พบปะของชาวเมืองจากมหาวิหารมาอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งครับ
ปัจจุบันที่นี่ยังใช้จัดเทศกาลสำคัญๆ ของชาวเมือง และสถานที่นั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจเพราะรอบๆ พื้นที่โล่งจะมีบันไดที่เรียกว่า Crescentone ที่ใช้นั่งพักได้ครับ
4. Basilica of San Petronio
Basilica of San Petronio เป็นมหาวิหารให้กับนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง (San Petronio) โดยตั้งอยู่ที่ Piazza Maggiore ครับ
ด้านหน้า (Facade) ของสิ่งก่อสร้างนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะตัวฐานมหาวิหารนั้นเป็นสีอ่อน ส่วนด้านบนจะเป็นสีเข้มครับ
ในหน้าประวัติศาสตร์นั้น ผู้สร้างตั้งใจให้เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหนือกว่าที่กรุงโรมเสียอีก แต่พระสันตะปาปากลับให้หยุดสร้างเสียก่อน ทำให้มหาวิหารไม่ได้เสร็จสิ้นตามโครงการที่ได้ตั้งใจไว้ครับ
ด้านในมีโบราณวัตถุและผลงานศิลปะล้ำค่ามากมาย ตั้งแต่นาฬิกาแดดที่ใหญ่ที่สุดในโลกของแคสซินี (Cassini) ไปจนถึงภาพเขียนสีเฟรสโกจำลองนรกสวรรค์แบบ divide comedy ของ Giovanni da Modena ไปจนถึงออร์แกน เครื่องดนตรีเก่าแก่อายุกว่า 500 ปีครับ
5. Archiginnasio
Archiginnasio เป็นวังที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Piazza Maggiore ซึ่งถูกใช้เป็นอาคารของมหาวิทยาลัยโบโลญญ่ามานานหลายร้อยปี โดยเจตจำนงก็คือให้พื้นที่การเรียนการสอนมารวมอยู่ในจุดเดียวกันครับ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นห้องสมุดของเมืองในช่วงศตวรรษที่ 19
น่าเสียดายที่ตัวอาคารของเดิมได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม ส่วนที่เห็นปัจจุบันล้วนแต่ได้รับการสร้างใหม่ครับ แต่ก็ยังสวยงามเหมือนกับอดีต และเปิดให้คุณได้สัมผัสการเรียนการสอน โดยเฉพาะ Anatomical Theater ซึ่งครั้งหนึ่งนักเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์เคยมาเรียนการผ่าศพที่นี่ครับ
6. Santo Stephano Complex
Santo Stephano Complex เป็นศูนย์กลางของความศรัทธาของชาวเมืองโบโลญญ่าที่มีต่อศาสนาคริสต์ โดยที่นี่มีประวัติย้อนไปได้ถึงยุคโรมัน โดยเชื่อว่าได้สร้างขึ้นบนวัดเดิมของศาสนากรีก-โรมัน ก่อนที่จะมีการสร้างเพิ่มในยุคต่อมา ทำให้โบสถ์ที่บริเวณนี้มีทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน ทำให้ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่า Seven Churches หรือ Sette Chiese ครับ
ทั้งนี้โบสถ์ทั้ง 7 นั้นมีสตอรี่ที่น่าสนใจ อย่างเช่น Church of the Crucifix ที่สร้างขึ้นโดยชาว Lombard ที่ปกครองอิตาลีช่วงยุคกลาง หรือ Church of the Santo Sepolcro ที่จำลองสถานที่ฝังพระศพของพระเยซูคริสต์
นอกจากนี้ยังมี Courtyard of Pilate ซึ่งจำลองจุดที่พระเยซูถูกประณามในคัมภีร์ไบเบิล จุดนี้ถือว่าเป็นผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมแบบ Aemilian Romanesque ที่เลอค่าที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ
7. Sanctuary of the Madonna di San Luca
Sanctuary of the Madonna di San Luca หรือเรียกสั้นๆ ว่า San Luca เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนเนิน Guardia Hill ซึ่งสูง 600 เมตร ชาวเมืองโบโลญญ่ามักจะเดินไปตาม portico ชื่อ via Saragozza ยาวประมาณ 4 กิโลเมตร (อันดับต้นๆ ของโลก) เพื่อขึ้นไปยังตัวศาสนสถานครับ ซึ่งคุณจะผ่านซุ้มประตู (archway) ไปประมาณ 600 กว่าต้นครับ
จากตัวศาสนสถานนั้นเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองโบโลญญ่าที่ยอดเยี่ยม ส่วนด้านตัวมหาวิหารประดิษฐานรูปเคารพ Madonna with Child ที่มีที่มาจากอาณาจักรไบแซนไทน์ครับ
8. Quadrilatero
Quadrilatero คือตลาดโบราณของเมืองโบโลญญ่าซึ่งอยู่คู่กับเมืองมานานหลายศตวรรษตั้งแต่ยุคกลาง ซึ่งบรรยากาศที่นี่ยังเหมือนกับเมื่อหลายร้อยปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง ตัวตลาดนั้นเป็นโตรกแคบๆ แต่ก็อัดแน่นไปด้วยร้านค้าจำนวนมาก หลายๆ ร้านนั้นประกอบกิจการมาหลายชั่วอายุคนครับ
นักเดินทางนิยมไปที่นี่เพื่อลิ้มลองอาหารพื้นเมือง อย่างเช่นเมนูพาสต้าต่างๆ หรือ Mortadella บรรพบุรุษของ Bologna Sausage ครับ
9. Finestrella di Via Piella
Finestrella di Via Piella เป็นย่านที่อยู่ริมคลองของเมืองโบโลญญ่า ทำให้ถูกเปรียบว่าเป็นเวนิสน้อย (Little Venice) อยู่บ่อยครั้ง ทว่าคลองของที่นี่นั้นเก่าแก่ไม่น้อย เพราะถูกขุดตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 เลยครับ
10. เยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
เมืองใหญ่ของประเทศอิตาลี และพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นของคู่กัน ดังนั้นถ้าคุณได้ไปเยือนโบโลญญ่า การไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้ครับ
- Museo Civico Archeologico – พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์และอีทรัสกัน รวมไปถึงโบราณวัตถุจากอียิปต์ กรีซ และอีกหลายประเทศครับ
- Pinacoteca Nazionale – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินที่เคยอาศัยอยู่ในภูมิภาค Emilia-Romagna โดยไฮไลท์อยู่ที่ภาพเขียนของราฟาเอล และจิตรกรจากยุค Renaissance หลายคนครับ
- MAMbo – พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในภูมิภาค ด้านในจัดแสดงผลงานศิลปะสมัยศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากศิลปินชาวอิตาเลียนครับ
11. ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง
โบโลญญ่าเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมอาหารที่แข็งแกร่ง โดยเป็นต้นกำเนิดของสุดยอดเมนูอาหารอิตาเลียนมากมาย เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้มาเหยียบที่นี่ การรับประทานอาหารพื้นเมืองถือเป็นกิจกรรมระดับ a must เลยครับ
เมนูที่น่าสนใจได้แก่
- Tagliatelle al ragu/Tagliatelle Bolognese – พาสต้าเส้นใหญ่ราดด้วยซอสเนื้อ เมนูสุดเลื่องลือที่ใครก็ห้ามพลาด
- Tortellini – พาสต้ายัดไส้คล้ายกับเกี๊ยว
- Mortadella – ต้นกำเนิดของไส้กรอก Bologna
- ลาซานญ่าทุกรูปแบบ