ชิคาโก (Chicago) เป็นเมืองหลวงของรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค Mid-West ของประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และการคมนาคมของภูมิภาค และเรียกได้ว่าเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่งของโลกเลยครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองชิคาโกอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองชิคาโก (Chicago)
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองชิคาโกตั้งอยู่ริมทะเลสาบมิชิแกน ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบใหญ่ (Great Lakes) ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำอีกสองแห่งไหลผ่านได้แก่แม่น้ำชิคาโก (Chicago River) และแม่น้ำคาลูเมท (Calumet River) ด้วยความที่มีแหล่งน้ำมากมาย อากาศของชิคาโกจึงค่อนข้างเสถียร นั่นคืออบอุ่นกว่าบริเวณโดยรอบในช่วงฤดูหนาว และเย็นกว่าในช่วงฤดูร้อนครับ
ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา ชาวอเมริกันพื้นเมืองหลายเผ่าได้ใช้พื้นที่แถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งในปี ค.ศ.1795 ที่รัฐบาลสหรัฐได้ทำสงครามกับชนเผ่าเหล่านี้และได้รับชัยชนะ พื้นที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจากชาวพื้นเมืองถูกขับไล่ออกไปจากเมืองชิคาโกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันจึงได้สร้างเมืองแห่งใหม่ขึ้นในจุดที่เป็นเมืองชิคาโกในปัจจุบัน ซึ่งตัวเมืองได้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยความที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมทั้ง 13 (เช่นบอสตันหรือฟิลาเดลเฟีย) กับดินแดนที่สหรัฐอเมริกาได้มาใหม่ทางตะวันออกครับ
ชิคาโกเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเป็นเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดของโลกในช่วงปี ค.ศ.1840-1870 แต่แล้วก็เกิดไฟไหม้ใหญ่ในปี ค.ศ.1871 และทำให้ตัวเมืองแทบจะราบเป็นหน้ากลอง โดยมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยเกินกว่าหนึ่งแสนคน อย่างไรก็ดีไฟไหม้ใหญ่ดังกล่าวได้ทำให้ตัวเมืองได้รับการสร้างใหม่ด้วยวัสดุที่ดีขึ้นอย่างเช่นเหล็กกล้าครับ
เศรษฐกิจที่กลับมาเฟื่องฟูในเมืองชิคาโกหลังจากไฟไหม้ใหญ่ได้ทำให้ตัวเมืองขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะผู้อพยพมากมายจากยุโรปหรือแม้กระทั่งมลรัฐอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาได้หลั่งไหลเข้ามาที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ได้มีการจ้างงานในหมู่โรงงานอุตสาหกรรมในเมืองจำนวนมากที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกสารทิศครับ
อย่างไรก็ดีในช่วงปี ค.ศ.1930 สหรัฐอเมริกาได้เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หรือ The Great Depression ทำให้ตัวเมืองชิคาโกเสื่อมถอยลง เพราะว่าเหล่าโรงงานล้วนแต่เลิกจ้างพนักงาน ทำให้ยอดคนว่างงานนั้นสูงถึงเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนแรงงานทั้งหมด ทว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง โรงงานในชิคาโกก็กลับมาผลิตได้ในอัตราที่ก้าวกระโดด ถึงขนาดที่มากกว่าสหราชอาณาจักรทั้งประเทศตลอดช่วงสงครามเลยครับ
อุตสาหกรรมหนักยังคงเป็นกำลังสำคัญของชิคาโกในช่วง 30 ปีหลังจากสงครามสงบ แต่บริษัทต่างๆ ล้วนแต่เริ่มละทิ้งโรงงานที่นี่เพราะหันไปเปิดโรงงานในประเทศที่แรงงานถูกกว่า สิ่งที่เข้ามารับช่วงและเป็นกำลังสำคัญในการค้ำชูเศรษฐกิจของเมืองจนถึงปัจจุบันก็คือธุรกิจการเงินการธนาคาร เทคโนโลยี และการบริการ บริษัทชั้นนำของโลกมากมายมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิคาโก ไม่ว่าจะเป็นแมคโดนัลด์หรือโบอิ้งครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองชิคาโกทำอย่างไร?
ชิคาโกมีสนามบินระดับโลกอย่าง Chicago O’Hare International Airport (ORD) เพราะฉะนั้นคุณสามารถเดินทางจากประเทศไทยไปลงที่นี่ (มีการแวะเปลี่ยนเครื่อง 1 ครั้งเป็นอย่างต่ำ) ทั้งนี้สายการบินที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือ Qatar Airways แต่ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติมก่อนจองครับ
เดินทางเข้าเมืองชิคาโกจากสนามบินทำอย่างไร?
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถไฟ (CTA Blue Line) จากสนามบิน แต่วิธีอื่นอย่างเช่นแท็กซี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ถ้าคุณมีสัมภาระจำนวนมากครับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่เว็บของสนามบินครับ
ว่าด้วย Pass รูปแบบต่างๆ
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในชิคาโกนั้นจะอยู่ใน Chicago CityPass และ Chicago Pass ครับ ซึ่งคุณสามารถซื้อพาสที่เหมาะสมกับทริปของคุณเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ทั้งนี้ถ้าคุณไปสถานที่ที่พาสครอบคลุมทั้งหมด คุณอาจจะประหยัดได้มากถึง 40%-50% ทีเดียว
อย่างไรก็ดีถ้าคุณมีเวลาจำกัด หรือว่าไม่ได้มีแผนจะไปเข้าชมหลายสถานที่ การซื้อพาสอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดครับ
เมืองชิคาโกปลอดภัยหรือไม่?
ข้อมูลจาก US News แสดงให้เห็นว่าชิคาโกปลอดภัยกว่าเมืองใหญ่ระดับเดียวกันในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดีตัวเมืองนั้นยังคงจัดว่าไม่ปลอดภัยถ้าเปรียบกับกรุงเทพ เพราะฉะนั้นคุณไม่สามารถเดินชิวๆ ในช่วงกลางคืนได้ และผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้รถไฟ Chicago “L” ทั้งหมดในยามค่ำคืนครับ
ย่านที่คุณควรหลีกเลี่ยงทุกประการคือฝั่งใต้ของเมืองทั้งหมด และพยายามให้มากที่สุดในการอยู่แต่ย่านที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวครับ
1. Millennium Park
Millennium Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบมิชิแกน และเป็นส่วนหนึ่งของสวนขนาดใหญ่อย่าง Grant Park ทั้งนี้สวนแห่งนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กอันดับต้นๆ ของเมืองชิคาโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Downtown นอกจากนี้ Jay Pritzker Pavilion ที่ตั้งอยู่ด้านในสวนยังใช้เป็นสถานที่ยอดนิยมในการจัดเทศกาลดนตรีต่างๆ ของเมืองแบบกลางแจ้งอีกด้วยครับ
ภายในสวนมีหลายจุดที่น่าสนใจ โดยจุดที่ควรไปเยือนจุดแรกคือ Cloud Gate อันเป็นที่ตั้งของ The Bean อนุสรณ์รูปถั่วหนัก 110 ตันที่ทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดี เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นกระจกใสที่เงาวับ ช่วยให้คุณเห็นตึกระฟ้าและบรรยากาศโดยรอบในสวนได้อย่างดียิ่ง
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาดคือ Crown Fountain น้ำพุที่ตั้งอยู่ระหว่างกำแพงอิฐสองฝั่ง ซึ่งที่กำแพงอิฐนั้นจะติดตั้งจอ LED Screen เอาไว้ด้วย ซึ่งจะแสดงใบหน้าของชาวเมืองชิคาโกครับ ในช่วงฤดูร้อน ชาวอเมริกันมักจะพาบุตรหลานมาเล่นน้ำกันที่นี่ครับ ส่วนช่วงฤดูหนาวนั้น กิจกรรมยอดฮิตคือไปเล่นไอซ์สเก็ตที่ McCormick Tribune Plaza ที่จะเป็นลานกลางแจ้งขนาดใหญ่ครับ
ส่วนใครที่ชอบดอกไม้นั้น คุณสามารถไปชมและถ่ายรูปได้ที่ Lurie Garden สวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา
2. Willis Tower
ถ้าเอ่ยถึง Willis Tower นั้นหลายคนอาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น Sears Tower คนยุค 90 อย่างผมน่าจะร้องอ๋อกันหลายคน เพราะนี่ช่วงทศวรรษ 1990 นั้น ตึกระฟ้าแห่งนี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 442 เมตรจาก 110 ชั้น แถมตัวตึกยังมีรูปร่างอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย เพราะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมแบบ tube สีน้ำเงินดำซึ่งผมมักจะมองว่าเหมือนกับตัวต่อเลโก้อยู่บ่อยๆ ครับ
ตัวตึกเปลี่ยนชื่อในช่วงปี ค.ศ.2009 แต่ชาวเมืองชิคาโกก็ยังคงเรียกตึกในชื่อเดิมตั้งแต่แรกเริ่มสร้างอยู่ดีครับ ปัจจุบันร้านในเป็นออฟฟิศของบริษัทหลากหลายทั้งสายการบินอย่าง United Airlines หรือธนาคารแบบ Investment Bank อย่าง Morgan Stanley ครับ
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถซื้อบัตรเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนของเมืองชิคาโกที่ Skydeck จุดชมวิวที่ตั้งอยู่ชั้น 103 ของเมืองได้ ซึ่งในวันฟ้าใสนั้นวิวจะสวยมากทีเดียว เพราะคุณจะเห็นตัวเมืองชิคาโก ทะเลสาบมิชิแกน เช่นเดียวกับพื้นที่อีก 4 รัฐของสหรัฐอเมริกาที่อยู่โดยรอบครับ
นอกจากนี้ที่จุดชมวิว คุณสามารถไปชมวิวที่ระเบียงกระจกใส (The Ledge) ที่เหมือนกับเป็นกล่องขนาดเล็ก การยืนตรงจุดนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนกับยืนอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่าและสูงหลายร้อยเมตรได้ด้วยครับ
3. 360 Chicago
360 Chicago เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่เป็นคู่แข่งของ Skydeck ของ Willis Tower โดยตั้งอยู่ที่ตึกระฟ้า John Hancock Center ซึ่งคุณชมวิวสูงของเมืองชิคาโกและทะเลสาบมิชิแกนได้อย่างไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ต่างไปคือคุณจะสามารถเห็นตึก Willis Tower อันเป็นเอกลักษณ์ได้ด้วย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้หลายคนเลือกขึ้นมาชมวิวที่นี่แทนที่ตึก Willis Tower ครับ
ด้านบนจุดชมวิวของที่นี่นั้นจะมีกิจกรรมพิเศษชื่อ TILT ที่ตัวตึกสามารถปรับให้ย้อยออกมาได้ ซึ่งเมื่อคุณไปยืนเกาะกระจกนั้น คุณจะเห็นวิวเบื้องล่างของตัวตึกได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีบาร์ชื่อ Cloudbar อันเป็นบาร์ที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในเมือง เพราะฉะนั้นคุณสามารถจิบเครื่องดื่มที่ชอบไปพร้อมๆ กับชมวิวสวยๆ ได้ครับ
4. ล่องแม่น้ำชิคาโกหรือทะเลสาบมิชิแกน
อย่างที่ผมเกริ่นไปด้านบนแล้วว่า เมืองชิคาโกนั้นมีแหล่งน้ำมากมาย โดยมีทั้งทะเลสาบและแม่น้ำ ซึ่งแหล่งน้ำทั้งสองนั้นผ่านย่านตึกระฟ้าที่เรียงรายกันไปของตัวเมือง เพราะฉะนั้นการล่องเรือชมวิวจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวไปโดยปริยายครับ
การล่องแม่น้ำชิคาโก (Chicago River) นั้นมีข้อดีตรงที่คุณจะเห็นตึกระฟ้าอยู่ทั้งสองฝั่ง และให้คุณสัมผัสความอลังการของย่านธุรกิจของเมืองอย่างใกล้ชิด (โดยเฉพาะย่าน Magnificent Mile) นอกจากนี้ยังมีสะพานอีก 18 แห่งซึ่งจะให้ประสบการณ์คล้ายกับว่าได้ไปเยือนเวนิสแห่งยุคโมเดิร์นเลยทีเดียว
ส่วนการล่องทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) จะสวยไปอีกแบบ เพราะว่าคุณจะเห็นวิวตัวเมืองอยู่ฝั่งเดียวกันหมด ซึ่งคุณได้สดับความยิ่งใหญ่ของโลกทุนนิยมของสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ผู้ให้บริการจะมีแพคเกจหลากหลายให้คุณเลือก ไม่ว่าจะเป็นแบบล่องแม่น้ำอย่างเดียว ล่องทะเลสาบอย่างเดียว ล่องทั้งคู่ ล่องพร้อมอาหารมื้อเย็น ล่องช่วงตะวันตกดิน หรือล่องแบบมันส์โดยใช้ speedboat ฯลฯ ซึ่งราคาจะแตกต่างออกไปเช่นเดียวกับเวลาที่ใช้ (30-90 นาทีหรือมากกว่า)
แต่ถ้าให้ผมเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมเลือกล่องแม่น้ำครับ เพราะมองว่า iconic มากกว่าล่องทะเลสาบครับ
ถ้าคุณอยากชมวิว แต่ไม่อยากเสียค่าล่องเรือ คุณจะมีตัวเลือกอื่นเช่นกันนั่นคือ Chicago Riverwalk เส้นทางเดินเที่ยวริมแม่น้ำที่จะผ่านแลนด์มาร์กหลายแห่ง เช่นเดียวกับร้านอาหารและร้านค้าอีกมากมายด้วย ซึ่งจะสัมผัสบรรยากาศได้เหมือนการล่องแม่น้ำชิคาโก แต่คุณจะต้องเดินด้วยตนเองครับ
ในส่วนของทะเลสาบนั้น ตัวเมืองก็มีส่วนของ Lakefront Trail ที่ยาวถึง 18 ไมล์ (เกือบ 29 กิโลเมตร) ที่จะลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบ และผ่านสวนสาธารณะหลายแห่ง เช่นเดียวกับแลนด์มาร์กที่สำคัญ ซึ่งพอจะทดแทนการล่องทะเลสาบได้พอสมควรครับ
5. Navy Pier
Navy Pier เป็นย่านการค้าที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1916 และได้พัฒนาเป็นพลาซ่าชั้นนำของเมืองในเวลาต่อมา ปัจจุบันที่นี่ยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวและชาวเมืองชิคาโก เพราะมีร้านอาหารมากมาย เช่นเดียวกับโรงละคร Chicago Shakespeare Theater ร้านค้า เครื่องเล่น สถานที่จัดคอนเสิร์ต และพิพิธภัณฑ์ ช่วงวันหยุดชาวอเมริกันมักจะพาบุตรหลานมาที่นี่เช่นกันครับ
หนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่คือชิงช้าสวรรค์ Centennial Wheel ที่จะพาคุณขึ้นไปยังความสูงกว่า 200 ฟุตหรือประมาณ 61 เมตร แน่นอนว่าคุณจะได้ชมความสวยงามของทัศนียภาพโดยรอบได้แบบพาโนรามา ซึ่งสวยไม่แพ้ Skydeck หรือว่า 360 Chicago เลยครับ
นอกจากนี้ในช่วงฤดูร้อนนั้น Navy Pier จะมีการจุดพลุให้ชมในทุกวันพุธและวันเสาร์ โดยจะจัดในช่วง 21.30-22.15 น. เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปเที่ยวชิคาโกในช่วงดังกล่าวก็ไม่ควรพลาดชมครับ
6. Chicago’s Museum Campus
Chicago’s Museum Campus เป็นพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ระดับสุดยอดของเมือง (และประเทศสหรัฐอเมริกา) ทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน โดยประกอบด้วย
Adler Planetarium – พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์แห่งแรกของโลกตะวันตก โดยเปิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 ที่นี่ให้ความรู้มากมายเกี่ยวกับดวงดาวและเทหวัตถุบนท้องฟ้าต่างๆ คุณจะได้สัมผัสกับหินของจริงที่มาจากอุกกาบาตหรือพื้นผิวดวงจันทร์ เช่นเดียวกับภาพคุณภาพเยี่ยมของกาแลคซีต่างๆ ที่กล้องโทรทรรศน์ด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับอวกาศ โดยเฉพาะ sky shows ที่มีชื่อเสียงถึง 8 รายการซึ่งจะให้คุณได้สัมผัสอวกาศแบบที่คุณไม่เคยได้รับมาก่อน โดยรวมแล้วถ้าคุณเป็น space geek เหมือนกับผม ไม่ควรพลาดที่นี่ทุกประการครับ หลังจากที่ชมเสร็จแล้ว อย่าลืมไปเก็บภาพด้านนอกพิพิธภัณฑ์ เพราะจะเห็น skyline ของเมือง และทะเลสาบมิชิแกนได้อย่างงามยิ่ง
ในส่วนของค่าเข้าชมนั้นจะเริ่มต้นที่ $19 (อ้างอิงจากเว็บทางการของพิพิธภัณฑ์) แต่กิจกรรมบางอย่างจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
Field Museum of Natural History – ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ระดับชั้นนำของโลก เพราะมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเก็บฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดเอาไว้เป็นจำนวนมากครับ
ฟอสซิลระดับเรือธงคือของเจ้า Maximo ไดโนเสาร์คอยาวสายพันธุ์ Titanosaur ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หรือ Sue ฟอสซิลของไทรันโนซอรัสที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบครับ แน่นอนว่าใครที่ชอบไดโนเสาร์ห้ามพลาดทุกประการครับ เพราะจะหาที่ไหนมีซากที่สมบูรณ์ครบถ้วนเท่านี้ได้ยากมาก
นอกจากฟอสซิลแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงวัตถุต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านชีววิทยา สัตว์วิทยา ธรณีวิทยา บรรพชีวินวิทยา เช่นเดียวกับเพชรพลอยของมีค่ามากมายในหอพิเศษที่ชื่อ Hall of Gems ไปจนถึงมัมมี่จากอียิปต์โบราณครับ
ในส่วนของเรื่องบัตรนั้น ผมแนะนำให้ซื้อ All Access Pass ไปเลย เพราะคุณจะได้เข้าชมส่วนพิเศษได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม และให้ประสบการณ์แบบเต็มรูปแบบครับ
Shedd Aquarium – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์มากถึง 32,000 ตัว โดยมีไฮไลท์อยู่ที่เจ้าวาฬเบลูก้าขี้เล่นที่แสนจะน่ารัก ไปจนถึงโลมาแปซิฟิกสีขาว ส่วนสัตว์อื่นๆ ก็มีให้ชมอย่างล้นหลามจาก hall ใต้น้ำ ไม่เพียงเท่านั้นคุณยังเข้าชมภาพยนตร์แบบ 4D เกี่ยวกับสัตว์ทะเลได้ หรือว่าชมการให้อาหารสัตว์ได้ด้วยครับ
ในส่วนของค่าเข้าชมจะเริ่มต้นที่ $39.95 (อ้างอิงจากเว็บของ Aquarium ครับ)
7. Museum of Science & Industry
Museum of Science & Industry เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีคอนเซปต์ที่น่าสนใจ โดยจะเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ยากๆ ให้เป็นสิ่งจัดแสดงที่เข้าถึงได้ง่าย และให้คุณได้รับความรู้มากมาย โดยที่ไม่ปวดหัวกับความซับซ้อนครับ เพราะฉะนั้นเหมาะกับผู้เข้าชมทุกเพศทุกวัยเลยครับ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งของจัดแสดงอีกไม่น้อยที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม เช่นจักรยานล้อใหญ่เล็กที่ได้ความนิยมในสมัยก่อน ไปจนถึงเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ
ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่สวยงาม เพราะว่าตั้งอยู่ในสิ่งก่อสร้างหลังเดียวที่หลงเหลือมาจากงาน World’s Fair (หรือ World Expo) แห่งปีค.ศ. 1893 ครับ
8. Art Institute of Chicago
Art Institute of Chicago เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับ world-class ที่เก็บรักษาผลงานศิลปะมากมายหลายแสนชิ้น โดยมีให้ชมตั้งแต่ยุคหลายพันปีก่อนไล่เรียงมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคร่วมสมัย
แต่งานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่คืองานประเภท Impressionist ของช่วงศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะงานของ Claude Monet ที่ดูสวยจับใจไปจนถึงงานของ Georges Seurat หรือ Renoir ส่วนงานของ Picasso และ Van Gogh ก็มีเช่นกัน ถ้าคุณอยากดื่มด่ำกับงานศิลปะ หรือว่าอยากสรรหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่นี่คืออีกแห่งที่ควรค่าต่อการไปเยือนอย่างยิ่งครับ
หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้ว คุณอาจจะเดินไปชม Buckingham Fountain น้ำพุสไตล์ Art Deco ที่ตั้งอยู่ที่นี่มาเกือบ 100 ปี และเป็นหนึ่งในน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ ตัวน้ำพุนั้นมีรูปปั้นม้าน้ำอยู่ทั้ง 4 ด้านซึ่งแสดงถึงรัฐทั้งสี่ที่อยู่ติดทะเลสาบมิชิแกนครับ
9. Lincoln Park
Lincoln Park เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิคาโก โดยมีพื้นที่ริมทะเลสาบยาวเป็นระยะทางถึงเกือบ 10 กิโลเมตร ซึ่งคุณสามารถเดินชมทะเลสาบมิชิแกนได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ดีด้านในสวนมีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย แห่งแรกแน่นอนว่าเป็นสวนสัตว์ Lincoln Park Zoo หนึ่งในสวนสัตว์แห่งแรกๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสัตว์ให้ชมมากมายถึง 1,100 ตัวครับ เช่นเดียวกับสวนพฤกษศาสตร์อย่าง Lincoln Park Conservatory ที่น่าสนใจสำหรับใครที่รักต้นไม้เช่นกัน
10. ช้อปปิ้งที่ Magnificent Mile
Magnificent Mile เป็นย่านการค้าที่ตั้งอยู่บน Michigan Avenue ถนนสายใหญ่ของเมือง ที่นี่อุดมไปด้วยร้านขายสินค้าระดับ high-end ให้คุณได้จับจ่ายซื้อสินค้า luxury ตลอดเส้นทาง เช่นเดียวกับโรงแรมหรูที่ให้คุณได้พักผ่อน รวมไปถึงร้านอาหารชั้นนำของเมืองด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในบริเวณนี้ คุณจะได้เห็นอาคารระดับแลนด์มาร์กของเมืองหลายแห่ง อย่างเช่น Wrigley Building, Tribune Tower เช่นเดียวกับ John Hancock Center อันเป็นที่ตั้งของ 360 Chicago ครับ
11. Wrigley Field
Wrigley Field เป็นหนึ่งในสนามกีฬาเบสบอลอันดับต้นๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นสนามเหย้าของทีม Chicago Cubs โดยตัวสนามนั้นสร้างเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1914 และเคยเป็นสถานที่ซึ่งตำนานแห่งวงการเบสบอลหลายคนเคยมาวาดลวดลายที่นี่ อย่าง Babe Ruth ของทีม New York Yankees ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ
ปัจจุบันคุณสามารถซื้อทัวร์เข้าไปชมด้านในสนามได้ แต่ถ้าคุณเป็นกีฬาเบสบอล คงไม่มีอะไรดีกว่าการซื้อตั๋วเข้าไปชมการแข่งขันแบบสดๆ ครับ
12. ชมการแสดงที่ Chicago Theater
Chicago Theater เป็นโรงละครอันทรงเกียรติที่สร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมแบบ French Baroque (แนวเดียวกับพระราชวังแวร์ซายส์) ส่วนด้านหน้าของโรงละครได้แรงบันดาลใจมาจาก Arc de Triomphe หรือประตูชัยแห่งปารีส เพราะฉะนั้นเรียกได้ว่ามีกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนครับ
การแสดงในโรงละครนั้นจัดว่าค่อนข้างเปิดกว้าง ตั้งแต่ดนตรีคลาสสิคไปจนถึง Talk Show หรือแม้กระทั่ง Standup Comedian ครับ
13. ชิมเมนูพื้นเมือง
ชิคาโกมีของอร่อยมากมายให้คุณเลือกชิม โดยเมนูที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้
- Eli’s Cheesecake – ชีสเค้กสูตรดั้งเดิมของชิคาโกที่มีให้เลือกถึง 40 รสชาติ โดยเฉพาะแบบ plain ที่รสชาติไม่แพ้ที่นิวยอร์กเลยครับ
- Garrett Popcorn – ป็อปคอร์นที่วางขายไปทั่วโลกแห่งนี้นั้นมีจุดเริ่มต้นจากเมืองชิคาโก โดยร้านแบบดั้งเดิมที่เปิดมาแล้ว 3 ชั่วคนยังเปิดให้บริการอยู่ครับ
- Chicago Dog – เมนูฮอตดอกสูตรของเมืองชิคาโก ซึ่งมีจุดเด่นคือไม่มีซอสมะเขือเทศ!
- Deep Dish Pizza – พิซซ่าแบบหนามีไส้แบบสูตรเฉพาะของชิคาโก เมนูนี้เป็นเมนูที่ชาวเมืองหลายคนมองว่าเป็นเมนูที่มีความ local มากที่สุดในเมนูพื้นเมืองทั้งปวงครับ ตัวพิซซ่านั้นจะหนามากและมาพร้อมกับหน้าแบบเน้นๆ ครับ
References
- Choose Chicago Official Travel Site
- The SkyDeck
- 360Chicago Official Site
- Adler Planetarium Official Site
- Field Museum Site
- artic.edu