ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ Firenze (ตามการสะกดและอ่านออกเสียงแบบอิตาเลียน) เป็นเมืองหลวงของเขตทัสคานีของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ ครั้งหนึ่งฟลอเรนซ์คือยอดมงกุฎของเมืองทั้งปวงในอิตาลี และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุด มั่งคั่งที่สุด และมีอำนาจที่สุดแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเลยก็ว่าได้ครับ
สำหรับบทความนี้ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับความเป็นมาของเมืองฟลอเรนซ์อย่างละเอียด ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองตั๋วหรือบริการต่างๆ ในฟลอเรนซ์ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)
ต้นกำเนิดของฟลอเรนซ์นั้นย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ให้เหล่าทหารผ่านศึกได้พักอาศัย ในเริ่มแรกฟลอเรนซ์เป็นแค่ค่ายทหารเท่านั้น แต่ด้วยความที่อยู่ในบริเวณพื้นที่หุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ และตั้งอยู่ระหว่างกรุงโรมกับดินแดนทางตอนเหนือ ฟลอเรนซ์ (หรือ Florentia) จึงเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงจักรวรรดิโรมัน แต่ไม่ได้รุ่งโรจน์เท่ากับอาเรสโซ หรือว่าราเวนนาครับ
ทว่าหลังจากที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย ฟลอเรนซ์ได้ตกต่ำลงอย่างมาก เพราะว่าเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างอนารยชนและอาณาจักรโรมันตะวันออก ซึ่งฝ่ายหลังพยายามผลักดันพวกอนารยชนให้พ้นออกไปจากอิตาลี ความเสียหายในช่วงนี้ทำให้ศูนย์กลางของภูมิภาคทัสคานีย้ายไปอยู่ที่ลุกกาแทน และฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น
อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 8 ฟลอเรนซ์ได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งในช่วงที่ถูกปกครองโดยรัฐทัสคานี (March of Tuscany) และเริ่มมีชื่อเสียงในเรื่องศิลปวัฒนธรรม เหล่าชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงจึงเริ่มย้ายจากลุกกามาอยู่ที่นี่ครับ
หลังจากที่รัฐทัสคานีล่มสลาย ฟลอเรนซ์ได้กลายเป็นนครรัฐอิสระในนามสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (Republic of Florence) ในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อได้ปกครองตนเองแล้ว ฟลอเรนซ์ก็ได้เป็นเมืองท่าและการค้าอันดับต้นๆ ของอิตาลี ส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญก็คือกลุ่มธนาคารที่ได้รับการยกย่องทั่วทั้งยุโรป เพราะนวัตกรรมต่างๆ ทางการเงินรวมไปถึงแนวคิดทางบัญชีต่างๆ ก็ถูกคิดค้นโดยชาวฟลอเรนซ์ในช่วงนี้ และเป็นที่ใช้สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน
ฟลอเรนซ์ได้ทำสงครามกับเมืองรอบๆ อย่างปิซ่าและลุกกาเพื่อช่วงชิงความยิ่งใหญ่เหนือภูมิภาค ซึ่งก็เป็นฟลอเรนซ์ที่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ความยิ่งใหญ่ของฟลอเรนซ์นั้นยากที่จะมีเมืองใดในอิตาลีมาเทียบได้ ในช่วงศตวรรษที่ 14 ฟลอเรนซ์น่าจะมีประชากรมากถึงสามแสนคนเลยครับ ก่อนที่จะประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งไปเพราะกาฬโรคระบาด
ทว่าในทางการเมืองภายในนั้น อำนาจการปกครองแบบสาธารณรัฐเริ่มตกไปอยู่ในกำมือของตระกูลเมดิซี (Medici) อย่างช้าๆ ก่อนที่อยู่ในกำมือของตระกูลเมดิซีอย่างสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 15
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟลอเรนซ์คือเมืองอันดับต้นๆ ของโลกอย่างแท้จริง เนื่องจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือ Renaissance นั้นมีต้นกำเนิดจากที่นี่ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่่ศิลปวัฒนธรรมรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เพราะนอกจากฟลอเรนซ์จะร่ำรวยแล้ว ลอเรนโซ เมดิซีชื่นชอบในศิลปะ เขาจึงสนับสนุนศิลปินมากมาย อย่างเช่นดาวินชี และไมเคิลแองเจโลครับ
แม้ว่าอำนาจของตระกูลเมดิซีจะสะดุดลงไปบ้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ล้มเลิกสาธารณรัฐด้วยการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นดยุคแห่งฟลอเรนซ์ ตามมาด้วยแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี ทำให้สถานะของฟลอเรนซ์ในขณะนั้นกลายเป็นระบอบกษัตริย์ที่มีแกรนด์ดยุคเป็นประมุขของประเทศครับ
ตระกูลเมดิซีปกครองฟลอเรนซ์ไปจนถึงช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ตระกูลหมดทายาทผู้สืบต่อ หลังจากนั้นตัวเมืองก็เปลี่ยนมือไปมาระหว่างฝรั่งเศสและออสเตรีย จนสุดท้ายก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยเป็นถึงเมืองหลวงของประเทศ ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายไปยังกรุงโรมมาจนถึงปัจจุบันครับ
ฟลอเรนซ์ได้รับความเสียหายพอสมควรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ทางเมืองก็ได้พยายามอย่างที่สุดด้วยการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เสียหายไป (ส่วนมากเป็นสะพาน) ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังจากนั้นฟลอเรนซ์ก็ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ถ้าคุณหลงรักงานศิลปะ การไปเยือนฟลอเรนซ์สักครั้งถือว่าเป็น a must เลยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปฟลอเรนซ์ทำอย่างไร?
จะประหยัดค่าเข้าชมในฟลอเรนซ์อย่างไร?
คุณสามารถซื้อ Firenze Card ในราคา 85 ยูโรเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองฟลอเรนซ์ได้ถึง 72 แห่งด้วยกัน อย่างไรก็ดีแห่งที่ได้ความนิยมมากๆ อย่าง Uffizi Gallery คุณจะต้องจองเวลาด้วยครับ มิฉะนั้นถึงจะมีบัตรก็ไม่ได้เข้าครับ
แต่ถ้าคุณไม่อยากเข้าแถว คุณสามารถซื้อบัตร The Florence Pass ซึ่งบัตรนี้จะใช้ skip the line ได้ เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ต้องเสียเวลารอคิวให้เหนื่อยเพื่อเข้าชม Florence Cathedral, Uffizi Gallery และ Accademia Gallery บัตรนึ้จะเหมาะมากกว่าสำหรับใครที่มีเวลาจำกัดสุดๆ ในฟลอเรนซ์ครับ
ควรใช้เวลากี่วันในเมืองฟลอเรนซ์
สำหรับนักเดินทางทั่วไป คุณสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวหลักในภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าคุณชอบประวัติศาสต่ร์และศิลปะ ฟลอเรนซ์นั้นมีอะไรให้ดูเพียงพอสำหรับ 5-7 วันเลยครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พักในเมืองฟลอเรนซ์ ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้ของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. Florence Cathedral
Florence Cathedral หรือ Basilica of Santa Maria del Fiore (หรือเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า Duomo) เป็นมหาวิหารหลักของเมืองฟลอเรนซ์ ตัวมหาวิหารตั้งอยู่ในจัตุรัส Piazza Duomo อันเป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองอีกหลายแห่งเลยครับ
มหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic อย่างไรก็ดีด้านหน้าของมหาวิหารนั้นยังไม่เสร็จสิ้นเหมือนกับที่ผู้สร้างได้ตั้งใจไว้ หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างแต่งเติมอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 ที่ตัวโดม (Dome หรือ Cupola) ที่เป็นผลงานของสถาปนิกชื่อดังอย่าง Filippo Brunelleschi ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 45.5 เมตร ทำให้ครั้งหนึ่งเป็นโดมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ
ความพิเศษของตัวโดมนั้นอยู่ที่เทคนิคการสร้างที่สถาปนิกได้เลือกใช้เทคนิคของกรีกโรมันผสมผสานกับเทคนิคยุคกลางและโลกตะวันออก ทำให้โครงสร้างของโดมนั้นแข็งแกร่งคงทนท้าทายกาลเวลามาได้หลายร้อยปีครับ หลังจากที่โครงสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ที่รับช่วงต่อคือ Giorgio Vasari และ Federico Zuccari สองจิตรกรที่ทำหน้าที่วาดภาพเขียนสีเฟรสโก The Last Judgment เพื่อตบแต่งตัวโดมครับ
ในส่วนของด้านในนั้น มหาวิหารได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามด้วยพื้นหินอ่อนหลากสี ซึ่งเป็นผลงานสมัยศตวรรษที่ 16 (วัสดุบางส่วนนำมาจากด้านหน้าของมหาวิหารที่สร้างไม่เสร็จ) และยังมีภาพเขียนสีเฟรสโกและรูปปั้นที่สวยงามอันเป็นผลงานของศิลปินจากยุค Renaissance ครับ
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่ามหาวิหารแห่งนี้นั้นมีชั้นใต้ดินด้วย ซึ่งรู้จักกันในนาม Santa Reparata Crypt ด้านในจะมีซากของมหาวิหารเดิมตั้งอยู่อันเป็นหลักฐานของคริสตสาสนาช่วงต้นในเมืองฟลอเรนซ์ครับ
ตั้งอยู่เคียงข้างกับมหาวิหารคือ Giotto’s Bell Tower หอระฆังเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14 ที่สูงเกือบ 85 เมตร และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดสถาปัตยกรรมแบบ Florentine Gothic ด้านในมีการตบแต่งด้วยรูปปั้นและภาพแกะสลักอย่างสวยงาม ซึ่งแต่ละชิ้นงานจำลองเหตุการณ์สำคัญในคัมภีร์ไบเบิลและคริสตศาสนาอย่างเช่นกำเนิดมนุษย์ (Creation of Men) ครับ
นอกจากนี้ด้านบนสุดยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองฟลอเรนซ์ที่ดีที่สุด แต่จะขึ้นไปยากหน่อยเพราะต้องขึ้นบันไดไป 414 ขั้นเลยครับ
ทั้งนี้โบราณวัตถุหลายชิ้น (โดยเฉพาะชิ้นที่ล้ำค่าที่สุด) ถูกนำออกจากมหาวิหารไปเก็บรักษาที่ Opera del Duomo Museum ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก อย่างเช่น Pietà Bandini ของไมเคิลแองเจโล และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่รักในงานศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดทุกประการเลยครับ
2. Florence Baptistery
ใกล้กับ Duomo ของเมืองคือ Florence Baptistery สิ่งก่อสร้างที่ในอดีตเคยใช้ทำพิธีศีลจุ่ม หรือว่ารับบุคคลเข้าสู่ศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการ ตัวอาคารนั้นเป็นทรงแปดเหลี่ยมโดยสร้างขึ้นทับวิหารกรีก-โรมันเดิม และน่าจะเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ครับ
ด้านในอาคารถูกตบแต่งด้วยโมเสกอย่างอลังการสวยงามสีทอง ซึ่งด้วยขนาดของโมเสกแล้วน่าจะใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โมเสกนี้ถูกวาดด้วยศิลปะไบแซนไทน์โดยจิตรกรนิรนาม (ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด) โดยเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และเหตุการณ์คำพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ครับ
3. Palazzo Vecchio
Palazzo Vecchio หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Palazzo della Signoria เป็นสถานที่ว่าการเมืองมายาวนานกว่า 7 ศตวรรษนับตั้งแต่ยุคที่ฟลอเรนซ์เป็นสาธารณรัฐผ่านพ้นมาจนถึงยุคที่ตระกูลเมดิซีเป็นแกรนด์ดยุคปกครองเมือง ซึ่งได้เปลี่ยนที่นี่เป็นวังสำหรับคนในตระกูลของตนครับ
ในช่วงที่เป็นวังนี้เองที่สถานที่แห่งนี้ได้รับการตบแต่งอย่างงดงามมากด้วยฝีมือของ Giorgio Vasari ที่ยกระดับและปรับปรุงส่วนต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเขียนสีเฟรสโกของไมเคิลแองเจโล) ให้ยิ่งใหญ่อลังการสวยงามยิ่งขึ้นครับ
ปัจจุบันห้องต่างๆ ของสมาชิกในตระกูลเมดิซีก็ได้ถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ คุณจะได้สัมผัสว่าในอดีตเหล่าผู้ปกครองแห่งฟลอเรนซ์นั้นมีวิถีชีวิตอย่างไร ไปพร้อมๆ กับสัมผัสผลงานศิลปะอันเลอค่าที่ทำให้แต่ละห้องวิจิตรตระการตาครับ
ด้านนอกของตัวอาคารนั้นเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ชื่อ Piazza della Signoria ที่ชาวเมืองมักจะมาพบปะกันที่นี่ โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำพุที่มีชื่อเสียงอย่าง Neptune Fountain ครับ
4. Ponte Vecchio
Ponte Vecchio เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองฟลอเรนซ์ และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมือง ตัวสะพานพาดผ่านแม่น้ำ Arno ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง โดยตัวสะพานนั้นมีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน แต่ว่าส่วนที่เห็นในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ครับ
ด้านบนของสะพานนั้นจะมีอาคารตั้งอยู่เรียงรายกันไป สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงศตวรรษที่ 15 รัฐบาลเมืองได้มีคำสั่งให้ย้ายพวกพ่อค้าเนื้อสัตว์ให้มาอยู่ที่นี่เพราะสาเหตุเรื่องสุขอนามัยและกลิ่น ที่นี่จึงกลายสภาพเป็นตลาดเนื้อสัตว์ในเวลาดังกล่าวครับ
ต่อมาเมื่อ Giorgio Vasari ได้รับคำสั่งให้สร้าง Vasari Corridor ซึ่งเป็นทางเดินประตูโค้งเพื่อเชื่อม Palazzo Vecchio กับ Palazzo Pitti นั้น ตัวทางเดินที่ว่าก็ได้ตั้งอยู่บนสะพานแห่งนี้ด้วย ส่งผลให้ตัวสะพานมีรูปลักษณ์อย่างที่ปรากฏในปัจจุบันครับ
อย่างไรก็ดีในสมัยศตวรรษที่ 16 พ่อค้าเนื้อสัตว์ได้ถูกสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะผู้ปกครองตระกูลเมดิซีนั้นไม่ต้องการจะเดินผ่าน ส่วนของ Vasari Corridor ที่มีกลิ่นเหม็น หลังจากนั้นเหล่าพ่อค้าอัญมณีและช่างทองก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่แทนสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันครับ
ด้วยความที่สะพานแห่งนี้โดดเด่นมากในหน้าประวัติศาสตร์ ทำให้เป็นสะพานแห่งเดียวที่กองทัพเยอรมันไม่ได้ทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อสกัดกั้นกองทัพพันธมิตรเหมือนกับสะพานอื่นๆ ในเมืองครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณเห็นในปัจจุบันคือของเดิมแบบ 100%
5. Uffizi Gallery
Uffizi Gallery น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันดับต้นๆ ของอิตาลีและโลก เพราะที่นี่เก็บรักษาผลงานระดับมาสเตอร์พีซของศิลปินชาวอิตาเลียนหลายยุคหลายสมัย เรียกได้ว่าเป็น a must ที่ห้ามพลาดทุกกรณีสำหรับทุกคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในวังเดิมสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นผลงานของ Giorgio Vasari คนเดิม ด้านในมีงานศิลปะที่คุณต้องเดินไปชมหลายรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Birth of Venus และ Primavera ซึ่งเป็นงานของ Sandro Botticelli โดยงานแรกนั้นไม่ว่าใครเห็นก็ต้องร้องอ๋อ เพราะว่าเป็นหนึ่งในรูปของเทพีวีนัสที่โด่งดังที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ
นอกจากนี้ด้านในยังจัดแสดงผลงานของดาวินชีด้วยอย่างเช่น Baptism of Christ หรือว่า Annunciation ซึ่งล้วนแต่สวยงามและมีมิติลุ่มลึก ไม่เพียงเท่านั้นงานของไมเคิลแองเจโลก็มีจัดแสดงด้วยนั่นคือ Tondo Doni ซึ่งเป็นผลงานภาพวาดของเขาเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลือในฟลอเรนซ์ครับ
ด้วยความที่ด้านในพิพิธภัณฑ์มีผลงานจัดแสดงจำนวนมาก ถ้าสงสัยว่าด้านในจะมีงานอะไรให้ชมบ้าง ผมแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ครับ ส่วนใครที่อยากประหยัดเวลา ถ้าซื้อตั๋ว Skip the Line ที่นี่จะช่วยให้คุณไม่ต้องต่อคิวครับ
6. Gallery of the Academy of Florence
Gallery of the Academy of Florence หรือ Galleria dell’Accademia เป็นพิพิธภัณฑ์รูปปั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยสาเหตุสำคัญก็คือที่นี่เป็นที่ตั้งของสุดยอดมาสเตอร์พีซของไมเคิลแองเจโลอย่าง รูปปั้นเดวิด (David) ซึ่งในอดีตเคยตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของ Palazzo Vecchio เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอิสรภาพของชาวเมืองฟลอเรนซ์ครับ
นอกจากนี้ด้านในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงรูปปั้นอื่นๆ ของไมเคิลแองเจโล และผลงานศิลปะของยอดจิตรกรอื่นๆ แห่งยุคอีกมากมาย อย่างเช่น Madonna of the Sea ของ Sandro Botticelli รวมไปถึงเครื่องดนตรีของแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีหลายสิบตัวด้วยกัน
การซื้อตั๋วเข้าชมที่นี่อาจจะใช้เวลาไม่น้อย เพื่อประหยัดเวลา คุณสามารถซื้อตั๋วแบบ Skip-the-Line ได้ที่นี่ครับ
7. Palazzo Pitti
Palazzo Pitti เป็นพระราชวังที่เคยเป็นสถานที่พำนักของแกรนด์ดยุคแห่งฟลอเรนซ์และทัสคานี แต่เดิมนั้นเคยเป็นสถานที่พำนักของนายธนาคารผู้หนึ่งมาก่อน แต่ตระกูลเมดิซีได้ซื้อต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 16 และได้ขยายตัววังเช่นเดียวกับเพิ่มสวนอันสวยงามขึ้นมาอยู่ในบริเวณเดียวกัน สวนที่ว่านี้คือ Boboli Gardens สวนอันงามงดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวนสไตล์อิตาเลียนที่เป็นเลิศที่สุดแห่งหนึ่งครับ แน่นอนว่าก่อนจะออกจากตัววังควรไปชมเช่นกัน
ปัจจุบันตัววังได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ ชั้นล่างของวังเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ Treasury of the Grand Dukes ที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่เหล่าแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีเคยครอบครอง เชนเดียวกับพิพิธภัณฑ์ไอคอนจากรัสเซีย (รูปทางศาสนาในคริสตจักรออโธดอกซ์) ครับ
อีกส่วนหนึ่งของวังจะเป็นที่ตั้งของ Palatine Gallery ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินจากยุค Renaissance ซึ่งมีภาพวาดอันสวยงดงามมากมายให้ได้ชมครับ
สำหรับชั้นสองนั้นจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แฟชั่นที่มีเสื้อผ้าให้ชมกว่า 6,000 ชิ้นและ Galleria d’Arte Moderna ที่มีผลงานศิลปะช่วงศตวรรษที่ 18-20 ครับ
8. The Medici Chapels
The Medici Chapels เป็นส่วนหนึ่งของ Basilica of San Lorenzo ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวิหารประจำตระกูลเมดิซี และเป็นสุสานของสมาชิกในตระกูลอีกหลายคน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของฟลอเรนซ์ และดินแดนทั้งหมดในภูมิภาคทัสคานีครับ
ส่วนที่น่าสนใจที่สุดแน่นอนว่าคือส่วน New Sacristy ซึ่งออกแบบโดยไมเคิลแองเจโลเพื่อยกย่องสมาชิกตระกูลเมดิซีที่ล่วงลับไปแล้ว ในบริเวณนี้จะมีรูปปั้นอันสวยงามมากมายที่ล้วนแต่เป็นผลงานจากฝีมือการเนรมิตของไมเคิลแองเจโล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Medici Madonna ที่เป็นรูปพระแม่มารีโอบอุ้มพระเยซูคริสต์ครับ
อีกจุดที่น่าสนใจคือ Chapel of the Princes ที่เป็นโบสถ์ที่เก็บพระศพของแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี ตัวห้องจะมีทรงแปดเหลี่ยมและได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงามด้วยหินอ่อนและหินมีค่าอื่นๆ ครับ
9. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วนั้น ฟลอเรนซ์ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายสิบแห่งที่น่าสนใจให้เข้าชม แห่งที่ผมมองว่าน่าไปเยือนได้แก่
- The Bargello Museum – พิพิธภัณฑ์รูปปั้นที่เก็บผลงานมากมายจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา อย่างเช่น Bacchus อันเป็นผลงานของไมเคิลแองเจโลไปจนถึงรูปปั้นเดวิดของ Donatello ครับ
- Leonardo Da Vinci Museum – พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับเลโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งจัดแสดงผลงานที่สร้างขึ้นจากพิมพ์เขียวที่ดาวินชีได้ร่างเอาไว้ครับ
- San Marco Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมผลงานของ Fra Angelico เอาไว้มากมาย โดยเฉพาะภาพเขียนสีเฟรสโก รวมไปถึงภาพ The Last Supper ของ Ghirlandaio ครับ
- Museo Galileo – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของกาลิเลโอ กาลิเลอี และเก็บอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของเขาเอาไว้หลายชิ้นครับ
10. Piazzale Michelangelo
Piazzale Michelangelo เป็นจุดชมวิวมุมสูงของฟลอเรนซ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ภาพถ่ายแบบพาโนรามาของเมืองล้วนแต่ถ่ายจากสถานที่แห่งนี้ ตัวจุดชมวิวเดิมทีจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์แต่ก็ถูกล้มเลิกไป และเปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่ชมวิวมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูป หรือว่าอยากเพิ่มภาพเกรด AAA ลงไปใน portfolio ของคุณ คุณไม่ควรพลาดไปเยือนที่นี่ครับ
11. San Miniato al Monte
อาราม San Miniato al Monte เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวยอดนิยมของเมืองฟลอเรนซ์ แต่ตัวอารามก็สวยไม่เบาเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ในแบบ Romanesque โดยมีด้านหน้า (Facade) อันเป็นเอกลักษณ์เพราะใช้หินอ่อนสีขาวและเขียวครับ ส่วนด้านในก็ได้รับการตบแต่งด้วยหินอ่อนเช่นกัน ซึ่งสวยงามไม่แพ้ที่ใดเลยครับ
12. Basilica di Santa Croce
Basilica di Santa Croce เป็นมหาวิหารของกลุ่ม Franciscan ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นสถานที่ฝังร่างของชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นไมเคิลแองเจโลไปจนถึงกาลิเลโอ ซึ่งได้หลับไหลอยู่ภายใต้มหาวิหารทรงโกธิคแห่งนี้ตราบนานเท่านานครับ
ในบริเวณมหาวิหารนั้นมีภาพเขียนสีเฟรสโกหลายจุดที่น่าไปชมอย่างเช่น Bardi Chapel ที่ได้รับการตบแต่งด้วยฝีมือของ Giotto รวมไปถึงงานของ Donatello ครับ
13. Mercato Centrale
Mercato Centrale เป็นตลาดกลางที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฟลอเรนซ์ ด้านในขายตั้งแต่อาหารและวัตถุดิบสารพัดชนิด ไปจนถึงดอกไม้และของที่ระลึก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหารราคาถูก (Food Court) ที่ให้คุณได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนรสชาติดีได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปครับ
14. ชิมอาหารพื้นเมือง
แม้ว่าวัฒนธรรมอาหารของที่นี่อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนกับโบโลญญ่า แต่รสชาติอาหารก็ไม่ได้แพ้ที่ใดในอิตาลี เมนูที่น่าสนใจได้แก่
- Bistecca alla Fiorentina – สเต็กเนื้อทีโบนอันมีชื่อเสียงของฟลอเรนซ์ ไม่ควรพลาดทุกประการถ้ามีโอกาสได้ลองครับ
- Lampredotto – แซนด์วิชที่ใส่เนื้อสัตว์ลงไปตรงกลาง เป็นเมนูสตรีทฟู้ดที่ชาวเมืองฟลอเรนซ์ชื่นชอบ
- Ribollita – เมนูยอดนิยมที่ชาวทัสคานีนิยมนำของเหลือจากวันก่อนๆ มาใส่รวมกันและทำเป็นซุป โดยจะมีถั่วและผักเป็นส่วนผสมหลัก
- Schiacchiata alla fiorentina – เค้กโบราณที่ทางร้านเบเกอรี่มักจะทำเป็นชิ้นใหญ่ๆ โดยมีตราของเมืองฟลอเรนซ์ประดับอยู่ครับ
References
- Visit Tuscany
- Discover Florence
- Feel Florence
- Uffizi Gallery Official Site