เดรสเดน (Dresden) เป็นเมืองหลวงของรัฐแซ็กโซนี (Saxony) ของประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ (เป็นลำดับที่ 12) ตัวเมืองมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานน่าทึ่ง ทำให้เป็นเมืองที่น่าไปเยือนอย่างยิ่ง ถ้าคุณสนใจประวัติศาสตร์ครับ
สำหรับคนรักประวัติศาสตร์อย่างผมแล้วนั้น เดรสเดนปรากฏในความทรงจำครั้งแรกตอนที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวคือตัวเมืองได้ถูกทิ้งระเบิดจนแทบจะกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ชาวเมืองก็ได้ใช้เวลาหลายทศวรรษในการสร้างทุกสิ่งให้กลับมาเหมือนเดิม เรียกได้ว่าน่านับถือหัวใจเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเดรสเดนโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองเดรสเดน (Dresden)
เดรสเดนเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนกลางของประเทศ แต่จะค่อนไปทางทิศตะวันออก ตัวเมืองมีแม่น้ำ Elbe ไหลผ่าน ทำให้พื้นที่โดยรอบอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้เดรสเดนยังมีอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปี โดยไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่บริเวณตัวเมืองจะมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินใหม่ครับ
อย่างไรก็ดีถ้าเทียบกับเมืองอื่นในเยอรมนีแล้ว เดรสเดนเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ เพราะว่าได้พัฒนาขึ้นจากหมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงศตวรรษที่ 12 นี้เอง โดยตัวเมืองได้ทวีความสำคัญขึ้น เพราะรัฐ Meissen ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกที่นี่เป็นเมืองหลวงครับ
เดรสเดนได้เจริญรุ่งเรืองมากในช่วงศตวรรษที่ 15 เพราะดยุคแห่งแซ็กโซนีที่ขึ้นมามีอำนาจในพื้นที่แถบนี้ได้เลือกที่จะตั้งเมืองหลวงขึ้นที่นี่ ซึ่งแซ็กโซนีเป็นรัฐสำคัญในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะดำรงตำแหน่งเป็น Elector ซึ่งมีสิทธิ์ในการเลือกจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ทำให้เดรสเดนทวีความสำคัญขึ้นอย่างก้าวกระโดดครับ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ดยุค Frederick Augustus แห่งแซ็กโซนีได้นั่งบัลลังก์เป็นกษัตริย์แห่งโปลิช-ลิทัวเนีย ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ของยุโรปในเวลานั้น แต่พระองค์มิเคยลืมเลือนบ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงแต่อย่างใด ดังนั้นพระองค์จึงให้ทุนทรัพย์มากมายดึงตัวศิลปิน นักดนตรี และจิตรกรชั้นนำจากทั่วยุโรปให้ไปพัฒนาเมืองเดรสเดน ช่วงนี้เองที่เดรสเดนได้กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมของยุโรปครับ
อย่างไรก็ดีเดรสเดนได้รับความเสียหายมากในช่วงสงครามเจ็ดปี เพราะตัวเมืองถูกกองทัพปรัสเซียเข้ายึดครอง แต่เดรสเดนก็ฟื้นฟูกลับขึ้นมาช่วงหลังสงคราม และยังคงมีชื่อเสียงในเรื่องเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปะของยุโรป โดยได้มีการสร้างอาคารแบบ baroque ที่งดงามอลังการมากมาย ทำให้มีคำกล่าวเปรียบเปรยว่าเดรสเดนเป็นเมืองฟลอเรนซ์ที่อยู่ริมแม่น้ำ Elbe ครับ
หลังจากที่ประเทศเยอรมนีสถาปนาขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เดรสเดนก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่ตั้งใหม่ ตัวเมืองยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศิลปะแบบ modern art ครับ
เดรสเดนรอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาได้โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตัวเมืองโดนกองทัพพันธมิตรทิ้งระเบิดเพลิงอย่างรุนแรงในปี ค.ศ.1945 ทำให้ตัวเมืองแทบจะพังพินาศเป็นหน้ากลอง ความเสียหายทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมที่เกิดจากการทิ้งระเบิดดังกล่าวถือว่าเหลือคณานับ เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิตอย่างน้อยถึง 25,000 คนครับ
หลังจากสงครามสงบ เดรสเดนอยู่ในการปกครองของเยอรมนีตะวันออก ดังนั้นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากสงครามจึงไม่ได้รับการบูรณะมากนัก แต่กลับถูกรื้อถอนเสียเป็นส่วนใหญ่ เดรสเดนต้องรอจนถึงช่วงหลังการรวมประเทศเยอรมนีถึงจะได้รับการสร้างตัวเมืองให้กลับมาสวยดังเดิม ในปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันก็ยังคงอนุมัติให้มีการสร้างอาคารสำคัญๆ ในอดีตให้กลับมาตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมครับ
แม้ว่าอาคารแทบทั้งหมดจะเป็นของใหม่ แต่เดรสเดนยังคงเป็นหนึ่งในเมืองสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี ตัวเมืองมีพิพิธภัณฑ์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศิลปะ ดังนั้นใครที่หลงใหลในศิลปะและประวัติศาสตร์ตะวันตกไม่ควรพลาดที่จะไปเยือนที่นี่ครับ
ข้อควรทราบ
ไปเดินทางไปเมืองเดรสเดน (Dresden) ทำอย่างไร?
เดรสเดนเป็นเมืองใหญ่ของเยอรมนี เพราะฉะนั้นจะเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ (อย่างเช่นเบอร์ลิน) ได้ด้วยรถไฟ หรือรถบัส แต่รถบัสจะเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าครับ คุณสามารถเช็ครอบและเปรียบเทียบการเดินทาง ไปจนถึงจองตั๋วออนไลน์ได้ทันทีผ่าน Omio ครับ
ประหยัดค่าเข้าชมในเมืองเดรสเดนอย่างไร?
วิธีที่ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้คือการซื้อการ์ด โดยมีให้เลือกสองแบบระหว่าง Dresden MuseumsCard และ Dresden City Card ครับ
MuseumsCard จะราคา 35 ยูโร และมีอายุสองวัน บัตรนี้ให้สิทธิ์การเข้าชมพิพิธภัณฑ์และ exhibitions ต่างๆ กว่า 27 แห่ง ส่วนบัตร City Card จะมีอายุตั้งแต่ 1-3 วัน สนนราคาจะอยู่ที่ 17-33 ยูโร และจะให้ส่วนลดทั้งเรื่องการเดินทางในเมือง เช่นเดียวกับลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ (แต่ไม่ฟรีเหมือน MuseumCard) ครับ
1. Frauenkirche
Frauenkirche เป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ในคริสตจักรโปแตสแตนท์ ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ในสไตล์ baroque อันสุดอลังการ ทั้งนี้หลังจากสร้างเสร็จ มหาวิหารแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง และเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองเดรสเดน เพราะความสวยงามของที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรปครับ
น่าเสียดายที่มหาวิหารหลังเดิมถูกทำลายอย่างย่อยยับจากการทิ้งระเบิดเพลิงของกองทัพพันธมิตร หลังที่เห็นในปัจจุบันเป็นการสร้างขึ้นใหม่อย่างประณีตตามแบบของเดิมที่สร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.2005 ครับ
องค์ประกอบสำคัญของมหาวิหารแห่งนี้คือตัวโดมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดิ่งหิน (Stone Bell) ทั้งนี้คุณสามารถขึ้นไปยังจุดยอดของโดมเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองเดรสเดนแบบพาโนรามาได้ด้วยครับ
ส่วนด้านในได้รับการตบแต่งอย่างงดงามอร่ามตาเช่นเดียวกันด้วยสถาปัตยกรรมแบบ baroque โดยเฉพาะแท่นทำพิธี (altar) ปัจจุบันที่นี่ใช้จัดคอนเสิร์ตดนตรีสำคัญๆ ของเมือง และแน่นอนว่าพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ในศาสนาคริสต์ครับ
2. Neumarkt Square
ใกล้กับมหาวิหาร Frauenkirche คือจัตุรัสชื่อ Neumarkt Square โดยในอดีตเป็นจัตุรัสที่สำคัญที่สุดของเมือง โดยสร้างขึ้นในสไตล์ Baroque อย่างงดงามยิ่ง แต่ก็มีอันเป็นไปในช่วงสงครามเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันและชาวเมืองเดรสเดนได้ช่วยกันสร้างที่นี่ให้กลับมาสวยงามเช่นเดิมครับ
ปัจจุบันจัตุรัสแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่เดินเล่น ช้อปปิ้ง และหาอะไรทานชั้นยอด โดยเฉพาะในช่วงเย็นที่บรรยากาศโดยรอบถือว่าโรแมนติกทีเดียวครับ
ภายในจัตุรัสแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่ด้วยนั่นคือ Dresden Transport Museum ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งจัดแสดงยานพาหนะหลากหลายแบบที่มนุษยชาติใช้งาตลอดระยะเวลานานกว่าพันปี อาทิเช่นรถรุ่นเก่า จักรยานยนต์ เรือ ฯลฯ
3. Semper Opera House
Semper Opera House หรือ Semperoper เป็นโรงโอเปร่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Elbe โดยสร้างเสร็จสิ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Italian High Renaissance ในปี ค.ศ.1841 และได้กลายเป็นโรงละครประเภทนี้ที่มีชื่อเสียง มีเกียรติ และได้รับการยกย่องที่สุดในประเทศเยอรมนี จนกระทั่งถูกทำลายจนเหลือแต่ซากในช่วงสงครามครั้งที่สอง ทว่าได้รับการสร้างใหม่เสร็จสิ้นในช่วงปี ค.ศ.2010 ครับ
ที่นี่เป็นสถานที่ซ้อมและจัดแสดงของ Saxon State Orchestra วงดนตรีออเครสตร้าที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดวงหนึ่งของโลก และยังจัดแสดงการแสดงรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโอเปร่า บัลเลต์ ฯลฯ
โอเปร่าเรื่องที่น่าสนใจและเข้าชมได้นั้นมีให้เลือกหลากหลายทีเดียว อย่างเช่น Otello ของ Giuseppe Verdi หรือว่า The Magic Flute ของ Mozart แต่ถ้าอยากฟังเฉพาะดนตรี คุณอาจจะเลือกชมเป็น Symphony Concert ได้ด้วยครับ ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
4. Dresden Royal Palace
Dresden Royal Palace หรือ Dresden Castle เป็นพระราชวังหลวงของเจ้าชายและกษัตริย์ในราชวงศ์ Wettin ที่ปกครองที่นี่มาหลายศตวรรษ โดยสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Renaissance แต่พระราชวังก็เสียหายจนต้องสร้างใหม่อยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าครั้งล่าสุดคือในปี ค.ศ.1945 ที่ความเสียหายน่าจะเรียกได้ว่า 100% ครับ
การสร้างใหม่ได้สร้างตามแบบของเดิม โดยเริ่มสร้างในปี ค.ศ.1985 หลังจากสร้างเสร็จได้บางส่วน ที่นี่ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Dresden State Art Collections) ต่อมาการสร้างแต่งเติมส่วนต่างๆ ก็ได้ครบถ้วนตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นบันไดแบบ baroque, หอคอย Hausmann Tower หรือว่าห้องอย่าง Turkish Chamber ครับ
กระบวนการต่างๆ ได้เสร็จสิ้นในปี ค.ศ.2013 ปัจจุบันคุณจึงสามารถเข้าชมตัวพระราชวังได้ แต่ละส่วนได้จัดแสดงของมีค่าที่เป็นโบราณวัตถุของเดิมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสี ชุดเกราะ อาวุธ ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้อง Historic Green Vault ที่เปรียบเหมือนไฮไลท์ของที่นี่ครับ
ค่าเข้าชมเบื้องต้นจะอยู่ที่ 14 ยูโร แต่จะเป็น 28 ยูโรถ้าคุณต้องการเข้าห้อง Historic Green Vault ด้วยครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของพระราชวังครับ
5. Procession of Princes
Procession of Princes หรือ Fürstenzug เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังความยาว 101 เมตรที่ตั้งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง และเชื่อมระหว่างจัตุรัส Neumarkt และ Schlossplatz ครับ
ตัวภาพนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดีจากเมือง Meissen (ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเดรสเดน) กว่า 24,000 ชิ้น โดยจารึกภาพเป็นกษัตริย์ เจ้าชาย ตลอดจนบุคคลสำคัญที่เป็นสมาชิกราชวงศ์ Wettin ครับ
6. Sanctissimae Trinitatis Cathedral
Sanctissimae Trinitatis Cathedral หรือ Dresden Cathedral เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ Saxony โดยมีพื้นที่มากถึง 4,800 ตารางเมตร และสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ baroque ในช่วงศตวรรษที่ 18 ครับ ทั้งนี้มหาวิหารจะเป็นของคริสตจักรคาทอลิก เพราะฉะนั้นจะต่างกับ Frauenkirche ที่เป็นของโปรแตสแตนท์ครับ
มหาวิหารแห่งนี้จะอยู่ด้านหน้าของ Dresden Royal Palace เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่จะเห็นอาคารทั้งสองอยู่เคียงคู่กันในรูปถ่ายจำนวนมากครับ
ที่นี่ใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาพระศพของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ Wettin ที่ปกครอง Saxony ถึง 49 พระองค์ เช่นเดียวกับดวงพระหทัย (หัวใจ) ของกษัตริย์ Augustus The Strong ด้วยครับ
7. Brühl’s Terrace
Brühl’s Terrace เป็นระเบียงริมแม่น้ำ Elbe ที่ในอดีตเคยเป็นสวนส่วนตัวของ Count Brühl ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองเดรสเดน เพราะพื้นที่ริมน้ำนั้นมีอาคารแบบ baroque ที่สวยงามเรียงรายกันไปอย่างงดงามยิ่ง ทำให้ที่นี่ได้อีกชื่อหนึ่งว่าระเบียงแห่งยุโรป (Balcony of Europe) เลยครับ
ช่วงที่สวยที่สุดไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นช่วงเย็นหรือค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และแสงได้ตกกระทบใส่อาคารทรง baroque อันงามตา หรือว่าช่วงค่ำที่มีการเปิดไฟส่องสว่างครับ
ด้านใต้ของระเบียงนั้นเป็นที่ตั้งของ Dresden Fortress ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ครั้งหนึ่งใช้ปกป้องเมืองจากข้าศึกศัตรูในช่วงยุคกลาง โดยในปัจจุบันนั้นกลไกการป้องกันเมืองของสมัยนั้นยังอยู่ครบ นอกจากนี้ยังมีประตูอิฐ ซึ่งเป็นประตูเมืองเดิมอายุ 400 ปีที่จัดว่าเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือมาถึงทุกวันนี้ด้วยครับ
อีกหนึ่งอาคารที่น่าสนใจบริเวณนี้คือ Albertinum อาคารแนว Neo-Renaissance ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก็บรักษาผลงานของจิตรกรแนว Impressionist หรือ Realist อย่างเช่น Francisco Goya เป็นต้นครับ
8. Zwinger Palace
Zwinger Palace เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ baroque ในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยในอดีตจะใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานสำคัญต่างๆ และเป็นพื้นที่ตั้งของเรือนปลูกผลไม้หลวง (โดยเฉพาะส้ม) ทำให้บริเวณวังจะมีลานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วยครับ ทั้งนี้พระราชวังแห่งนี้ถือเป็นสิ่งก่อสร้างสไตล์นี้ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเยอรมนีครับ
ปัจจุบันวังสไตล์ baroque แห่งนี้ได้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ถึง 3 แห่ง แห่งแรกได้แก่ Old Masters Picture Gallery ที่เก็บผลงานศิลปะจำนวนมากกว่า 700 ชิ้น โดยส่วนมากเป็นงานสมัยศตวรรษที่ 15-18 ไม่ว่าจะเป็นจากจิตรกรระดับตำนานอย่าง Raphael จากอิตาลี หรือว่า Rembrandt จากเนเธอร์แลนด์ครับ
ส่วนอีกสองแห่งที่เหลือคือ Museum of Mathematics and Physics และ Porcelain Collection ที่คุณสามารถเข้าชมได้ครับ
ตั้งแต่ปี ค.ศ.2021 ทางพระราชวังได้นำเสนอกิจกรรมใหม่อย่าง Zwinger Xperience โดยใช้เทคโนโลยี VR โดยคุณจะได้สัมผัสกับเทศกาล และบรรยากาศในอดีตแบบเสมือนจริง เช่นเดียวกับเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทางด้านสถาปัตยกรรมไปพร้อมๆ กันครับ
9. Altmarkt Square
Altmarkt Square เป็นจัตุรัสในย่านเมืองเก่าที่เป็นศูนย์กลางของเมืองมาตั้งแต่ในอดีต ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาล และงานสำคัญของเมือง และเป็นจุดที่ชาวเมืองมาเฉลิมฉลองกันตั้งแต่โบราณ น่าเสียดายที่ของเดิมนั้นพังพินาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้รับการสร้างใหม่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1953 ครับ
ปัจจุบันที่นี่ใช้เป็นสถานที่จัดตลาดคริสตมาส (Christmas Market) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศด้วยครับ แต่ในวันทั่วไป ที่นี่ก็มีร้านค้ามากมายเหมาะต่อการเดินเล่นและช้อปปิ้ง และเรียกได้ว่าเป็นสถานที่เดินช้อปชั้นนำของเดรสเดนครับ
10. Golden Horseman
Golden Horseman เป็นอนุสาวรีย์ทรงม้าสีทองสุกปลั่งของกษัตริย์ Augustus The Strong แห่ง Saxony ที่เคยครองบัลลังก์แห่งโปแลนด์ในเวลาเดียวกัน และเป็นพันธมิตรคนสำคัญของซาร์ปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย จุดเด่นที่สำคัญของอนุสาวรีย์นี้คือองค์กษัตริย์ทรงสวมใส่ชุดเกราะแบบโรมัน แม้ว่าจะมีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ก็ตามครับ
ปัจจุบันอนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่าน Dresden Neustadt (ย่านเมืองใหม่) และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองด้วย ใกล้กับอนุสาวรีย์แห่งนี้คือ Hauptstrasse ถนนคนเดินที่มีต้นไม้เรียงราย ซึ่งชาวเมืองนิยมมาเดินเล่นกันในช่วงเย็นครับ
ใกล้กับอนุสาวรีย์มีพระราชวังชื่อ Japanese Palace ตั้งอยู่ แต่หน้าตานั้นไม่มีความเป็นญี่ปุ่นอยู่เลย เพราะสร้างขึ้นด้วยสไตล์ Baroque-Classicistic แต่ที่ได้ชื่อนี้เพราะว่าครั้งหนึ่ง วังนี้น่าจะใช้เก็บรักษาเครื่องปั้นดินเผาและของมีค่าอื่นๆ อันมีที่มาจากญี่ปุ่น (น่าจะส่งออกโดยเมืองท่าอย่างนางาซากิ) ที่กษัตริย์ Augustus the Strong ทรงได้มาครับ
11. Pfunds Dairy
Pfunds Dairy เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์นมที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองใหม่ของเดรสเดน ถ้าดูเผินๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พอก้าวเข้าไปเท่านั้น คุณจะเห็นด้านในร้านตบแต่งด้วยกระเบื้องระบายมือแบบ Majolica ที่สวยงามตระการตา ไม่ว่าจะเป็นเพดาน พื้นร้าน ฝาผนัง หรือแม้กระทั่ง counter จ่ายเงิน! เรียกได้ว่าอาจจะลืมไปเลยว่าคุณกำลังอยู่ในร้านขายสินค้าอยู่ครับ
ตัวร้านนั้นตบแต่งในสไตล์นี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1892 ตามเจตนารมณ์ของเจ้าของร้านที่ให้ต้องการแต่งร้านให้สวยงามด้วยลวดลายที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการผลิตนมสด กินเนสบุ๊คได้รับรองในเวลาต่อมาว่าที่นี่เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์นมที่งามที่สุดในโลกครับ
ส่วนอาหารเครื่องดื่มที่นี่ก็มีให้บริการหลากหลาย ตั้งแต่ชีสไปจนถึงของหวานต่างๆ ทั้งนี้ร้านเปิดตั้งแต่ 10.00-18.00 แต่จะปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุดพิเศษต่างๆ ครับ
12. Dresden Grand Garden
Dresden Grand Garden เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองเดรสเดน ประวัติความเป็นมาของสวนแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 โดยในอดีตได้สร้างขึ้นในสไตล์ baroque เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับตัวเมืองครับ
ปัจจุบันสวนแห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเดรสเดน และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอยู่หลายแห่งด้วย แห่งแรกคือ Dresden Zoo สวนสัตว์ที่มีสัตว์มากถึง 2,000 ตัวจาก 334 สปีชีส์ หรือ Dresden Botanical Garden สวนพฤกษศาสตร์ที่มีมวลพืชกว่า 10,000 ชนิดครับ
สำหรับใครที่ขี้เกียจเดิน คุณสามารถนั่งรถไฟชมสวนได้ รถไฟที่ว่านี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 ครับ
13. Pillnitz Palace
Pillnitz Palace เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของกษัตริย์ Augustus the Strong ในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยใช้เป็นสถานที่สำหรับแปรพระราชฐานของเหล่าเชื้อพระวงศ์ในช่วงฤดูร้อนครับ
ตัววังสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ baroque ที่สวยงามยิ่ง ปัจจุบันที่นี่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สองแห่งได้แก่ Museum of Decorative Arts และ Craft Museum ที่จัดแสดงทั้งงานศิลปะ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จากในอดีตครับ
สวนของพระราชวังแห่งนี้จะมีความสวยเด่นแปลกตา เพราะว่าเป็นการผสานงานแบบ baroque เข้ากับคอนเซปต์ English Garden ครับ ภายในสวนของพระราชวังนั้นมีต้นไม้หายากอยู่หลายต้น โดยเฉพาะต้น Japanese camellia ที่อายุมากกว่า 200 ปี ซึ่งเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป และมีความสูงถึง 30 เมตรครับ
ทั้งนี้วังแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองเดรสเดน เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเดินทางไปจากตัวเมืองโดยใช้รถบัส (No.63) หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือนั่งเรือกลไฟไปตามแม่น้ำ Elbe ครับ
14. ล่องแม่น้ำ Elbe ด้วยเรือกลไฟ
การไปเที่ยวเดรสเดนยากจะครบถ้วนได้ถ้าคุณยังไม่ได้นั่งเรือกลไฟชมความสวยงามของสองฝั่งของแม่น้ำ Elbe ทั้งนี้ผู้ให้บริการอย่าง Saxon Steamship Company เป็นผู้ให้บริการลักษณะนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน (เพราะที่อื่นแทบจะเลิกให้บริการไปสิ้นแล้วครับ)
ตลอดสองข้างทาง คุณจะได้ชมความสวยงามของแลนด์มาร์กสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทราชวัง โบสถ์ จัตุรัส และอาคารอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้การล่องจะมีหลากหลายแบบด้วยกัน ตั้งแต่ล่องปกติทั่วไป หรือว่าล่องพร้อมอาหารค่ำ ฯลฯ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของผู้ให้บริการครับ
References
- dresden.de – Official Travel Guide
- semperoper.de
- Skd Museum – Dresden Palace
- saechsische-dampfschifffahrt.de