หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวยุโรป14 ที่เที่ยวฟลอเรนซ์ (Florence) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

14 ที่เที่ยวฟลอเรนซ์ (Florence) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ Firenze (ตามการสะกดและอ่านออกเสียงแบบอิตาเลียน) เป็นเมืองหลวงของเขตทัสคานีของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ ครั้งหนึ่งฟลอเรนซ์คือยอดมงกุฎของเมืองทั้งปวงในอิตาลี และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุด มั่งคั่งที่สุด และมีอำนาจที่สุดแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเลยก็ว่าได้ครับ

สำหรับบทความนี้ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับความเป็นมาของเมืองฟลอเรนซ์อย่างละเอียด ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ

Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองตั๋วหรือบริการต่างๆ ในฟลอเรนซ์ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ

รู้จักเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)

ต้นกำเนิดของฟลอเรนซ์นั้นย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ให้เหล่าทหารผ่านศึกได้พักอาศัย ในเริ่มแรกฟลอเรนซ์เป็นแค่ค่ายทหารเท่านั้น แต่ด้วยความที่อยู่ในบริเวณพื้นที่หุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ และตั้งอยู่ระหว่างกรุงโรมกับดินแดนทางตอนเหนือ ฟลอเรนซ์ (หรือ Florentia) จึงเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงจักรวรรดิโรมัน แต่ไม่ได้รุ่งโรจน์เท่ากับอาเรสโซ หรือว่าราเวนนาครับ

ทว่าหลังจากที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย ฟลอเรนซ์ได้ตกต่ำลงอย่างมาก เพราะว่าเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างอนารยชนและอาณาจักรโรมันตะวันออก ซึ่งฝ่ายหลังพยายามผลักดันพวกอนารยชนให้พ้นออกไปจากอิตาลี ความเสียหายในช่วงนี้ทำให้ศูนย์กลางของภูมิภาคทัสคานีย้ายไปอยู่ที่ลุกกาแทน และฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น

เมืองฟลอเรนซ์ (Florence)
by Sergey Novikov/ShutterStock

อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 8 ฟลอเรนซ์ได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งในช่วงที่ถูกปกครองโดยรัฐทัสคานี (March of Tuscany) และเริ่มมีชื่อเสียงในเรื่องศิลปวัฒนธรรม เหล่าชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงจึงเริ่มย้ายจากลุกกามาอยู่ที่นี่ครับ

หลังจากที่รัฐทัสคานีล่มสลาย ฟลอเรนซ์ได้กลายเป็นนครรัฐอิสระในนามสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (Republic of Florence) ในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อได้ปกครองตนเองแล้ว ฟลอเรนซ์ก็ได้เป็นเมืองท่าและการค้าอันดับต้นๆ ของอิตาลี ส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญก็คือกลุ่มธนาคารที่ได้รับการยกย่องทั่วทั้งยุโรป เพราะนวัตกรรมต่างๆ ทางการเงินรวมไปถึงแนวคิดทางบัญชีต่างๆ ก็ถูกคิดค้นโดยชาวฟลอเรนซ์ในช่วงนี้ และเป็นที่ใช้สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน

Florence ในปัจจุบัน
by muratart/ShutterStock

ฟลอเรนซ์ได้ทำสงครามกับเมืองรอบๆ อย่างปิซ่าและลุกกาเพื่อช่วงชิงความยิ่งใหญ่เหนือภูมิภาค ซึ่งก็เป็นฟลอเรนซ์ที่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ความยิ่งใหญ่ของฟลอเรนซ์นั้นยากที่จะมีเมืองใดในอิตาลีมาเทียบได้ ในช่วงศตวรรษที่ 14 ฟลอเรนซ์น่าจะมีประชากรมากถึงสามแสนคนเลยครับ ก่อนที่จะประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งไปเพราะกาฬโรคระบาด

ทว่าในทางการเมืองภายในนั้น อำนาจการปกครองแบบสาธารณรัฐเริ่มตกไปอยู่ในกำมือของตระกูลเมดิซี (Medici) อย่างช้าๆ ก่อนที่อยู่ในกำมือของตระกูลเมดิซีอย่างสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 15

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟลอเรนซ์คือเมืองอันดับต้นๆ ของโลกอย่างแท้จริง เนื่องจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือ Renaissance นั้นมีต้นกำเนิดจากที่นี่ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่่ศิลปวัฒนธรรมรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เพราะนอกจากฟลอเรนซ์จะร่ำรวยแล้ว ลอเรนโซ เมดิซีชื่นชอบในศิลปะ เขาจึงสนับสนุนศิลปินมากมาย อย่างเช่นดาวินชี และไมเคิลแองเจโลครับ

ฟลอเรนซ์ในช่วงอาทิตย์อัสดง
by Jeremy Reddington/ShutterStock

แม้ว่าอำนาจของตระกูลเมดิซีจะสะดุดลงไปบ้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ล้มเลิกสาธารณรัฐด้วยการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นดยุคแห่งฟลอเรนซ์ ตามมาด้วยแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี ทำให้สถานะของฟลอเรนซ์ในขณะนั้นกลายเป็นระบอบกษัตริย์ที่มีแกรนด์ดยุคเป็นประมุขของประเทศครับ

ตระกูลเมดิซีปกครองฟลอเรนซ์ไปจนถึงช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ตระกูลหมดทายาทผู้สืบต่อ หลังจากนั้นตัวเมืองก็เปลี่ยนมือไปมาระหว่างฝรั่งเศสและออสเตรีย จนสุดท้ายก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยเป็นถึงเมืองหลวงของประเทศ ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายไปยังกรุงโรมมาจนถึงปัจจุบันครับ

ฟลอเรนซ์จากมุมสูง
by Catarina Belova/ShutterStock

ฟลอเรนซ์ได้รับความเสียหายพอสมควรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ทางเมืองก็ได้พยายามอย่างที่สุดด้วยการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เสียหายไป (ส่วนมากเป็นสะพาน) ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังจากนั้นฟลอเรนซ์ก็ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ถ้าคุณหลงรักงานศิลปะ การไปเยือนฟลอเรนซ์สักครั้งถือว่าเป็น a must เลยครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปฟลอเรนซ์ทำอย่างไร?

ฟลอเรนซ์เป็นเมืองใหญ๋ เพราะฉะนั้นตัวเมืองจะเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ ของอิตาลีอย่างเช่นกรุงโรม โบโลญญ่า มิลาน เจนัว หรือเวนิสด้วยรถไฟหรือรถบัส ซึ่งคุณสามารถจองตั๋วและเปรียบเทียบวิธีการเดินทางได้ผ่าน Omio ครับ

จะประหยัดค่าเข้าชมในฟลอเรนซ์อย่างไร?

คุณสามารถซื้อ Firenze Card ในราคา 85 ยูโรเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองฟลอเรนซ์ได้ถึง 72 แห่งด้วยกัน อย่างไรก็ดีแห่งที่ได้ความนิยมมากๆ อย่าง Uffizi Gallery คุณจะต้องจองเวลาด้วยครับ มิฉะนั้นถึงจะมีบัตรก็ไม่ได้เข้าครับ

แต่ถ้าคุณไม่อยากเข้าแถว คุณสามารถซื้อบัตร The Florence Pass ซึ่งบัตรนี้จะใช้ skip the line ได้ เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ต้องเสียเวลารอคิวให้เหนื่อยเพื่อเข้าชม Florence Cathedral, Uffizi Gallery และ Accademia Gallery บัตรนึ้จะเหมาะมากกว่าสำหรับใครที่มีเวลาจำกัดสุดๆ ในฟลอเรนซ์ครับ

ควรใช้เวลากี่วันในเมืองฟลอเรนซ์

สำหรับนักเดินทางทั่วไป คุณสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวหลักในภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าคุณชอบประวัติศาสต่ร์และศิลปะ ฟลอเรนซ์นั้นมีอะไรให้ดูเพียงพอสำหรับ 5-7 วันเลยครับ

Tip

สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พักในเมืองฟลอเรนซ์ ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้ของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ

1. Florence Cathedral

Florence Cathedral หรือ Basilica of Santa Maria del Fiore (หรือเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า Duomo) เป็นมหาวิหารหลักของเมืองฟลอเรนซ์ ตัวมหาวิหารตั้งอยู่ในจัตุรัส Piazza Duomo อันเป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองอีกหลายแห่งเลยครับ

Florence Cathedral
by ChiccoDodiFC/ShutterStock

มหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic อย่างไรก็ดีด้านหน้าของมหาวิหารนั้นยังไม่เสร็จสิ้นเหมือนกับที่ผู้สร้างได้ตั้งใจไว้ หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างแต่งเติมอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 ที่ตัวโดม (Dome หรือ Cupola) ที่เป็นผลงานของสถาปนิกชื่อดังอย่าง Filippo Brunelleschi ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 45.5 เมตร ทำให้ครั้งหนึ่งเป็นโดมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ

Brunelleschi's Dome
by MgA. Petr KUNA/ShutterStock

ความพิเศษของตัวโดมนั้นอยู่ที่เทคนิคการสร้างที่สถาปนิกได้เลือกใช้เทคนิคของกรีกโรมันผสมผสานกับเทคนิคยุคกลางและโลกตะวันออก ทำให้โครงสร้างของโดมนั้นแข็งแกร่งคงทนท้าทายกาลเวลามาได้หลายร้อยปีครับ หลังจากที่โครงสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ที่รับช่วงต่อคือ Giorgio Vasari และ Federico Zuccari สองจิตรกรที่ทำหน้าที่วาดภาพเขียนสีเฟรสโก The Last Judgment เพื่อตบแต่งตัวโดมครับ

ด้านในตัวโดม (Florence Cathedral)
by Luca Grandinetti/ShutterStock

ในส่วนของด้านในนั้น มหาวิหารได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามด้วยพื้นหินอ่อนหลากสี ซึ่งเป็นผลงานสมัยศตวรรษที่ 16 (วัสดุบางส่วนนำมาจากด้านหน้าของมหาวิหารที่สร้างไม่เสร็จ) และยังมีภาพเขียนสีเฟรสโกและรูปปั้นที่สวยงามอันเป็นผลงานของศิลปินจากยุค Renaissance ครับ

หลายคนอาจจะไม่ทราบว่ามหาวิหารแห่งนี้นั้นมีชั้นใต้ดินด้วย ซึ่งรู้จักกันในนาม Santa Reparata Crypt ด้านในจะมีซากของมหาวิหารเดิมตั้งอยู่อันเป็นหลักฐานของคริสตสาสนาช่วงต้นในเมืองฟลอเรนซ์ครับ

ตั้งอยู่เคียงข้างกับมหาวิหารคือ Giotto’s Bell Tower หอระฆังเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14 ที่สูงเกือบ 85 เมตร และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดสถาปัตยกรรมแบบ Florentine Gothic ด้านในมีการตบแต่งด้วยรูปปั้นและภาพแกะสลักอย่างสวยงาม ซึ่งแต่ละชิ้นงานจำลองเหตุการณ์สำคัญในคัมภีร์ไบเบิลและคริสตศาสนาอย่างเช่นกำเนิดมนุษย์ (Creation of Men) ครับ

by Adisa/ShutterStock

นอกจากนี้ด้านบนสุดยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองฟลอเรนซ์ที่ดีที่สุด แต่จะขึ้นไปยากหน่อยเพราะต้องขึ้นบันไดไป 414 ขั้นเลยครับ

ทั้งนี้โบราณวัตถุหลายชิ้น (โดยเฉพาะชิ้นที่ล้ำค่าที่สุด) ถูกนำออกจากมหาวิหารไปเก็บรักษาที่ Opera del Duomo Museum ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก อย่างเช่น Pietà Bandini ของไมเคิลแองเจโล และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่รักในงานศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดทุกประการเลยครับ

2. Florence Baptistery

ใกล้กับ Duomo ของเมืองคือ Florence Baptistery สิ่งก่อสร้างที่ในอดีตเคยใช้ทำพิธีศีลจุ่ม หรือว่ารับบุคคลเข้าสู่ศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการ ตัวอาคารนั้นเป็นทรงแปดเหลี่ยมโดยสร้างขึ้นทับวิหารกรีก-โรมันเดิม และน่าจะเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ครับ

by vvoe/ShutterStock

ด้านในอาคารถูกตบแต่งด้วยโมเสกอย่างอลังการสวยงามสีทอง ซึ่งด้วยขนาดของโมเสกแล้วน่าจะใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โมเสกนี้ถูกวาดด้วยศิลปะไบแซนไทน์โดยจิตรกรนิรนาม (ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด) โดยเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และเหตุการณ์คำพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ครับ

by javarman/ShutterStock

3. Palazzo Vecchio

Palazzo Vecchio หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Palazzo della Signoria เป็นสถานที่ว่าการเมืองมายาวนานกว่า 7 ศตวรรษนับตั้งแต่ยุคที่ฟลอเรนซ์เป็นสาธารณรัฐผ่านพ้นมาจนถึงยุคที่ตระกูลเมดิซีเป็นแกรนด์ดยุคปกครองเมือง ซึ่งได้เปลี่ยนที่นี่เป็นวังสำหรับคนในตระกูลของตนครับ

Palazzo Vecchio
by givaga/ShutterStock

ในช่วงที่เป็นวังนี้เองที่สถานที่แห่งนี้ได้รับการตบแต่งอย่างงดงามมากด้วยฝีมือของ Giorgio Vasari ที่ยกระดับและปรับปรุงส่วนต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเขียนสีเฟรสโกของไมเคิลแองเจโล) ให้ยิ่งใหญ่อลังการสวยงามยิ่งขึ้นครับ

ปัจจุบันห้องต่างๆ ของสมาชิกในตระกูลเมดิซีก็ได้ถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ คุณจะได้สัมผัสว่าในอดีตเหล่าผู้ปกครองแห่งฟลอเรนซ์นั้นมีวิถีชีวิตอย่างไร ไปพร้อมๆ กับสัมผัสผลงานศิลปะอันเลอค่าที่ทำให้แต่ละห้องวิจิตรตระการตาครับ

ด้านนอกของตัวอาคารนั้นเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ชื่อ Piazza della Signoria ที่ชาวเมืองมักจะมาพบปะกันที่นี่ โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำพุที่มีชื่อเสียงอย่าง Neptune Fountain ครับ

4. Ponte Vecchio

Ponte Vecchio เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองฟลอเรนซ์ และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมือง ตัวสะพานพาดผ่านแม่น้ำ Arno ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง โดยตัวสะพานนั้นมีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน แต่ว่าส่วนที่เห็นในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ครับ

ด้านบนของสะพานนั้นจะมีอาคารตั้งอยู่เรียงรายกันไป สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงศตวรรษที่ 15 รัฐบาลเมืองได้มีคำสั่งให้ย้ายพวกพ่อค้าเนื้อสัตว์ให้มาอยู่ที่นี่เพราะสาเหตุเรื่องสุขอนามัยและกลิ่น ที่นี่จึงกลายสภาพเป็นตลาดเนื้อสัตว์ในเวลาดังกล่าวครับ

Ponte Vecchio
by RedThinkHead/ShutterStock

ต่อมาเมื่อ Giorgio Vasari ได้รับคำสั่งให้สร้าง Vasari Corridor ซึ่งเป็นทางเดินประตูโค้งเพื่อเชื่อม Palazzo Vecchio กับ Palazzo Pitti นั้น ตัวทางเดินที่ว่าก็ได้ตั้งอยู่บนสะพานแห่งนี้ด้วย ส่งผลให้ตัวสะพานมีรูปลักษณ์อย่างที่ปรากฏในปัจจุบันครับ

อย่างไรก็ดีในสมัยศตวรรษที่ 16 พ่อค้าเนื้อสัตว์ได้ถูกสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะผู้ปกครองตระกูลเมดิซีนั้นไม่ต้องการจะเดินผ่าน ส่วนของ Vasari Corridor ที่มีกลิ่นเหม็น หลังจากนั้นเหล่าพ่อค้าอัญมณีและช่างทองก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่แทนสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันครับ

Ponte Vecchio ที่เที่ยวฟลอเรนซ์ที่ไม่ควรพลาดชม
by Boris Stroujko/ShutterStock

ด้วยความที่สะพานแห่งนี้โดดเด่นมากในหน้าประวัติศาสตร์ ทำให้เป็นสะพานแห่งเดียวที่กองทัพเยอรมันไม่ได้ทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อสกัดกั้นกองทัพพันธมิตรเหมือนกับสะพานอื่นๆ ในเมืองครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณเห็นในปัจจุบันคือของเดิมแบบ 100%

5. Uffizi Gallery

Uffizi Gallery น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันดับต้นๆ ของอิตาลีและโลก เพราะที่นี่เก็บรักษาผลงานระดับมาสเตอร์พีซของศิลปินชาวอิตาเลียนหลายยุคหลายสมัย เรียกได้ว่าเป็น a must ที่ห้ามพลาดทุกกรณีสำหรับทุกคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม

ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในวังเดิมสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นผลงานของ Giorgio Vasari คนเดิม ด้านในมีงานศิลปะที่คุณต้องเดินไปชมหลายรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Birth of Venus และ Primavera ซึ่งเป็นงานของ Sandro Botticelli โดยงานแรกนั้นไม่ว่าใครเห็นก็ต้องร้องอ๋อ เพราะว่าเป็นหนึ่งในรูปของเทพีวีนัสที่โด่งดังที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ

by Songquan Deng/ShutterStock

นอกจากนี้ด้านในยังจัดแสดงผลงานของดาวินชีด้วยอย่างเช่น Baptism of Christ หรือว่า Annunciation ซึ่งล้วนแต่สวยงามและมีมิติลุ่มลึก ไม่เพียงเท่านั้นงานของไมเคิลแองเจโลก็มีจัดแสดงด้วยนั่นคือ Tondo Doni ซึ่งเป็นผลงานภาพวาดของเขาเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลือในฟลอเรนซ์ครับ

ด้วยความที่ด้านในพิพิธภัณฑ์มีผลงานจัดแสดงจำนวนมาก ถ้าสงสัยว่าด้านในจะมีงานอะไรให้ชมบ้าง ผมแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ครับ ส่วนใครที่อยากประหยัดเวลา ถ้าซื้อตั๋ว Skip the Line ที่นี่จะช่วยให้คุณไม่ต้องต่อคิวครับ

6. Gallery of the Academy of Florence

Gallery of the Academy of Florence หรือ Galleria dell’Accademia เป็นพิพิธภัณฑ์รูปปั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยสาเหตุสำคัญก็คือที่นี่เป็นที่ตั้งของสุดยอดมาสเตอร์พีซของไมเคิลแองเจโลอย่าง รูปปั้นเดวิด (David) ซึ่งในอดีตเคยตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของ Palazzo Vecchio เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอิสรภาพของชาวเมืองฟลอเรนซ์ครับ

นอกจากนี้ด้านในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงรูปปั้นอื่นๆ ของไมเคิลแองเจโล และผลงานศิลปะของยอดจิตรกรอื่นๆ แห่งยุคอีกมากมาย อย่างเช่น Madonna of the Sea ของ Sandro Botticelli รวมไปถึงเครื่องดนตรีของแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีหลายสิบตัวด้วยกัน

การซื้อตั๋วเข้าชมที่นี่อาจจะใช้เวลาไม่น้อย เพื่อประหยัดเวลา คุณสามารถซื้อตั๋วแบบ Skip-the-Line ได้ที่นี่ครับ

7. Palazzo Pitti

Palazzo Pitti เป็นพระราชวังที่เคยเป็นสถานที่พำนักของแกรนด์ดยุคแห่งฟลอเรนซ์และทัสคานี แต่เดิมนั้นเคยเป็นสถานที่พำนักของนายธนาคารผู้หนึ่งมาก่อน แต่ตระกูลเมดิซีได้ซื้อต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 16 และได้ขยายตัววังเช่นเดียวกับเพิ่มสวนอันสวยงามขึ้นมาอยู่ในบริเวณเดียวกัน สวนที่ว่านี้คือ Boboli Gardens สวนอันงามงดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวนสไตล์อิตาเลียนที่เป็นเลิศที่สุดแห่งหนึ่งครับ แน่นอนว่าก่อนจะออกจากตัววังควรไปชมเช่นกัน

Palazzo Pitti
by Leonid Andronov/ShutterStock

ปัจจุบันตัววังได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ ชั้นล่างของวังเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ Treasury of the Grand Dukes ที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่เหล่าแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีเคยครอบครอง เชนเดียวกับพิพิธภัณฑ์ไอคอนจากรัสเซีย (รูปทางศาสนาในคริสตจักรออโธดอกซ์) ครับ

อีกส่วนหนึ่งของวังจะเป็นที่ตั้งของ Palatine Gallery ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินจากยุค Renaissance ซึ่งมีภาพวาดอันสวยงดงามมากมายให้ได้ชมครับ

สำหรับชั้นสองนั้นจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แฟชั่นที่มีเสื้อผ้าให้ชมกว่า 6,000 ชิ้นและ Galleria d’Arte Moderna ที่มีผลงานศิลปะช่วงศตวรรษที่ 18-20 ครับ

8. The Medici Chapels

The Medici Chapels เป็นส่วนหนึ่งของ Basilica of San Lorenzo ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวิหารประจำตระกูลเมดิซี และเป็นสุสานของสมาชิกในตระกูลอีกหลายคน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของฟลอเรนซ์ และดินแดนทั้งหมดในภูมิภาคทัสคานีครับ

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดแน่นอนว่าคือส่วน New Sacristy ซึ่งออกแบบโดยไมเคิลแองเจโลเพื่อยกย่องสมาชิกตระกูลเมดิซีที่ล่วงลับไปแล้ว ในบริเวณนี้จะมีรูปปั้นอันสวยงามมากมายที่ล้วนแต่เป็นผลงานจากฝีมือการเนรมิตของไมเคิลแองเจโล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Medici Madonna ที่เป็นรูปพระแม่มารีโอบอุ้มพระเยซูคริสต์ครับ

The Medici Chapels
by D.Bond/ShutterStock

อีกจุดที่น่าสนใจคือ Chapel of the Princes ที่เป็นโบสถ์ที่เก็บพระศพของแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี ตัวห้องจะมีทรงแปดเหลี่ยมและได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงามด้วยหินอ่อนและหินมีค่าอื่นๆ ครับ

9. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วนั้น ฟลอเรนซ์ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายสิบแห่งที่น่าสนใจให้เข้าชม แห่งที่ผมมองว่าน่าไปเยือนได้แก่

  • The Bargello Museum – พิพิธภัณฑ์รูปปั้นที่เก็บผลงานมากมายจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา อย่างเช่น Bacchus อันเป็นผลงานของไมเคิลแองเจโลไปจนถึงรูปปั้นเดวิดของ Donatello ครับ
  • Leonardo Da Vinci Museum – พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับเลโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งจัดแสดงผลงานที่สร้างขึ้นจากพิมพ์เขียวที่ดาวินชีได้ร่างเอาไว้ครับ
  • San Marco Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมผลงานของ Fra Angelico เอาไว้มากมาย โดยเฉพาะภาพเขียนสีเฟรสโก รวมไปถึงภาพ The Last Supper ของ Ghirlandaio ครับ
  • Museo Galileo – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของกาลิเลโอ กาลิเลอี และเก็บอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของเขาเอาไว้หลายชิ้นครับ

10. Piazzale Michelangelo

Piazzale Michelangelo เป็นจุดชมวิวมุมสูงของฟลอเรนซ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ภาพถ่ายแบบพาโนรามาของเมืองล้วนแต่ถ่ายจากสถานที่แห่งนี้ ตัวจุดชมวิวเดิมทีจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์แต่ก็ถูกล้มเลิกไป และเปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่ชมวิวมาจนถึงปัจจุบัน

Piazzale Michelangelo
by SCStock/ShutterStock

สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูป หรือว่าอยากเพิ่มภาพเกรด AAA ลงไปใน portfolio ของคุณ คุณไม่ควรพลาดไปเยือนที่นี่ครับ

11. San Miniato al Monte

อาราม San Miniato al Monte เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวยอดนิยมของเมืองฟลอเรนซ์ แต่ตัวอารามก็สวยไม่เบาเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ในแบบ Romanesque โดยมีด้านหน้า (Facade) อันเป็นเอกลักษณ์เพราะใช้หินอ่อนสีขาวและเขียวครับ ส่วนด้านในก็ได้รับการตบแต่งด้วยหินอ่อนเช่นกัน ซึ่งสวยงามไม่แพ้ที่ใดเลยครับ

San Miniato al Monte
by Ralf Siemieniec/ShutterStock

12. Basilica di Santa Croce

Basilica di Santa Croce เป็นมหาวิหารของกลุ่ม Franciscan ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นสถานที่ฝังร่างของชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นไมเคิลแองเจโลไปจนถึงกาลิเลโอ ซึ่งได้หลับไหลอยู่ภายใต้มหาวิหารทรงโกธิคแห่งนี้ตราบนานเท่านานครับ

Basilica di Santa Croce
by Efired/ShutterStock

ในบริเวณมหาวิหารนั้นมีภาพเขียนสีเฟรสโกหลายจุดที่น่าไปชมอย่างเช่น Bardi Chapel ที่ได้รับการตบแต่งด้วยฝีมือของ Giotto รวมไปถึงงานของ Donatello ครับ

13. Mercato Centrale

Mercato Centrale เป็นตลาดกลางที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฟลอเรนซ์ ด้านในขายตั้งแต่อาหารและวัตถุดิบสารพัดชนิด ไปจนถึงดอกไม้และของที่ระลึก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหารราคาถูก (Food Court) ที่ให้คุณได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนรสชาติดีได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปครับ

Mercato Centrale
by jbruce/ShutterStock

14. ชิมอาหารพื้นเมือง

แม้ว่าวัฒนธรรมอาหารของที่นี่อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนกับโบโลญญ่า แต่รสชาติอาหารก็ไม่ได้แพ้ที่ใดในอิตาลี เมนูที่น่าสนใจได้แก่

Bistecca alla Fiorentina
by Paolo Paradiso/ShutterStock
  • Bistecca alla Fiorentina – สเต็กเนื้อทีโบนอันมีชื่อเสียงของฟลอเรนซ์ ไม่ควรพลาดทุกประการถ้ามีโอกาสได้ลองครับ
  • Lampredotto – แซนด์วิชที่ใส่เนื้อสัตว์ลงไปตรงกลาง เป็นเมนูสตรีทฟู้ดที่ชาวเมืองฟลอเรนซ์ชื่นชอบ
  • Ribollita – เมนูยอดนิยมที่ชาวทัสคานีนิยมนำของเหลือจากวันก่อนๆ มาใส่รวมกันและทำเป็นซุป โดยจะมีถั่วและผักเป็นส่วนผสมหลัก
  • Schiacchiata alla fiorentina – เค้กโบราณที่ทางร้านเบเกอรี่มักจะทำเป็นชิ้นใหญ่ๆ โดยมีตราของเมืองฟลอเรนซ์ประดับอยู่ครับ

References

  • Visit Tuscany
  • Discover Florence
  • Feel Florence
  • Uffizi Gallery Official Site
Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

Most Popular

error: Content is protected !!