เจนัว (Genoa) หรือ Genova ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองลิกูเรีย (Liguria) ประเทศอิตาลี ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองท่าที่รุ่งโรจน์ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ทำให้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับทัศนียภาพทางทะเลที่สวยงาม ทำให้เจนัวเป็นที่นิยมในการมาเยือนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปอิตาลีตอนเหนือ และที่นียังเป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง Cinque Terre ด้วยครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักเมืองเจนัวอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองเจนัว (Genoa)
ชื่อเมืองเจนัว (Genoa) ไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามีที่มาจากไหน บ้างว่ามาจากเทพเจ้าโรมันชื่อ Janus ผู้มีสองเศียรเหมือนกับตัวเมืองที่หันหน้าชนกับท้องทะเลอีกด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งชนกับยอดเขาครับ อีกสายหนึ่งก็ว่ามาจากภาษาละตินคำว่า genua ที่แปลว่าหัวเข่า
มนุษย์อาศัยอยู่ในเขตเมืองเจนัวมามากกว่า 6,000 ปี หรือตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และไม่เคยถูกทิ้งเลย ต่างจากเมืองในตะวันออกกลางอย่างเช่นอัมมาน หรือ เจราชที่อาจจะเป็นชุมชนก่อนหน้าเจนัว แต่มีช่วงที่กลายเป็นเมืองร้างครับ ด้วยเหตุนี้เจนัวจึงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีมนุษย์ติดต่อกันเป็นเวลานานที่สุดในโลก
เจนัวได้กลายเป็นเมืองในช่วงปี 400 ก่อนคริสตกาล โดยมีชื่อเป็นภาษาละตินว่า oppidum เชื่อกันว่าผู้ที่ก่อตั้งเมืองคือชนเผ่าชื่อ Ligures ที่อาศัยอยู่ในเขตลิกูเรียครับ ต่อมาเมืองนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรของสาธารณรัฐโรมัน ดังนั้นเมื่อฮันนิบาล แม่ทัพคาร์เธจทำศึกกับชาวโรมัน เมืองนี้จึงถูกทหารคาร์เธจทำลายจนยับเยิน
อย่างไรก็ดีตัวเมืองได้รับการสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเมืองโรมันในเวลาต่อมา ทว่าเมืองไม่ได้รุ่งโรจน์หรือมีบทบาทมากนักเท่ากับเมืองอย่างราเวนนา, อาเรสโซ หรือแม้กระทั่งปอมเปอีครับ
หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย เจนัวได้ถูกเปลี่ยนมือไปมาระหว่างผู้ปกครองหลายเชื้อชาติ ในช่วงนี้ตัวเมืองก็ยังไม่ได้เจริญมากนัก โดยมีประชากรแค่หลักพันคนเท่านั้น แต่ก็ได้เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยอาศัยสภาพภูมิศาสตร์ที่ติดทะเลค้าขายกับอาณาจักรอื่นๆ โดยรอบ
ในช่วงศตวรรษที่ 12 ชาวเมืองเจนัวได้สถาปนาสาธารณรัฐขึ้นเพื่อปกครองตนเอง (เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในอิตาลีช่วงนั้นอย่างเซียน่าหรือปิซ่า) ในนามสาธารณรัฐเจนัว (Republic of Genoa) ช่วงนี้เป็นช่วงที่เจนัวรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด บทบาทสำคัญในการสนับสนุนสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ทำให้เจนัวได้รับสิทธิพิเศษทางการค้ามากมาย สร้างความมั่งคั่งให้กับเมืองอย่างมาก
เจนัวยิ่งมั่งคั่งขึ้นไปอีกหลังจากที่สนับสนุนอาณาจักรไบแซนไทน์ในการกอบกู้อาณาจักรกลับมาจากนักรบครูเสด (ที่แทนที่จะไปรบกับชาวมุสลิมกลับจู่โจมชาวคริสต์ด้วยกันเอง) ทำให้เจนัวได้อาณานิคมหลายแห่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลดำเลยทีเดียว ชาวเมืองเจนัวได้เปลี่ยนความร่ำรวยเหล่านี้มาสร้างความเจริญให้กับเมืองของตนเอง จนกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี
ความรุ่งโรจน์ของเจนัวดำเนินมายาวนานถึง 600 ปี แต่ก็ถึงจุดสิ้นสุดลงเพราะเกิดโรคระบาดใหญ่ในเมืองในช่วงปี ค.ศ.1656-1657 ที่ทำให้ชาวเมืองสิ้นชีวิตไปถึงครึ่งหนึ่ง ตามมาด้วยนโยบายทางการเมืองที่ผิดพลาด ทำให้เจนัวแพ้ศึกต่อออสเตรียและซารดิเนีย และอ่อนแอลงมาก สุดท้ายแล้วสาธารณรัฐเจนัวจึงล่มสลายเพราะการแทรกแซงของนโปเลียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
หลังจากนโปเลียนพ่ายแพ้ เจนัวได้ถูกปกครองโดยอาณาจักรซาร์ดิเนีย แม้ว่าจะไม่ได้มีความสำคัญเท่าเดิม แต่เจนัวก็ยังเติบโตเป็นเมืองท้าหลักของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นอู่ต่อเรือชั้นยอดของยุโรป หลังจากนั้นไม่นานเจนัวก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีครับ
ปัจจุบันเจนัวยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางจากทั่วโลกไปชมทัศนียภาพ และวัฒนธรรมเก่าแก่ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองเจนัว (Genoa) ทำอย่างไร?
การเดินทางไปยังเมืองเจนัวสามารถทำได้ด้วยการใช้รถบัสหรือรถไฟจากเมืองใหญ่ของอิตาลี ทั้งนี้คุณสามารถตรวจสอบ เปรียบเทียบรอบ และจองได้ด้วยการใช้เว็บ Omio ครับ
ทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจคือเครื่องบินและเรือ รวมไปถึงการเช่ารถขับเอง แต่แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ารถบัสหรือรถไฟครับ
การสัญจรในเมืองเจนัวทำอย่างไร?
ในเมืองเจนัวนั้นมีทั้งรถไฟใต้ดิน (Subway) ไปจนถึงรถบัส ลิฟต์ และกระเช้า ทั้งนี้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยการซื้อ Genova Pass ในราคา 4.5 ยูโร ซึ่งจะช่วยให้คุณเดินทางได้ตั้งแต่รถบัส รถไฟใต้ดิน ลิฟต์ และกระเช้าได้โดยไม่จำกัดครั้งในเวลา 24 ชั่วโมงครับ
1. Via Giuseppe Garibaldi
Via Giuseppe Garibaldi หรือ Via Garibaldi เป็นถนนโบราณในย่านเมืองเก่าของเจนัว โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ถนนสายนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก เพราะเป็นที่ตั้งของวังอันสวยงามที่เป็นที่อยู่ของชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชนในอดีตกว่า 42 แห่ง เรียงรายกันไปตลอดระยะทาง 250 เมตรครับ
สำหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจในจุดนี้ได้แก่
Palazzo Tursi – วังเก่าที่เคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการเมืองเจนัว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของเมืองแห่งนี้ และเป็นวังที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแห่งหนึ่ง ด้านในไม่ค่อยมีภาพเขียนสีเฟรสโกเท่าไรนัก เพราะในตอนสร้างชาวเมืองโดนกษัตริย์สเปนเบี้ยวหนี้
แต่ด้านในก็มีโบราณวัตถุชั้นเลิศจัดแสดงพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวโอลินของ Nicolò Paganini นักดนตรีระดับตำนานของเมืองเจนัวครับ ไปจนถึงรูปปั้น Penitent Magdelene อันเป็นผลงานของ Antonio Canova
Palazzo Bianco – วังสวยอีกแห่งหนึ่งที่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียนที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองเจนัว แต่ผลงานศิลปะอื่นๆก็มีให้ชมเช่นกัน ผลงานที่น่าสนใจได้แก่ Ecce Homo ของ Caravaggio และ Peter and Mars ของ Peter Paul Rubens ครับ
Palazzo Rosso – วังของชนชั้นสูงที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้านในถูกตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอย่างงามยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของชาวเมืองได้อย่างดี ปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะเช่นกันครับ
นอกเหนือสามแห่งนี้แล้ว วังอื่นๆ ก็สวยงามเช่นกัน แต่อาจจะไม่ได้เปิดให้เข้าไปชมด้านในได้เหมือนกับสามแห่งนี้ครับ
2. Palazzo Ducale
Palazzo Ducale เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของเมืองเจนัว โดยในอดีตเคยเป็นสถานที่พำนักของประมุขของเมือง รวมไปถึงสถานที่ประชุมของผู้นำระดับสูงที่กำหนดความเป็นไปของเมือง ดังนั้นในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งเลยครับ
อย่างไรก็ดีบางส่วนของวังหรือที่เรียกกันว่า Grimaldina tower นั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นคุกที่ใช้กักขังนักโทษหลายคนที่มีชื่อเสียงหลายคน ซึ่งมีตั้งแต่นักโทษทั่วไปไปจนถึงโจรสลัดและกบฏที่ทรยศชาวเมืองครับ
ตัวอาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นงานที่เกิดจากการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่เกิดไฟไหม้มาก่อนหน้านี้ครับ แต่ก็ได้รับการบูรณะโดยสถาปนิกชั้นยอดของยุคนั้น ทำให้กลับมาสวยงามเหมือนดังเดิม
ใกล้กับพระราชวังแห่งนี้มีโบสถ์ชื่อ Chiesa dei Santi Ambrogio e Andrea ที่ด้านในได้รับการตบแต่งและประดับประดาอย่างสวยงามมาก และได้รับการยกย่องว่างามเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองครับ
3. Genoa Cathedral
Genoa Cathedral หรือ Saint Lawrence’s Cathedral (Cattedrale di San Lorenzo) เป็นมหาวิหารหลักของเมืองที่อุทิศให้กับนักบุญลอว์เรนซ์ (หรือ San Lorenzo ในภาษาอิตาเลียน)
ตัวมหาวิหารนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางยุคกลางด้วยศิลปะ Romanesque แต่ด้วยการสร้างที่ใช้เวลานานและไม่ประติดประต่อ ทำให้ตัวมหาวิหารมีส่วนประกอบของศิลปะยุคอื่นๆ เข้ามาด้วย ตั้งแต่ Gothic ไปจนถึง Renaissance และ Baroque ครับ แต่โดยรวมก็ยังยิ่งใหญ่สวยงามสมกับเป็นมหาวิหารเอกของเมือง
ใกล้กับตัวมหาวิหารนั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่คุณสามารถเข้าชมได้ ด้านในจัดแสดงปูชนียวัตถุและโบราณวัตถุที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมือง ซึ่งรวมไปถึงผัาสีน้ำเงินเข้มที่เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของกางเกงยีนส์ที่นิยมกันในปัจจุบันด้วยครับ
4. Via Balbi
Via Balbi เป็นอีกหนึ่งถนนเก่าแก่ของเมืองเจนัว และประกอบด้วยพระราชวังหลายแห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเขตมรดกโลก รวมไปถึงมหาวิทยาลัยเจนัว (University of Genoa) ด้วยครับ
ไฮไลท์ของถนนเส้นนี้คือ Palazzo Reale วังที่กษัตริย์ซาร์ดิเนียเคยซื้อไว้เป็นสินทรัพย์ส่วนพระองค์ ตัววังได้รับการตบแต่งอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับระเบียงและบันไดที่ยิ่งใหญ่อลังการครับ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะจำนวนมากด้วยครับ
5. Lanterna
Lanterna หรือ Lighthouse of Genoa เป็นประภาคารที่ตั้งตระหง่านสูงถึง 77 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในเมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปวง และเป็นอันดับสองของยุโรปครับ
ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าประวัติของเมืองเจนัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวพันกับการเดืนเรือและการค้าขายทางทะเลที่สร้างมั่งคั่งตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีครับ
6. Porto Antico
Porto Antico (หรือ Old Port) เป็นท่าเรือเก่าแก่ของเมืองเจนัวที่นำมาซึ่งความร่ำรวยมั่งคั่ง ปัจจุบันตัวท่าเรือยังหลงเหลือกลิ่นอายของในช่วงนั้นพอสมควร อย่างเช่น Porta Siberia ประตูทางเข้าสุดอลังการที่เคยเป็นที่ตั้งของหน่วยงานศุลกากรที่ตรวจสอบสินค้าเข้าออก และ Church of San Marco on the pier โบสถ์ที่เหล่ากะลาสีเรือใช้เป็นที่พึ่งทางใจก่อนออกทะเล ไปจนถึง Mura di Malapaga ส่วนหนึ่งของกำแพงทะเลที่ช่วยป้องกันเมืองเจนัวจากผู้รุกรานครับ
เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน พื้นที่บริเวณท่าเรือได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพื้นที่ใช้สอย ปัจจุบันที่นี่จึงมีร้านอาหาร ร้านค้ามากมายที่คุณสามารถไปใช้บริการได้ครับ นอกจากนี้การเดินเล่นบริเวณท่าเรือก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
บริเวณท่าเรือนั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่สองแห่งด้วยกัน แห่งแรกคือ Maritime Museum พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่เล่าประวัติของท่าเรือ และการเดินเรือของชาวเจนัว รวมไปถึงเรือโบราณของชาวเมือง แต่ที่เป็นไฮไลท์คือรูปภาพโคลัมบัสที่เป็นผลงานของ Ridolfo ทั้งนี้โคลัมบัสเป็นชาวเจนัว และได้นำทรัพย์สินบางส่วนจากการสำรวจกลับมายังที่นี่ครับ ด้านในพิพิธภัณฑ์จึงมีห้องหนึ่งที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับเขาไว้ด้วย
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์คือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Acquario) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว๋กว่า 15,000 ตัวจาก 600 สปีชีส์ และเป็นแห่งที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี และลำดับต้นๆ ของยุโรป นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังมีจุดชมวิวสูง 40 เมตรที่ให้คุณชมวิวสวยๆ ของเมืองได้แบบพาโนรามาด้วยครับ
7. Santa Maria di Castello
Santa Maria di Castello เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเหนือภูเขา Castello ซึ่งเป็นภูเขาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเป็นที่ตั้งถื่นฐานของชาวเมืองตั้งแต่ยุคอีทรัสกันครับ ส่วนตัวโบสถ์นั้นสร้างขึ้นในยุคกลางด้วยศิลปะ Romanesque อันสวยงาม ด้านในมีผลงานศิลปะมากมาย ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 15-18 ให้ได้ชมกันครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจในโบสถ์ก็คือคือทางเดินโค้งสามชั้นที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 บริเวณเพดานมีภาพเขียนสีเฟรสโกที่สวยงามมากครับ
8. Palazzo del Principe
Palazzo del Principe เป็นวังที่เคยเป็นสถานที่พำนักของ Andrea Doria ผู้ปกครองเจนัวผู้มีคุณูปการสำคัญอย่างมากในสร้างสาธารณรัฐเจนัวให้มั่นคง ตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญของเมืองให้ผู้ปกครองสูงสุดหรือ Doge อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 2 ปีเท่านั้น และยังเป็นแม่ทัพเรือผู้เก่งกาจอีกด้วย
ด้านในวังมีภาพเขียนสีเฟรสโกที่งดงามไม่แพ้ที่ใด โดยเฉพาะรูปยักษ์ที่ถูกฟาดด้วยสายฟ้าของเทพจูปิเตอร์ ผลงานของ Perin del Vaga และผืนผ้า (Tapestries) ที่จำลองยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่เลปานโต (Battle of Lepanto) ครับ
อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังคือสวนสวยที่มีน้ำพุอันสวยอลังการชื่อ Fountain of Neptune ที่มีอายุกว่า 400 ปี และรูปปั้นเทพเจ้าจูปิเตอร์ที่แทนองค์ของจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่สถาปนา Andrea Doria ให้มียศศักดิ์เป็นเจ้าชายครับ
9. Piazza De Ferrari
Piazza De Ferrari เป็นจัตุรัสสวยที่เป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของตัวเมืองเจนัวมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 เพราะเป็นจุดที่บรรจบกันระหว่างย่านเมืองเก่าและย่าน Via XX Settembre ที่สร้างด้วยศิลปะแบบ Art Nouveau (ถนนช้อปปิ้งสายหลักของเมือง) ตรงกลางของจัตุรัสมีน้ำพุขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1936 ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์
ในบริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของ Teatro Carlo Felice โรงโอเปร่าที่มีชื่อเสียงของเมือง (และของอิตาลีและโลก) ด้านในมีการออกแบบให้รับกับการแสดงโอเปร่าเพื่อที่เสียงที่จะได้ออกมาดีที่สุด ปัจจุบันที่นี่ใช้แสดงโอเปร่า บัลเลต์ หรือคอนเสิร์ตดนตรีต่างๆ ถ้าสนใจสามารถซื้อบัตรที่ได้เว็บนี้ครับ
10. Great Wall of Genoa
Great Wall of Genoa เป็นกำแพงใหญ่สมัยยุคกลางซึ่งใช้ป้องกันผู้รุกราน ตัวกำแพงเรียงรายไปตามแนวภูเขาที่โอบล้อมเมืองเจนัว ปัจจุบันกำแพงยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่คุณสามารถเดินชมได้ หรือว่านั่งรถไฟ Castella Train ครับ
สำหรับใครที่เวลาน้อย คุณอาจจะเลือกไปชมแค่บางส่วนได้อย่างเช่น Porta Soprana ประตูใหญ่ของกำแพงที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดครับ ประตูแห่งนี้อายุเกือบ 900 ปีแล้วโดยสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 ครับ
11. พิพิธภัณฑ์อื่นๆ
เมืองเจนัวเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์ให้ชมมากมาย นอกเหนือจากที่ได้แนะนำไปแล้ว พิพิธภัณฑ์เหล่านี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
- Palazzo Spinola – วังเดิมตบแต่งด้วยสไตล์บารอคและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ด้านในมีภาพเขียนที่สวยงามของศิลปินจากเมืองเจนัว เช่นเดียวกับห้องครัวสมัยศตวรรษที่ 19 ครับ
- Castello D’Albertis – ปราสาทเก่าที่ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก
- Natural History Museum G. Doria – พิพิธภัณฑ์ทางชีววิทยาและธรณีวิทยาที่รวบรวมสิ่งจัดแสดงกว่า 4 ล้านชิ้นตั้งแต่ฟอสซิลของนก แมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฯลฯ
12. Pegli
Pegli เป็นย่านนอกตัวเมืองเจนัวที่ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนช่วงฤดูร้อนของผู้คนจำนวนมากจากทั่วทั้งยุโรป มิใช่แต่เพียงเฉพาะในอิตาลีเท่านั้น ที่นี่เป็นที่ตั้งของสวนสวยของ Villa Durazzo Pallavicini สวนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลี และมี theme ที่น่าสนใจมาก เพราะแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกจะเป็นส่วนที่เป็นสัญลักษณ์ของนรก หรือปรโลก ขณะที่ส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนสวรรค์ครับ
นอกเหนือจากสวนแห่งนี้แล้ว พื้นที่ส่วนที่ติดทะเลของย่านนี้ยังสวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งนักเดินทางนิยมมาเดินเล่นถ่ายรูปครับ
13. Boccadasse
Boccadasse เป็นหมู๋บ้านชาวประมงที่เคยอยู่นอกเมืองมาก่อน แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแล้วเรียบร้อย ทว่าหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงหลงเหลือวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ที่ให้คุณได้สัมผัส เช่นเดียวกับบ้านสีพาสเทล และเรือประมงหลากสีครับ นักเดินทางนิยมมารับประทานอาหารและชมวิวกันที่นี่ครับ
14. ลองชิมอาหารพื้นเมือง
เจนัวนั้นมีชื่อเสียงมากในเรื่องซอสเพสโต เพราะต้นกำเนิดของซอสชนิดนี้ก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นเมนูทุกเมนูที่มีส่วนผสมของเพสโตเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดทุกประการครับ
ส่วนเมนูอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่ Focaccia alla Genovese เมนูขนมปังที่เป็นได้ทั้งของคาวและของหวานไปจนถึงราวิโอลี่ (Ravioli) สูตรของเจนัวที่ชาวเมืองมักจะทำในโอกาสพิเศษ ไปจนถึง Capponada เมนูสลัดที่เป็นที่โปรดปรานของเหล่ากะลาสีครับ
References
- Visit Genoa (Genoa Official Travel Site)
- Musei di Genova
- La Mia Liguria (Liguria Official Travel Site)