โบลซาโน (Bolzano) เป็นเมืองหลวงของเขต South Tyrol ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และเป็นประตูสู่อุทยานแห่งชาติโดโลไมต์ หรือ Dolomites Bellunesi National Park ที่ได้รับความนิยมขึ้นมาในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยในช่วงหลังครับ
อย่างไรก็ดีตัวเมืองโบลซาโนก็มีหลายสถานที่ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันได้เลยครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักโบลซาโน (Bolzano)
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองโบลซาโนเป็นแอ่งที่หุบเขาในเทือกเขาแอลป์บรรจบกับแม่น้ำสายเล็กสามสาย ทำให้มีภูมิอากาศในรูปแบบ alpine เช่นเดียวกับหมู่บ้านและเมืองในประเทศสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก อย่างไรก็ดีในช่วงฤดูร้อนจะร้อนกว่า (อาจร้อนได้ถึง 40 องศา) เพราะว่าตัวเมืองสูงจากระดับน้ำทะเลแค่ 262 เมตรเท่านั้นเองครับ
พื้นที่บริเวณนี้เป็นทางผ่านของเส้นทางการค้าขายโบราณ และจัดว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์มาตั้งแต่ในอดีต โดยชาวโรมันได้เข้ามาปกครองโบลซาโนตั้งแต่ช่วง 15 ปีก่อนคริสตกาล การค้นพบทางโบราณคดีได้แสดงให้เห็นว่าที่นี่ได้เป็นเมืองขนาดเล็กสืบต่อกันมาตลอดช่วงจักรวรรดิโรมันครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 7 ชาวบาวาเรียที่มีเชื้อสายเยอรมันได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้ ในเวลาต่อมาตัวเมืองจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 11 เมืองได้ถูกมอบให้บิชอปแห่ง Trent ไปปกครอง ซึ่งบิชอปได้เปลี่ยนที่นี่เป็น Market Town หรือเมืองตลาดอันเป็นศูนย์กลางการค้าขายของภูมิภาคในช่วงนั้น
อำนาจของบิชอปลดน้อยลงมากในช่วงศตวรรษที่ 14 จนสุดท้ายทำให้ตัวเมืองถูกปกครองโดยตรงจากกษัตริย์ออสเตรียที่เมืองเวียนนา โบลซาโนยังคงสถานะของการเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคไปอีกหลายศตวรรษ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันชะตาของเมือง นั่นคือฝ่ายพันธมิตรได้เสนอว่าจะมอบดินแดนบางส่วนของออสเตรีย-ฮังการีให้ ถ้าอิตาลีเข้าร่วมสงครามในฝ่ายตน รัฐบาลอิตาลีจึงประกาศสงคราม และส่งกองทัพเข้าโจมตีโบลซาโนและตอนใต้ของออสเตรีย-ฮังการี ทำให้โบลซาโนเป็นสมรภูมิโดยตรง
สงครามดำเนินอย่างต่อเนื่องถึงสามปีครึ่ง และจบลงด้วยการที่อิตาลีได้โบลซาโนและพื้นที่บางส่วนในตอนใต้ของรัฐ Tyrol ของออสเตรีย พื้นที่ส่วนนี้จึงได้รับการจัดสรรเขตการปกครองใหม่ โดยมีชื่อว่า South Tyrol ในฐานะส่วนหนึ่งของอิตาลี
อย่างไรก็ดีประชากรในเมืองเวลานั้นล้วนแต่เป็นเชื้อสายเยอรมัน เนื่องด้วยตัวเมืองอยู่ในการปกครองของชนเชื้อสายเยอรมันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เพราะฉะนั้น รัฐบาลอิตาลี (โดยเฉพาะในสมัยของมุสโสลินี) จึงใช้นโยบายชาตินิยมอิตาเลียนกับโบลซาโนและเมืองอื่นๆ โดยรอบ
นโยบายดังกล่าวก็เช่นให้ชาวอิตาเลียนแท้ๆ อพยพเข้าไปอาศัยในเมือง ไปจนถึงห้ามใช้และสอนภาษาเยอรมัน โดยรัฐบาลอิตาลีได้ทำสัญญากับรัฐบาลเยอรมันว่าให้ชนเชื้อสายเยอรมันอพยพไปอยู่ที่เยอรมนีได้ ถ้าพวกเขาไม่ต้องการปฏิบัติตามนโยบายชาตินิยม
ทว่าหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายลักษณะนี้ได้ลดทอนความเข้มข้นลงไปมาก รัฐบาลอิตาลีได้อนุญาตให้สอนและเรียนภาษาเยอรมันได้ และเปลี่ยนโบลซาโน และรัฐ South Tyrol ให้เป็นเขตปกครองตนเอง การต่อต้านในหมู่ชาวเมืองจึงลดลงไป แต่ชาวเมืองจำนวนมากก็ได้สูญเสียความเป็นเยอรมันไปแล้วเรียบร้อย
หลังจากนั้นโบลซาโนได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เช่นเดียวกับเมืองเกษตรกรรมที่ผลิตสินค้าชั้นนำของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ไวน์ หรือว่าผลิตภัณฑ์นมครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปโบลซาโน (Bolzano) ทำอย่างไร
ไปเที่ยวโบลซาโนช่วงไหนดี?
โบลซาโนมีความสวยงามในทุกฤดู แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบฤดูหนาวเป็นพิเศษ เพราะรอบตัวเมืองจะมีหิมะหนาแน่น มีตลาดคริสตมาส และส่วนต่างๆ ของเมืองก็จะได้รับการประดับประดาอย่างงดงามยิ่ง
1. Bolzano Cathedral
Bolzano Cathedral หรือมหาวิหารโบลซาโน (อีกชื่อว่า Maria Assunta Cathedral) เป็นมหาวิหารหลักของเมืองโบลซาโนซึ่งมีความสำคัญอันดับหนึ่งในภูมิภาค South Tyrol ของประเทศอิตาลี
รูปแบบการสร้างจะเป็นแบบ Romanesque-Gothic อันเอกลักษณ์จากยุคกลาง โดยเดิมทีตัวมหาวิหารได้รับการสร้างขึ้นในสไตล์ Romanesque ก่อนในช่วงศตวรรษที่ 12-13 ก่อนที่จะได้รับการบูรณะแต่งเติมในแบบ Gothic ในอีก 2-3 ศตวรรษต่อมาครับ
ตัวมหาวิหารจะมีหอคอยสูง 65 เมตรตั้งตระหง่านอยู่ โดยหอคอยนี้จะใหม่กว่าตัวโบสถ์ เพราะสร้างขึ้นแบบสไตล์ Gothic ในช่วงศตวรรษที่ 16 ครับ ส่วนด้านในจะได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกหลายยุคหลายสมัย โดยครอบคลุมช่วงศตวรรษที่ 14-18 ครับ
2. Dominican Church
Dominican Church เป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นศาสนสถานสไตล์ Gothic แห่งแรกๆ ที่สร้างขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยตัวโบสถ์นั้นมีด้านในที่สวยงามมากไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสีเฟรสโกหรือแท่นบูชาครับ
แต่จุดที่เป็นไฮไลท์คือ Chapel of St.John ที่มีภาพเขียนสีเฟรสโกในสมัยศตวรรษที่ 14 ที่นำเสนอเหตุการณ์ในชีวิตของนักบุญที่ผู้คนแถบนี้นับถือไม่ว่าจะเป็นนักบุญ Nicholas หรือ Bartholomew ครับ
ภาพเขียนสีเหล่านี้จัดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของจิตรกรค่าย Giotto School ที่ได้รับงานตบแต่งโบสถ์ให้กับตระกูลใหญ่จากฟลอเรนซ์ที่ย้ายมาอยู่โบลซาโนครับ
3. Roncolo Castle
Roncolo Castle เป็นหนึ่งในปราสาทที่อยู่ในพื้นที่เมืองโบลซาโน ตัวปราสาทสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันแม้ว่าสภาพจะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา แต่ด้านในก็ยังมีภาพเขียนสีเฟรสโกอย่างอลังการให้ชม
ภาพเขียนสีเหล่านี้จะไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับคริสตศาสนาเหมือนกับที่อื่นๆ ทว่าจะเป็นชีวิตของผู้คนทั่วไป ตลอดจนเหล่าอัศวินอย่างเช่นตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมของภาพเขียนสีเฟรสโกที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งครับ
สำหรับใครที่สนใจ ด้านในปราสาทจะมีร้านอาหารอยู่ด้วย ซึ่งคุณสามารถรับประทานอาหารอร่อยๆ โดยอยู่ในบรรยากาศยุคกลางครับ ทั้งนี้ตัวปราสาทจะอยู่นอกเมือง แต่คุณสามารถเดินไปได้ หรือว่านั่งรถบัสฟรีจาก Piazza Walther ครับ
4. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
โบลซาโนมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่มีค่าหลายแห่ง ซึ่งควรค่าต่อการไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะ South Tyrol Museum of Archaeology ที่เก็บรักษามัมมี่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า Ötzi ซึ่งอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบมีผิวหนัง (ไม่ใช่เหลือแต่โครงกระดูก) พร้อมด้วยเครื่องแต่งกายและข้าวของเครื่องใช้
ทั้งนี้ Ötzi ได้ถึงแก่ความตายเมื่อ 5,300 ปีก่อน โดยเขาถูกสังหารและทิ้งไว้บนธารน้ำแข็ง ทำให้เขากลายเป็นมัมมี่ไปโดยธรรมชาติ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1991 ได้มีผู้ไปพบเข้าครับ
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจคือ Museum for Natural History ที่ตั้งอยู่ในวังเก่าของจักรพรรดิ Maximillian I ด้านในจัดแสดงโบราณวัตถุและให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของภูมิภาค South Tyrol รวมไปถึงอุทยาน Dolomites ครับ
5. Piazza Walther
Piazza Walther เป็นจัตุรัสอันเป็นศูนย์กลางของเมือง โดยเป็นสถานที่นัดพบ และจัดเทศกาลสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะตลาดคริสตมาสในช่วงฤดูหนาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังครับ
ตัวจัตุรัสได้รับการเปลี่ยนชื่อบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งที่นี่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ทั้งนี้ชื่อในปัจจุบันเป็นชื่อของกวีชาวเยอรมัน ในส่วนของดีไซน์นั้นจะเป็นแบบ neo-Romanesque ที่งดงามยิ่ง
ตอนเหนือของจัตุรัสจะมีถนนซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งอันดับ 1 ของเมืองอย่าง Via dei Portici จุดเด่นของถนนสายนี้คือสถาปัตยกรรมของแต่ละอาคารทั้งสองฝั่งถนนจะหลากหลายมาก ตั้งแต่แบบคลาสสิคไปจนถึงโมเดิร์นเลยครับ
6. Renon Cable Car
Renon Cable Car เป็นเคเบิลคาร์ที่จะพาคุณขึ้นไปบนที่ราบสูง Soprabolzano ซึ่งคุณจะได้ชมวิวแบบพาโนรามาของตัวเมือง เช่นเดียวกับภูเขาในอุทยาน Dolomites ที่ตั้งอยู่เคียงข้าง ทั้งนี้กระเช้านั้นจะยาวถึง 4.6 กิโลเมตร และจะใช้เวลาทั้งสิ้น 12 นาทีครับ
ในส่วนของค่าบริการเองก็ไม่ได้แพงอะไร เพราะไปกลับแค่ 10 ยูโรเท่านั้นเองครับ อ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บทางการครับ
สำหรับด้านบนนั้นจะมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ อย่างแรกคือ Earth Pyramids หรือแนวเสาดินรูปโคนที่มีหินวางอยู่ด้านบน ทำให้รูปร่างละม้ายคล้ายพีระมิดที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวแบบพาโนรามาอย่าง Rittner Horn ที่ได้รับการยกย่องว่าทิวทัศน์งามเป็นอันดับต้นๆ ของอุทยานโดโลไมต์ครับ
7. Great Dolomites Road
Great Dolomites Road หรือ Grande Strada delle Dolomiti เป็นเส้นทางในอุทยาน Dolomites ที่มีความยาวประมาณ 110 เมตร โดยเริ่มต้นจากเมืองโบลซาโนไปจบที่เมือง Cortina d’Ampezzo ครับ
ตลอดเส้นทางนั้นคุณจะได้ชมความสวยงามอย่างขุนเขาโดไลโมต์ได้อย่างเต็มอิ่ม เช่นเดียวกับหุบเขา โตรกแคบๆ ไปจนถึงหมู่บ้านแบบ alpine อีกหลายแห่งด้วยครับ
References
- Bolzano Bozen
- iceman.it
- Renon Cable War Official Site