หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น10 ที่เที่ยวจิจิบุ (Chichibu) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

10 ที่เที่ยวจิจิบุ (Chichibu) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

จิจิบุ (Chichibu) เป็นเมืองสวยของจังหวัดไซตามะ โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด ที่นี่มีทั้งสวนดอกไม้ที่งามเลิศ ไปจนถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ทั้งสวยงามและน่าเกรงขามไปในเวลาเดียวกันครับ

บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองแห่งนี้โดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสิ่งที่น่าสนใจเป็นลำดับถัดไปครับ

รู้จักจิจิบุ (Chichibu)

ดินแดนเมืองจิจิบุนั้นมีความเก่าแก่มาก โดยย้อนไปได้ถึงช่วงยุคนาราเลยทีเดียว ในช่วงนั้นได้มีการค้นพบทองแดงในพื้นที่แห่งนี้ ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นเหมืองที่ผลิตเหรียญโบราณชิ้นแรกของญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่าวาโดไคชิน (Wadokaishin) ครับ

หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างศาลเจ้าจิจิบุขึ้นมา (บ้างว่าอาจจะสร้างตั้งแต่ก่อนคริสตกาล หรือก่อนช่วงที่มีการผลิตเหรียญเสียอีก) และได้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้แสวงบุญจำนวนมาก ตัวเมืองจิจิบุจึงเจริญขึ้นโดยขยายออกมาจากศาลเจ้าแห่งนี้ครับ

สถานที่เที่ยวจิจิบุ (Chichibu)
by corosukechan3/ShutterStock

เมืองจิจิบุไม่ค่อยมีบทบาทใดๆ ในหน้าประวัติศาสตร์มากนัก เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หรือเป็นเมืองค้าขายที่รุ่งโรจน์ (เหมือนคาวาโกเอะ) ในช่วงยุคเอโดะได้มีการสร้างเส้นทางผู้แสวงบุญเชื่อมวัดเก่าแก่ 34 แห่งในเขตเมืองเข้าด้วยกัน เพื่ออำนวยความสะดวกกับนักเดินทางครับ

อย่างไรก็ดีจิจิบุมาปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ.1884 เพราะเหล่าชาวนานับหมื่นได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลเมจิ เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ เหตุการณ์นี้มีชื่อว่า Chichibu Incident

by Chen Min Chun/ShutterStock

ก่อนที่เหล่าชาวนาจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น รัฐบาลเมจิได้ส่งกองทัพเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้การลุกฮือล้มเหลวไปในที่สุด แต่ก็ได้ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นการต่อต้านรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดของยุคเมจิในหน้าประวัติศาสตร์ไปเป็นที่เรียบร้อย

นับตั้งแต่บัดนั้นจิจิบุก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบที่ให้การต้อนรับเหล่าผู้แสวงบุญชาวญี่ปุ่นตลอดจนนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปเมืองจิจิบุ (Chichibu) ทำอย่างไร

จิจิบุนั้นอยู่ใกล้โตเกียว โดยคุณสามารถไปได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

รถไฟ – วิธีที่ง่ายที่สุดคือขึ้นรถไฟ Seibu Ikebukuro/Chichibu Line (ขบวน Red Arrow Limited Express) จากสถานี Ikebukuro ไปยังสถานี Seibu-Chichibu Station ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 80 นาทีครับ

ทั้งนี้คุณสามารถไปจิจิบุด้วยรถไฟเส้นอื่นด้วยเช่นกัน อย่างเช่นใช้บริการของ JR Takasaki จากสถานีโตเกียวหรืออุเอโนะไปลงที่ Kumagaya Station แล้วเปลี่ยนเป็น Chichibu Railway เข้าเมืองจิจิบุ แต่เรื่องราคาและเวลาที่ใช้จะสูงกว่าการนั่งรถไฟของ Seibu ครับ ดังนั้นเป็นตัวเลือกที่แย่กว่าอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าตื่นตาคือช่วง Kumagaya-Chichibu นั้นคุณสามารถเลือกนั่งรถไฟแบบหัวรถจักรไอน้ำ (Steam Locomotive The Paleo Express) เพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบวินเทจได้ แต่จะใช้เวลามากกว่ารถไฟธรรมดาครับ

รถไฟหัวรถจักรไอน้ำ เมืองจิจิบุ
by Chen Min Chun/ShutterStock

เช่ารถขับ – การเช่ารถจากโตเกียว (หรือสนามบินอย่างนาริตะ) เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการไปเที่ยวจิจิบุ เพราะตัวเมืองไม่ได้ไกลโตเกียวมากนัก (ประมาณ 95 กิโลเมตร) ทำให้เดินทางไปได้ไม่ยากเลยครับ

ข้อดีของการเช่ารถขับคือ คุณสามารถออกไปชมสถานที่ต่างๆ นอกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถหรือไม่มีครับ

ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Chichibu Tourism Website หรือเว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวจิจิบุ ผมแนะนำให้ตรวจสอบเพิ่มเติมที่ต้นทางก่อน เพราะข้อมูลการเดินรถอาจเปลี่ยนไปได้ครับ

การสัญจรในจิจิบุทำอย่างไร

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ไม่ไกลมากจากสถานีรถไฟ เพราะฉะนั้นคุณสามารถเดินหรือขี่จักรยานไปได้ แต่แห่งที่อยู่นอกเมืองนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือเช่ารถขับ หรือบริการแท็กซี่ครับ จริงอยู่ว่าคุณอาจจะใช้บริการรถบัสได้ แต่ถือว่าซับซ้อน เพราะต้องเปลี่ยนหลายต่อครับ

1. ศาลเจ้าจิจิบุ

ศาลเจ้าจิจิบุ (Chichibu Shrine) เป็นศาลเจ้าที่เชื่อกันว่าอายุอาจจะมากถึงสองพันปี เพราะฉะนั้นน่าจะเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

เดิมทีศาลเจ้าแห่งนี้ได้เป็นศาลเจ้าชินโต แต่ในช่วงยุคคามาคุระ ตระกูลไทระที่ศรัทธาในศาสนาพุทธได้ปกครองจิจิบุ และได้นำรูปเคารพของพระโพธิสัตว์เมียวเค็น (Myoken) เข้ามาประดิษฐานด้วย ทำให้กลายเป็นศาสนสถานของทั้งสองศาสนาไปโดยปริยาย

สถาปัตยกรรมของศาลเจ้านั้นเป็นแบบกอนเก็นสึคุริ (gongen-zukuri) แต่ของเดิมนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เพราะถูกไฟสงครามช่วงยุคเซ็นโกกุเผาจนวอด ช่วงยุคเอโดะ โตกกุกาวะ อิเอยาสึจึงได้โปรดให้สร้างขึ้นใหม่ครับ

ศาลเจ้าจิจิบุ (Chichibu Shrine)
by mr_yonglu/ShutterStock

ปัจจุบันตัวศาลเจ้านั้นได้รับการบูรณะจนในสภาพที่สมบูรณ์และสวยงามมาก และมีรูปแกะสลักจากไม้ที่งดงาม และเป็นมรดกโลกอันล้ำเลิศของประติมากรรมสมัยเอโดะของญี่ปุ่นครับ ซึ่งถ้าดูเผินๆ แล้วจะคล้ายกับที่นิกโก้โทโชกุที่นิกโก้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะบางส่วนของที่นี่ใช้ทีมช่างฝีมือคนเดียวกันครับ

สำหรับใครที่เป็นสายมู หรือชอบขอพร คุณควรมาขอพรที่นี่ครับ เพราะมีกิตติศัพท์เลื่องลือเรื่องการให้ความสำเร็จทางด้านการศึกษา ความปลอดภัยของครอบครัว รวมไปถึงความรุ่งเรืองและโชคลาภ ฯลฯ

ช่วงวันที่ 2-3 ธันวาคมของทุกปี ศาลเจ้าจิจิบุเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลกลางคืนจิจิบุ (Chichibu Night Festival) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลรถแห่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น (เทียบเท่าที่ทาคายาม่าและเกียวโต)

ในช่วงกลางคืนนั้น รถแห่แต่ละคันจะประดับประดาด้วยไฟ ทำให้ทอแสงเรืองรอง เมื่อรวมกับดอกไม้ไฟ และเสียงดนตรีพื้นบ้านอันดังก้องแล้ว นี่เป็นเทศกาลญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่คุณไม่ควรพลาดชมเลยครับ

2. Chichibu Kannon Pilgrimage route

Chichibu Kannon Pilgrimage Route เป็นเส้นทางเก่าแก่ที่เหล่าผู้แสวงบุญใช้เพื่อสักการะวัดทั้งหมด 34 แห่งที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองจิจิบุแห่งนี้ครับ

เส้นทางแห่งนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่ใหญ่กว่าอย่าง 100 Kannon Pilgrim Route และเป็นส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าวัดแต่ละแห่งอยู่ใกล้ๆ กันครับ

วัดแต่ละแห่งในเส้นทางแสวงบุญนั้นจะมีประดิษฐานรูปปั้นขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิม (หรือคันนงในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งศาสนิกจะเข้ามากราบไหว้บูชาสักการะ พร้อมกับรับแสตมป์หรือโกโชอิน (Goshoin) ลงในสมุดแสตมป์ที่เรียกว่าโกโชอินโช (Goshoin-cho) ครับ

หมู่พระที่จิจิบุ
by Haruka Japan/ShutterStock

ปัจจุบันยังมีผู้แสวงบุญจำนวนมากที่เดินทางมาแสวงบุญตามเส้นทางแห่งนี้ พวกเขาจะแต่งกายในชุดพื้นเมืองที่สีขาวสะอาดพร้อมกับถือไม้เท้า

แน่นอนว่าถ้าคุณไปเยือนจิจิบุ คุณสามารถเช่าชุดเหล่านี้ และเดินไปตามบางส่วนของเส้นทางได้เช่นกัน (เก็บหมดคงไม่ไหว เพราะเส้นทางจากวัดแรกถึงวัดที่ 34 ยาวประมาณ 100 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวส่วนมากจึงจะเดินระหว่างวัดเอ็นยูจิถึงวัดโชเซนอินซึ่งยาว 6.4 กิโลเมตร) แต่ถ้าขี้เกียจก็ขับรถไปก็ได้ครับ

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ผู้แสวงบุญนิยมทำกันคือคัดลอกพระสูตรด้วยพู่กันญี่ปุ่น หรือชาเกียว (Shakyo) ซึ่งชาวญี่ปุ่นถือว่าได้บุญสูง และจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา รวมไปถึงเป็นบุญกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปกันที่วัดโฮโชจิ (Hoshoji) เพราะมี guide เป็นภาษาอังกฤษ และมีพระสูตรสั้นๆ ให้เขียนครับ

3. ศาลเจ้ามิตสุมิเนะ

ศาลเจ้ามิตสุมิเนะ (Mitsumine Shrine) เป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าชินโตอันศักดิ์สิทธิ์แห่งจิจิบุ ตามตำนานเล่าว่าตัวศาลเจ้าน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 เพื่ออุทิศให้กับอิซะนามิ และอิซะนากิ ผู้สร้างเกาะญี่ปุ่นตามตำนานปรัมปราครับ

Mitsumine Shrine
by Julianne Hide/ShutterStock

ปัจจุบันในศาลเจ้ายังมีอาคารแบบดั้งเดิมให้ชมอยู่หลายหลัง ตั้งแต่ตัวศาลเจ้าหลักที่มีงานแกะสลักอันล้ำค่า ไปจนถึงประตูโทริอิ และรูปปั้นหมาป่า (ตามตำนาน) รวมไปถึง จุดชมวิวที่ให้คุณชมวิวรอบๆ ภูเขาจากมุมสูงได้อีกด้วย

ศาลเจ้ามิตสุมิเนะ
by julianne.hide/ShutterStock

4. ชมดอกไม้ที่สวนต่างๆ

สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park) เป็นสวนชิบะซากุระ หรือ Moss Pink ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยมีถึงกว่า 400,000 ต้นจาก 9 สายพันธุ์

Hitsujiyama Park
by Aan Kent/ShutterStock

ทั้งนี้ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ทั้งสวนจะมีดอกสีม่วง ชมพู ขาว หรือบานเย็นปกคลุมไปทั่วหุบเขาเลยครับ ใครที่ชอบดอกไม้แน่นอนว่าไม่ควรพลาด

สำหรับใครที่ชอบดอกป็อปปี้ คุณสามารถไปชมได้ที่จุดที่เรียกว่า Tenku-no-Poppy ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Chichibu Highland Ranch ที่นี่มีดอกป็อปปี้มากถึง 15 ล้านดอกด้วยกันครับ โดยช่วงที่ชมได้อยู่ที่กลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน

ทุ่งดอกป็อปปี้เมืองจิจิบุ
by Yusei/ShutterStock

อย่างไรก็ดีโปรดตรวจสอบที่เว็บนี้ก่อนว่ามีจัดงานรึเปล่า (ตารางไม่แน่นอนว่าบางปีดอกไม้ก็บานได้ไม่ดีนัก และผู้จัดเคยยกเลิกงานสองวันก่อนจะเริ่มมาแล้วครับ)

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือ Chichibu Muse Park ซึ่งมีดอกไม้ให้ชมนับสิบชนิด ตั้งแต่ซากุระที่เรียงรายไปสองข้างทางของสวนไปจนถึงดอกพลัม, ดอก narcissus ไปจนถึงดอก hydrangea แต่ว่าจะไม่ได้ปรากฏให้ชมพร้อมกันหมด (บางชนิดบานในฤดูใบไม้ผลิ บางชนิดบานฤดูร้อนครับ)

ทะเลหมอกที่จิจิบุ
by officeu1/ShutterStock

นอกเหนือจากดอกไม้แล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมทะเลหมอก (Sea of Clouds) ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองด้วยครับ

5. ชมแท่งน้ำแข็ง

ในช่วงฤดูหนาวนั้น เมืองจิจิบุจะมีจุดชมแท่งน้ำแข็งอยู่สามแห่งได้แก่

แท่งน้ำแข็งแห่งจิจิบุ (Chichibu)
by Yusei/ShutterStock
  • Misotsuchi Icicles – จุดชมแท่งน้ำแข็งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นแห่งเดียวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สายน้ำที่ไหลผ่านช่องหินจะกลายเป็นแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ครับ ตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟส่องไปที่แท่งน้ำแข็ง ทำให้สวยยิ่งขึ้นไปอีก
  • Onouchi Hyakkei Icicles – ตั้งอยู่ที่ในหุบเขาออนโนะอุจิ แม้ว่าจะสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่จุดนี้มีความโดดเด่นตรงที่คุณจะชมแท่งน้ำแข็งได้จากสะพานแขวน ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปครับ ช่วงกลางคืนมีเปิดไฟเช่นเดียวกัน ซึ่งสวยมากทำให้ได้ลงรายการทีวีและนิตยสารของญี่ปุ่นหลายครั้งครับ
  • Ashigakubo Icicles – เพิ่งเปิดใหม่ในช่วงปี 2014 ช่วงกลางคืนมีเปิดไฟหลากสี ทำให้สวยงามไม่แพ้ที่อื่นครับ
Onouchi Hyakkei Icicles
by cdrw/ShutterStock

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาชมคือ ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ

6. หุบเขานากาสึ

หุบเขานากาสึ (Nakatsu Valley) เป็นสถานที่ที่มีโตรกสวยที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำนากาสึกาวะเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร

บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้ชื่อว่างามติดอันดับ 1 ใน 100 ในประเทศ เพราะต้นไม้สีแดงสีส้มจะเรียงรายกันไปตามแม่น้ำอย่างสวยงามมากครับ

7. นาข้าวเทระซากะ

นาข้าวเทระซากะ (Terasaka Rice Terrace) เป็นนาข้าวขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดไซตามะ โดยมีการปลูกข้าวต่อเนื่องกันมาหลายร้อยปีครับ

by Takashi Images/ShutterStock

ความสวยงามของนาข้าวแห่งนี้คือมีภูเขาอันสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง ซึ่งเมื่อนาข้าวได้มีการลงกล้าเรียบร้อยแล้ว หรือว่าช่วงที่พร้อมจะเก็บเกี่ยว บริเวณนาข้าวนี้จะน่าชมทีเดียวครับ

8. เก็บผลไม้ที่สวนต่างๆ

จิจิบุเป็นเมืองที่มีสวนผลไม้มากมายที่คุณสามารถไปเก็บผลไม้เท่าไรก็ได้มารับประทาน โดยที่เสียค่าใช้จ่ายในราคาที่ไม่แพงครับ

ผลไม้ที่มีให้เก็บมักจะเป็นสตรอเบอรี่ องุ่น บลูเบอรี่ ไปจนถึงแอปเปิ้ลหรือมันหวาน แต่ละสวนก็จะมีผลไม้ต่างกันออกไป อย่างเช่นที่ Chichibu Fruit Farm ก็จะมีองุ่นและสตรอเบอรี่เป็นต้นครับ

สตรอเบอรี่ เมืองจิจิบุ
by KIETSUDA KATKASEM/ShutterStock

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องตรวจสอบล่วงหน้าว่าช่วงไหนมีอะไรให้เก็บที่เว็บไซต์ของฟาร์ม เพราะบางช่วงจะไม่มีผลไม้ใดๆ ให้เก็บครับ

9. แช่ออนเซ็น

จิจิบุเป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากในช่วงสมัยเอโดะ “น้ำทั้งเจ็ดแห่งจิจิบุ” นั้นมีกิตติศัพท์ในการช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของผู้แสวงบุญที่เดินทางมาสักการะวัดพระโพธิสัตว์กวนอิมทั้ง 34 แห่งครับ

ปัจจุบันน้ำพุทั้งเจ็ดเหลืออยู่เพียง 3 แห่ง ที่เหลือนั้นปิดทำการหรือเสียหายเพราะภัยธรรมชาติไปนานแล้ว ทุกวันนี้ที่เหลือคุณยังสามารถไปใช้บริการได้ อย่างเช่นที่ Araki Kosen Ryokan เป็นต้นครับ

10. ชิมอาหารรสชาติดี

เมืองจิจิบุแม้ว่าจะเล็ก แต่ก็เป็นถิ่นของอาหารญี่ปุ่นรสชาติดีที่มีความอร่อยเฉพาะตัว เมนูที่น่าลิ้มลองได้แก่

มันฝรั่งทอดเทมปุระ ของดีเมืองจิจิบุ
by tawa_mana/ShutterStock
  • โซบะ – อาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในจิจิบุ ในเมืองขนาดเล็กแห่งนี้มีร้านโซบะถึง 60 กว่าแห่ง แสดงให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ในอาหารชนิดนี้ของพลเมืองได้เป็นอย่างดี แต่ละร้านนั้นจะมีสูตรของตนเอง เพราะฉะนั้นไม่ควรพลาดลิ้มลองครับ
  • สุริอาเกะอุด้ง (Zuriage Udon) – เมนูดั้งเดิมอันเก่าแก่ของจิจิบุ กล่าวคือจะเสิร์ฟเส้นอุด้งใส่ในน้ำซุปที่ทำมาจากถั่วเหลือง พร้อมกับท้อปปิ้งอย่างเช่นเทมปุระ เต้าหู้ทอด ฯลฯ
  • มันฝรั่งทอดเทมปุระราดมิโซะ – ชาวเมืองจิจิบุนั้นมีวัฒนธรรมการกินอาหารกลางวันมื้อเล็ก หรือ โกจุฮัง (Kojuhan) มีตั้งแต่โบราณ ซึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมที่สุดคือมันฝรั่งชุบแป้งเทมปุระทอด ราดด้วยซอสที่ทำมาจากมิโซะครับ
  • ข้าวหน้าหมูทอด (Waraji Katsudon)
  • ข้าวหน้าหมูย่าง (Buta Misodon)
ข้าวหน้าหมูทอด
by picture cells/ShutterStock

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

แนะนำสำหรับช่วงฤดูร้อน

โรงแรมน่าจองในโตเกียว

บทความล่าสุด

error: Content is protected !!