ฟุสเซ่น (Füssen) เป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี โดยอยู่ห่างจากมิวนิคประมาณ 110 กิโลเมตร และอยู่แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตรจากชายแดนประเทศออสเตรีย
แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก แต่ฟุสเซ่นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเยอรมนี เนื่องด้วยในบริเวณเมืองมีปราสาทที่สวยราวกับว่าอยู่ในเทพนิยายอยู่หลายแห่ง ทำให้นักเดินทางจำนวนมหาศาลนิยมเดินทางไปเที่ยวเมืองแห่งนี้ครับ
บทความนี้จึงจะนำคุณไปรู้จักกับเมืองฟุสเซ่นอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักฟุสเซ่น (Füssen)
ในสภาพทางภูมิศาสตร์แล้วนั้น ฟุสเซ่นเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศเยอรมนี ตัวเมืองถูกโอบล้อมด้วยภูเขา Ammergau Alps และรอบเมืองอุดมไปด้วยทะเลสาบหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Forggensee ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำ Lech ไหลผ่านอีกด้วย ทำให้บริเวณเมืองแวดล้อมไปด้วยมวลน้ำเลยครับ
สำหรับบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว ตัวเมืองมีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยเป็นที่ประจำการของกองทัพโรมันที่ใช้คุ้มกันเส้นทางการค้าขายตามแนวเทือกเขาแอลป์ แต่ก็ไม่ได้เติบโตจนกลายเป็นเมืองใหญ่แต่อย่างใด
ในช่วงศตวรรษที่ 14 บิชอปแห่ง Augsburg ได้ปกครองดินแดนแถบนี้และได้สร้างพระราชวังฤดูร้อนขึ้นที่นี่ ซึ่งต่อมาฟุสเซ่นก็ได้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของพื้นที่แถบนี้ ส่งผลให้มีการสร้างกำแพงขึ้นป้องกันเมืองครับ
ช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นช่วงที่ฟุสเซ่นร่ำรวยขึ้น โดยฟุสเซ่นได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตเครื่องดนตรีอย่างเช่นไวโอลิน และ lute แต่น่าเสียดายที่ช่วงศตวรรษที่ 17-18 ตัวเมืองเผชิญกับไฟสงครามหลายครั้ง โดยเฉพาะสงคราม 30 ปี ทำให้ตัวเมืองได้รับความเสียหายมาก และไม่ได้กลับไปมั่งคั่งเหมือนกับในอดีต
ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่ฟุสเซ่นได้มาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรบาวาเรียที่มีเมืองหลวงอยู่ที่มิวนิค ได้ทำให้เมืองฟุสเซ่นเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เนื่องด้วยในรัชกาลของลุดวิกที่ 2 พระองค์โปรดให้สร้างปราสาทอันสวยงามสองแห่งที่งดงามราวกับเทพนิยายขึ้นใกล้กับตัวเมือง
ปราสาทที่ว่าคือปราสาทนอยชวานสไตน์ และโฮเฮนชวานเกา โดยทั้งสองแห่งห่างจากฟุสเซ่นประมาณ 3.6 กิโลเมตร แม้ว่าปราสาททั้งสองจะไม่ได้สร้างจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ก็ได้กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฟุสเซ่นกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวครับ
ปัจจุบันฟุสเซ่นเป็นเมืองปลายทางฝั่งใต้ของเส้นทาง Romantic Road เส้นทางท่องเที่ยวของเยอรมนีที่เริ่มต้นจากเมือง Wurzburg และมีระยะทางกว่า 460 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะผ่านเมืองสวยของเยอรมนีที่ยังให้บรรยากาศแบบดั้งเดิม เพราะฉะนั้นนักเดินทางจำนวนมากจึงนิยมไปขับรถเที่ยวบนเส้นทางดังกล่าวครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองฟุสเซ่น (Füssen) ทำอย่างไร
วิธีการไปเที่ยวฟุสเซ่นที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถบัสหรือรถไฟไปจากมิวนิค ทั้งนี้รถบัสจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่จะใช้เวลาเดินทางมากกว่าพอสมควร ดังนั้นการใช้รถไฟน่าจะสะดวกที่สุดครับ โดยคุณสามารถตรวจสอบรอบและจองตั๋วได้ผ่าน Omio ครับ
ไปเที่ยวเมืองฟุสเซ่นช่วงไหนดี?
คุณศามารถเดินทางไปเที่ยวฟุสเซ่นได้ตลอดทั้งปี เพราะบริเวณตัวเมืองและปราสาทนอยชวานสไตน์จะสวยแตกต่างกันไปในทุกฤดู แต่ช่วงที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็นฤดูไบไม้ร่วงและฤดูหนาวครับ
1. ปราสาทนอยชวานสไตน์
ไฮไลท์อันดับ 1 ของฟุสเซ่นคงหนีไม่พ้น ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein Castle) ปราสาทของกษัตริย์ลุดวิกที่ 2 ที่สร้างบนโตรกใกล้กับทะเลสาบสวยของฟุสเซ่นในช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ
ที่ตั้งแห่งนี้ทำให้ปราสาทโดดเด่นในตัวเองอยู่แล้ว แต่สถาปัตยกรรมแนว Romanticism ของปราสาทได้ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยลุดวิกที่ 2 ทรงปรารถนาที่จะให้เป็นปราสาทในอุดมคติของอัศวินในยุคกลางตามผลงานของริชาร์ด วากเกอร์ (Richard Wagner) นักประพันธ์โอเปร่าที่พระองค์ทรงโปรดปรานในช่วงเวลานั้น
ดังนั้นรูปร่างของปราสาทแห่งนี้จึงมีความโดดเด่นมาก และไม่เหมือนกับปราสาทยุคกลางของจริงที่ปราศจากอุดมคติ และความโรแมนติกที่แต่งเติมเข้าไป นั่นทำให้ในเวลาต่อมาที่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Sleeping Beauty Castle ของดิสนีย์ครับ
การสร้างตลอดช่วงเวลา 17 ปีนั้นใช้หินอ่อนเป็นวัสดุหลัก โดยหินอ่อนชวานเกา (Schwangau Marble) ชั้นดีถูกลำเลียงมาจากทะเลสาบ Schwangausee น่าเสียดายที่การสร้างไม่เคยเสร็จสิ้นอย่างที่ลุดวิกที่ 2 ทรงหวังไว้
สาเหตุนั้นค่อนข้างยาว แต่สรุปสั้นๆ คือพระองค์ทรงกู้ยืมเงินมาสร้างปราสาทถึง 14 ล้านมาร์ค แม้ว่ากู้ในนามส่วนพระองค์และไม่ได้ใช้เงินจากท้องพระคลังก็ตาม เหล่าเสนาบดีเห็นว่าพระองค์ทรงเสียพระจริต โดยอ้างอิงจากจิตแพทย์ 4 คนที่ไม่เคยพบพระองค์เลยสักคนเดียว สุดท้ายพระองค์ก็ถูกถอดจากบัลลังก์ และสวรรคตอย่างลึกลับหลังจากนั้นไม่นาน
การสร้างปราสาทนอยชวานสไตน์จึงสิ้นสุดไปโดยปริยาย รัฐบาลเยอรมันก็ไม่เคยอนุมัติให้สร้างปราสาทแห่งนี้จนเสร็จสมบูรณ์ คงไว้แต่การบูรณะส่วนที่สร้างเสร็จแล้วให้อยู่ในสภาพดีเท่านั้น
ในปัจจุบันปราสาทได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ที่ใช้ว่าราชการ และห้องส่วนพระองค์ของกษัตริย์ลุดวิกที่ 2 ที่ได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามอลังการยิ่ง ภาพเขียนที่ใช้ตบแต่งนั้นมาจากผลงานโอเปร่าของวากเนอร์ที่เล่าถึงยุคกลางในสไตล์ที่ชวนเพ้อฝัน (อัศวินผู้กล้าหาญที่ถูกส่งไปปกป้องเจ้าหญิง) อย่างเช่นเรื่อง Lohengrin เป็นต้น
ค่าเข้าชมปราสาทจะอยู่ที่ 18 ยูโร (เด็กอายุ 18 ปีเข้าฟรี) ทั้งนี้คุณสามารถจองได้จากเว็บนี้ แต่จะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม 2.5 ยูโร ผมไม่แนะนำอย่างยิ่งให้ Walk-in เพราะตั๋วจะขายหมดเร็วมากตั้งแต่เช้า เพราะฉะนั้นถ้าตั๋วหมดแล้วคุณไม่ได้จองล่วงหน้า คุณแทบจะไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้วในการเข้าชมปราสาทวันนั้น (อาจจะเหลือแค่ซื้อทัวร์ที่ราคาสูงเท่านั้น)
วิธีการไปจากฟุสเซ่นนั้น คุณสามารถนั่งรถบัสของ Regio Bus ไปจากฟุสเซ่น โดยใช้เวลาเพียง 8 นาทีก็จะถึง Ticket Center แล้วครับ แต่หลังจากที่คุณจัดการเรื่องตั๋วจาก Ticket Center แล้ว คุณจะต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งชันพอสมควร อย่างไรก็ดีคุณสามารถทุ่นแรงได้ด้วยการนั่งรถบัส (3 ยูโร) หรือนั่งรถม้า (8 ยูโร) แต่ยังไงก็ตาม คุณก็ต้องเดินอยู่ดีประมาณ 400-500 เมตรครับ
สำหรับจุดชมวิวปราสาทที่สวยที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นที่สะพาน Marienbrücke ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวตลอดจนช่างภาพมืออาชีพมากมายไปเก็บภาพมุมที่สวยที่สุดของปราสาทครับ
2. ปราสาทโฮเฮนชวานเกา
ปราสาทโฮเฮนชวานเกา (Hohenschwangau Castle) เป็นปราสาทสีเหลืองอร่ามที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดยตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทนอยชวานสไตน์ และเป็นสถานที่พำนักของชนชั้นสูงแถบนี้
จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ตัวปราสาทอยู่ในสภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลา กษัตริย์แม็กซิมิเลียนที่ 2 เสด็จเดินทางผ่านมา แล้วทรงกลับชื่นชอบทำเลของปราสาท พระองค์จึงซื้อไว้ และให้บูรณะเป็นสถานที่สำหรับแปรพระราชฐานในช่วงฤดูร้อน
ทั้งนี้การบูรณะได้ใช้สไตล์ Romanticism โดยส่วนต่างๆ ของปราสาทจะมีภาพเขียนอันสวยงามถึง 90 ภาพที่เล่าถึงตำนานอัศวินของชาวเยอรมัน เช่นเดียวกับตำนานท้องถิ่นของพื้นที่แถบนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับลุดวิกที่ 2 ที่ประทับอยู่ที่นี่บ่อยครั้งในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ครับ
ปัจจุบันคุณสามารถเข้าชมด้านในปราสาทได้ด้วยการซื้อ Guided Tour เข้าไป ซึ่งควรจองล่วงหน้าอย่างยิ่งเหมาะถ้าไป Walk-in มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้เข้า สำหรับค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 18 ยูโร คุณสามารถจองออนไลน์ได้จากเว็บนี้ครับ
หลังจากชมปราสาทเสร็จแล้ว บริเวณปราสาทจะมีสวนที่สวยงาม โดยมีน้ำพุหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุสิงโตแนว Spanish Alhambra ไปจนถึงน้ำพุ St.Mary ครับ
3. Alpsee
ใกล้กับ Ticket Center ของปราสาทนอยชวานสไตน์และปราสาทโฮเฮนชวานเกา มีทะเลสาบสวยตั้งอยู่ชื่อว่า Alpsee ที่ทั้งสวยมีเสน่ห์ในทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ตราตรึงอย่างที่สุด นักท่องเที่ยวนิยมไปเดิน hiking ชมทะเลสาบแห่งนี้ หรือไม่ก็ขี่จักรยานครับ
ไม่ไกลจากทะเลสาบแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ชื่อ Museum of the Bavarian Kings ซึ่งเล่าถึงประวัติความเป็นมาของกษัตริย์บาวาเรีย โดยเฉพาะลุดวิกที่ 2 พร้อมทั้งจัดแสดงของมีค่าและของใช้ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถ้าสนใจ คุณสามารถซื้อบัตรได้ที่ Ticket Center หรือว่าที่ตัวพิพิธภัณฑ์เลยก็ได้ครับ
4. Linderhof Palace
Linderhof Palace หรือพระราชวังลินเดอฮอฟเป็นวังแห่งเดียวที่สร้างขึ้นเสร็จตามความปรารถนาของกษัตริย์ลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย โดยวังนี้ตั้งอยู่ที่หุบเขา Graswang ไม่ไกลจากฟุสเซ่นครับ
ในอดีตที่นี่เป็นแค่บ้านพักให้เชื้อพระวงศ์ไปพำนักตอนล่าสัตว์ แต่ลุดวิกที่ 2 โปรดให้สร้างใหม่ในสไตล์ Rococo แม้ว่าขนาดของวังจะเล็กมากถ้าเทียบกับวังในเมืองใหญ่ของเยอรมนีอย่างเช่นมิวนิคหรือเวียนนา แต่ด้านในก็สวยงามประณีต โดยเฉพาะ Hall of Mirrors ที่พระองค์ใช้ที่นี่เป็นห้องวาดรูป และโปรดที่จะประทับที่นี่ตลอดทั้งคืน ในห้องมีกระจกมากมายที่ช่วยกระจายแสงเทียนให้ส่องสว่างตลอดเวลาครับ
อีกส่วนที่น่าสนใจคือสวนของวังที่มีลานขนาดใหญ่ และมีน้ำพุตั้งอยู่เป็นองค์ประกอบหลัก ภายในสวนนั้นมีถ้ำ Venus Grotto ที่ลุดวิกที่ 2 โปรดให้สร้างขึ้น ซึ่งในถ้ำมีน้ำตกและทะเลสาบด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีบ้านแบบโมร็อกโคและมัวร์ที่สวยงามอีกด้วย
ในส่วนของค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 10 ยูโร (อ้างอิงจากเว็บนี้) แต่การเดินทางไปนั้นถือว่ายากพอสมควร เพราะวังอยู่ห่างจากฟุสเซ่น 45-65 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับว่าใช้เส้นทางผ่านออสเตรียหรือไม่ผ่าน) ถ้าคุณไม่ได้ขับรถเอง คุณควรจะนั่งรถไฟไปลงที่ Oberammergau แล้วต่อรถบัสไปยังพระราชวังครับ
5. ย่านเมืองเก่าฟุสเซ่น
ฟุสเซ่นมีย่านเมืองเก่าที่สวยงาม และมีอายุถึง 700 ปีด้วยกัน แม้ว่าอาคารส่วนมากจะไม่ได้อายุมากถึงขนาดนั้น แต่ก็สวยงาม เหมาะต่อการเดินเล่น ทั้งนี้ในเมืองเก่ามีแลนด์มาร์กสำคัญดังต่อไปนี้ครับ
The High Palace เป็นวังเก่าของบิชอปแห่ง Augsburg ที่ปกครองที่นี่ในช่วงศตวรรษที่ 14 ตัววังสร้างขึ้นในสไตล์ Gothic และอยู่ในสภาพสมบูรณ์เป็นอันดับต้นๆ ของบาวาเรีย ปัจจุบันที่นี่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ The State Gallery ที่ใช้จัดแสดงผลงานจากยุคกลางและยุค Renaissance ของจิตรกรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาค Swabia ครับ
St Mang’s Benedictine Monastery – อารามในศาสนาคริสต์ที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 8 แต่ได้รับการปรับปรุงอย่าวสวยงามในสไตล์ Baroque ด้านในมีภาพเขียนสีเฟรสโกที่เก่าแก่ที่สุดในบาวาเรีย (จากประมาณ ค.ศ.980) ซึ่งถือว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งด้วยครับ
ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอารามได้รับการเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า Museum of Füssen ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองฟุสเซ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดนตรีอย่างไวโอลิน และ Lute ที่ในครั้งหนึ่ง ตัวเมืองเคยเป็นศูนย์กลางการผลิตครับ นอกจากนี้ยังมีห้องโถงแบบ baroque ที่สวยงามให้ชมอีกด้วย
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม เมืองฟุสเซ่นจะมีตลาดคริสตมาสเช่นเดียวกับอีกหลายเมืองในเยอรมนี ดังนั้นถ้าคุณไปเที่ยวในช่วงดังกล่าว อย่าลืมไปเยี่ยมเยือนเทศกาลสำคัญนี้ด้วยครับ
6. Forggensee
Forggensee เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของรัฐบาวาเรีย และตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฟุสเซ่น ซึ่งตัวทะเลสาบนั้นล้อมรอบด้วยแนวภูเขาที่สวยงามยิ่ง ทำให้นักเดินทางนิยมไปล่องเรือกันครับ
ระหว่างที่คุณล่องเรือนั้น นอกจากธรรมชาติที่ตระการตาแล้วแล้ว คุณยังมีโอกาสได้เห็นเมืองฟุสเซ่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นเป็นกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาดแน่นอนครับ
อย่างไรก็ดีเรือจะมีให้ล่องในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนตุลาคมเท่านั้น โดยคุณจะเลือกได้ว่าต้องการล่องเป็นเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมง รายละเอียดอื่นๆ อ่านได้จากเว็บผู้ให้บริการครับ
7. Lechfall
Lechfall เป็นน้ำตกที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ในตอนใต้ของเมืองฟุสเซ่น โดยมีวัตถุประสงค์คือป้องกันน้ำท่วม และจัดการมวลน้ำต่างๆ จากแม่น้ำ Lech ครับ
อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน น้ำตกแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะน้ำมีสี turquoise อันสวยงดงามราวกับน้ำในทะเลสาบทีเดียว คุณสามารถเดินเล่นรอบบริเวณน้ำตกได้ด้วย ซึ่งใกล้กับบริเวณนั้นจะมีรูปปั้นกษัตริย์แม็กซิมิลเลียนที่ 2 ตั้งอยู่ครับ
References
- Fussen Official Travel Site
- Schloss Neuschwanstein Official Site
- Hohenschwangau.de
- Schloss Linderhof Official Site
- Regio Bus