ดาไซฟุ (Dazaifu) เป็นเมืองในจังหวัดฟุกุโอกะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเอกของจังหวัดมากนัก ตัวเมืองมีชื่อเสียงในเรื่องศาสนสถานที่รุ่งโรจน์ และเคยเป็นถึงศูนย์กลางการปกครองเกาะคิวชูเมื่อพันกว่าปีก่อนครับ ปัจจุบันดาไซฟุได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ และควรค่าต่อการไปเยือนถ้าคุณเดินทางไปเที่ยวฟุกุโอกะครับ
สำหรับบทความนี้จะแนะนำเมืองดาไซฟุให้คุณรู้จักคร่าวๆ ก่อนจะไปว่ากันถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักดาไซฟุ (Dazaifu)
พื้นที่ส่วนใหญ่ของดาไซฟุนั้นเป็นภูเขาสูง แต่ก็มีพื้นราบบางส่วนที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีมนุษย์อยู่อาศัยมาอย่างต่ำสองพันปีแล้วครับ
ทว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนดาไซฟุจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คือ การที่มีการย้ายศูนย์กลางการปกครองเกาะคิวชูมาตั้งอยู่ที่นี่ในปี ค.ศ.663 นอกจากนี้ยังถูกใช้เป็นเมืองที่รับทุตานุทูตจากต่างประเทศ รวมไปถึงเมืองที่เหล่าพ่อค้าใช้เข้าออก ทำให้ดาไซฟุกลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งอันดับต้นๆ ของเกาะคิวชูเลยก็ว่าได้
ความรุ่งโรจน์ของเมืองดำเนินต่อไปตั้งแต่ยุคนารา เฮอัน ไปจนถึงคามาคุระ อย่างในช่วงเฮอันนั้น ดาไซฟุเป็นเมืองที่เหล่าข้าราชการในราชสำนักที่ต้องโทษเนรเทศจากเกียวโตจะเดินทางมาพำนัก เพราะว่าห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ยังให้ความสะดวกสบายได้พอสมควรครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 10 ดาไซฟุเริ่มเสื่อมถอยลง เพราะถูกปล้นสะดมโดยพวกกบฏและโจรสลัดที่ต่อต้านราชสำนัก ซึ่งท้ายที่สุดกลุ่มกบฏและโจรเหล่านี้ก็ถูกปราบปรามลงได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ดาไซฟุไม่เคยกลับไปรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตอีกเลย ในช่วงศตวรรษที่ 14 ศูนย์กลางการปกครองเกาะคิวชูก็ถูกย้ายกลับไปที่ฮากาตะ (ส่วนหนึ่งของเมืองฟุกุโอกะในปัจจุบัน)
ช่วงเซ็นโกกุนั้นเป็นช่วงที่ตัวเมืองอยู่ในการปกครองของตระกูลโชนิ (Shoni Clan) ก่อนที่ถูกเปลี่ยนมือไปมาจนกระทั่งในสมัยเอโดะที่ตัวเมืองถูกปกครองโดยตระกูลคุโรดะเป็นเวลานานเกือบ 3 ศตวรรษ ก่อนที่รัฐบาลเมจิจะยกเลิกการปกครองแบบเก่าในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ครับ
ปัจจุบันดาไซฟุได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฟุกุโอกะ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศาลเจ้า วัด และพิพิธภัณฑ์หลายแห่งครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปดาไซฟุทำอย่างไร?
ดาไซฟุเดินทางไปอย่างไม่ยากจากฟุกุโอกะ โดยคุณสามารถขึ้นรถไฟ Nishitetsu Tenjin Omuta Line จาก Fukuoka Tenjin Station ไปยัง Nishitetsu Futsukaichi Station หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็น Dazaifu Line ไปยัง Dazaifu Station ครับ
อีกตัวเลือกหนึ่งคือนั่งรถบัสไปจาก Hakata Bus Center ไปยัง Dazaifu Station โดยตรง ซึ่งจะซับซ้อนน้อยกว่า แต่ใช้เวลาพอๆ กันครับ
1. ศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมันกุ
ศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมันกุ (Dazaifu Tenmangu Shrine) เป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในเมืองดาไซฟุ และเป็นหนึ่งในศาลเจ้าประธานของศาลเจ้าเท็นมันกุอื่นๆ ทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ศาลเจ้าแห่งนี้อุทิศให้กับเท็นจิน หรือมิชิซาเนะ สุกาวาระ นักปราชญ์ในสมัยศตวรรษที่ 9 ได้ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าหลังจากที่เขาได้ล่วงลับไปแล้ว สาเหตุหลักคือชาวเมืองเชื่อว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่นานหลังเขาตายไปแล้วเป็นผลมาจากดวงวิญญาณอันโกรธเกรี้ยวของเขาที่ถูกปฏิบัติจากราชสำนักอย่างไม่ยุติธรรม ทำให้มีการตั้งศาลเซ่นสรวงวิญญาณเขาขึ้นมาครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มิชิซาเนะก็ได้กลายเป็นเทพเจ้าเท็นจิน หรือเทพเจ้าแห่งการศึกษาครับ
ในหน้าประวัติศาสตร์ ตัวศาลเจ้าสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 10 ก่อนที่จะได้รับการสร้างใหม่และขยายใหญ่อย่างอลังการในช่วงศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมล้นหลามในหมู่นักเรียนนักศึกษา เพราะว่ามิชิซาเนะนั้นเป็นปราชญ์ พวกเขาจึงมักจะเดินทางมาไหว้พระขอพรกันก่อนสอบที่นี่ครับ
จุดที่น่าสนใจในศาลเจ้านั้นมีหลายจุดด้วยกัน จุดแรกได้แก่ ไทโกะ-บาชิ (Taiko-Bashi) สะพานสีส้มสามแห่งที่เป็นปุคคลาธิษฐานแสดงถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่นี่เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของศาลเจ้าแห่งนี้ครับ
จุดที่น่าสนใจถัดมาก็คือฮอนเด็น (Honden) ซึ่งเป็นอาคารหลักของศาลเจ้า ที่นี่เป็นสถานที่เก็บร่างของมิชิซาเนะ โดยสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมแบบอาสึจิ-โมโมยามะที่สวยงามยิ่ง ที่นี่เป็นจุดที่ศาสนิกมาไหว้พระขอพร รวมไปถึงเป็นสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ด้วยครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือต้นพลัมที่ปลูกมากมายในศาลเจ้าแห่งนี้ถึงหกพันต้น สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมิชิซาเนะนั้นหลงรักต้นไม้ชนิดนี้ โดยก่อนที่เขาจะถูกเนรเทศมาจากเกียวโตนั้นเคยเขียนบทกลอนพรรณนาอาลัยรักต้นพลัมที่ตนเองปลูกได้ด้วย ซึ่งในเวลาได้กลายเป็นตำนานว่า ต้นพลัมนั้นมีชีวิตจิตใจและรักเจ้านายของมันมากเช่นกัน มันจึงดีดตัวเองจากพื้นดินและบินมาถึงดาไซฟุเพื่อมาหาเจ้านายที่นี่ครับ
ปัจจุบันต้นพลัมในตำนานนี้ยังอยู่ โดยชื่อว่าโทบิอุเมะ (Tobiume) ซึ่งจะมีการล้อมรั้วให้เห็นอย่างชัดเจนครับ ทั้งนี้ถ้าคุณอยากชมดอกพลัมที่มีมากมายในศาลเจ้า คุณควรไปเยือนที่นี่ตอนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคมครับ
ถ้าคุณรักในการชมพิพิธภัณฑ์ ในศาลเจ้านั้นมีพิพิธภัณฑ์ Dazaifu Tenmangu Museum ที่มีโบราณวัตถุให้ชมกว่า 50,000 ชิ้น โดยเฉพาะชิ้นที่เกี่ยวกับเท็นจินครับ
สำหรับใครที่เป็นสายมู และยังคงอยู่ในวัยเรียน คุณอาจจะเลือกซื้อเครื่องรางหรือโอมะโมริกลับไปได้ ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าช่วยให้โชคดีและสำเร็จสมความปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทะเยอทะยานทางด้านการศึกษาครับ
2. ถนนดาไซฟุมอนเซนมาจิ
ถนนดาไซฟุมอนเซนมาจิ (Dazaifu Monzenmaji) เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนรถไฟและศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมันกุ บริเวณสองข้างทางมีร้านค้า โรงน้ำชา ตลอดจนร้านอาหารจำนวนมาก และมีประตูโทริอิขนาดใหญ่ตั้งอยู่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าคุณกำลังเข้าสู่เขตของศาลเจ้าอีกด้วยครับ
บริเวณนี้เป็นจุดที่ดีที่สุดที่เปิดโอกาสให้คุณได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง อย่างเช่นอุเมกาเอะโมจิ (Umegaemochi) หรือโมจิใส่ถั่วหวานแสนอร่อยครับ
3. วัดคันเซอนจิ
วัดคันเซอนจิ (Kanzeonji Temple) เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นด้วยจักรพรรดิญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 7 ในอดีตวัดแห่งนี้เคยมีอาคารมากมาย และเต็มไปด้วยภิกษุ เพราะว่าเป็นแค่วัด 1 ใน 3 แห่งที่จัดการอุปสมบทของพระใหม่ได้ครับ
ทว่าในปัจจุบันอาคารของเดิมนั้นพังทลายเสียหายไปแล้ว โดยเหลือแต่ตัวอาคารหลัก หอระฆัง และคลังของวัดที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงสมัยเอโดะเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดีหอระฆังของที่นี่นั้นเก็บรักษาระฆังโบราณสมัยศตวรรษที่ 7 ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับพระพุทธรูปและรูปปั้นอื่นๆ ที่มาจากสมัยเฮอันและคามาคุระครับ
4. วัดโคเมียวเซนจิ
วัดโคเมียวเซนจิ (Komyozenji Temple) เป็นวัดนิกายเซนที่สร้างขึ้นในสมัยคามาคุระ ความสวยงามของวัดนี้อยู่ที่สวนแบบเซน โดยเฉพาะสวนหินแบบคาเรซันซุย (Karesansui) แห่งเดียวในคิวชู ตัวสวนจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่สวนฝั่งหน้าหรือสวนฝั่งหลังครับ
สวนฝั่งหน้าค่อนข้างเล็ก และมีการเรียงหินเป็นตัวคันจิที่แปลว่าแสงสว่าง ส่วนสวนฝั่งหลังจะใหญ่กว่าและมีการปลูกต้นไม้เรียงรายไปคู่กับหินด้วย โดยเฉพาะต้นเมเปิ้ลที่จะเปลี่ยนสีอย่างงดงามยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน (ตุลาคม 2023) สวนแห่งนี้ยังไม่เปิดให้บริการครับ
5. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู + ซากที่ทำการรัฐ
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชูหรือ Kyushu National Museum เป็นหนึ่งในสี่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของญี่ปุ่น คู่กับแห่งที่ตั้งอยู่ที่เกียวโต นารา และโตเกียว ตัวพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุและให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของญี่ปุ่นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยโฟกัสที่เกาะคิวชูและเมืองดาไซฟุ ตั้งแต่ช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยเมจิครับ
เพราะฉะนั้นใครที่ชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดทุกประการเลยครับ ในส่วนของค่าเข้าชมนั้นอยู่ที่ 700 เยนครับ
อีกหนึ่งแห่งที่สายชอบประวัติศาสตร์ควรไปเยือนคือ Dazaifu Government Office Ruins ที่นี่เคยเป็นที่ทำการรัฐในสมัยที่ดาไซฟุเป็นศูนย์กลางการปกครองทั้งเกาะคิวชู แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยเหลืออะไรเท่านั้น นอกจากพื้นหินและโครงที่เป็นหลักฐานว่าในอดีตที่นี่เคยยิ่งใหญ่เพียงใดครับ
6. ภูเขาโฮมัง
ภูเขาโฮมัง (Mt.Homan) เป็นภูเขาที่ชาวเมืองถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์นับตั้งแต่โบราณกาล รวมไปถึงสถานที่สำหรับนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรมของนักบวชแถบนี้อีกด้วย วิวทิวทัศน์บริเวณภูเขาลูกนี้ถือว่าสวยมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
ทว่าในระยะหลังนั้นที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการหาคู่และขอความรัก เพราะมีการสร้างศาลเจ้าคามาโดะ (Kamado Shrine) ขึ้นบริเวณนี้ เทพเจ้าที่สถิตที่นี่คือทามาโยริฮิเมะ ผู้ที่ตำนานเล่าว่ามีพลังช่วยให้ผู้คนเข้าหากันและสร้างความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นใครที่อยากได้คู่ครองจึงมักจะมาขอพร และซื้อเครื่องรางที่นี่ครับ
สำหรับใครที่สุขภาพแข็งแรงและอยากหากิจกรรมที่ท้าทาย คุณอาจจะเดินตามเส้นทางจากศาลเจ้าคามาโดะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูเขา ซึ่งจากจุดนั้นคุณจะเห็นวิวเมืองดาไซฟุได้อย่างสุดลูกหูลูกตาเลยครับ