ฮามามัตสึ (Hamamatsu) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของจังหวัดชิซุโอกะ ซึ่งตั้งอยู่ในตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ตัวเมืองมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม รวมไปถึงธรรมชาติที่สวยงามโดดเด่น ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่อันน่าสนใจถ้าคุณได้มาเยือนชิซุโอกะครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับฮามามัตสึคร่าวๆ ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักฮามามัตสึ (Hamamatsu)
ฮามามัตสึเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ นักโบราณคดีญี่ปุ่นได้พบหลักฐานว่ามีผู้คนอาศัยที่นี่มาตั้งแต่ช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะฮามามัตสึตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ ซึ่งมีทรัพยากรทั้งผืนดินและผืนน้ำที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ในช่วงยุคนารา ฮามามัตสึได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นเมืองสำคัญ โดยเป็นถึงเมืองหลวงของจังหวัดโทโตมิ จังหวัดโบราณของญี่ปุ่นครับ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 16 ฮามามัตสึได้กลายเป็นเมืองปราสาท เพราะตระกูลอิมากาว่า (Imagawa Clan) ที่ปกครองพื้นที่แถบนี้ได้สร้างปราสาทฮิคุมะขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานจากไดเมียวคนอื่นครับ
อย่างไรก็ดีตระกูลอิมากาว่าได้พ่ายแพ้ต่อตระกูลโอดะในศึกโอเคฮาซามะ ทำให้ฐานอำนาจเสื่อมถอยลง จนสุดท้ายก็หมดสิ้นอำนาจ ดินแดนแถบนี้จึงตกไปอยู่ในการปกครองของตระกูลโตกุกาวะ โดยโตกุกาวะ อิเอยาสึได้สร้างปราสาทแห่งใหม่ขึ้นชื่อว่าปราสาทฮามามัตสึ และได้ย้ายฐานอำนาจของตนมาตั้งอยู่ที่นี่
ในช่วงสมัยโชกุนโตกุกาวะ ฮามามัตสึยังคงรุ่งโรจน์ในฐานะเมืองปราสาท รวมไปถึงเมืองที่พักนักเดินทาง เพราะเป็นเมืองสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณทางหลวงไทไคโด (Tokaido) ที่เชื่อมเอโดะกับเกียวโต นักเดินทางจำนวนมหาศาลจึงเดินทางผ่านที่นี่ไปในแต่ละปีครับ ผู้ปกครองที่นี่คือเหล่าฟุไดไดเมียวที่ใกล้ชิดกับโชกุน ซึ่งได้ถูกสลับผัดเปลี่ยนกันมาปกครองที่นี่ (ต่างจากเมืองอื่นๆ อย่างเซนไดที่ถูกปกครองยาวๆ โดยตระกูลดาเตะครับ)
ช่วงยุคเมจิเป็นช่วงที่มีการจัดการปกครองใหม่ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้รวมฮามามัตสึเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดชิซุโอกะ และได้ปรับเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก กองทัพอากาศญี่ปุ่นเองก็เคยตั้งฐานทัพที่นี่อีกด้วย ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่ตัวเมืองจะโดนทิ้งระเบิดหนักมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนทำให้ตัวเมืองเดิมได้รับความเสียหายถึง 60% ครับ
ในช่วงหลังสงคราม ฮามามัตสึได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าส่งออกอย่างมาก ตั้งแต่จักรยานยนต์ไปจนถึงอุปกรณ์ดนตรีต่างๆ ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปฮามามัตสึทำอย่างไร?
ฮามามัตสึเป็นฮับการคมนาคมที่สำคัญของภูมิภาค ดังนั้นคุณสามารถนั่ง Tokaido Shinkansen (Kodama ทุกขบวน และ Hikari บางขบวนเท่านั้น) ไปได้จากสถานีโตเกียว เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ที่ชินคันเซนสายนี้ผ่านอย่างเช่นนาโกย่า โอซาก้า เกียวโต หรือโอดาวาระครับ
การสัญจรในเมืองฮามามัตสึทำอย่างไร?
การสัญจรในเมืองและบริเวณโดยรอบจะใช้บริการรถไฟและรถประจำทางของ Entetsu Bus เป็นแกนหลัก แต่ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายมากกว่านั้น คุณจะต้องใช้บริการแท็กซี่หรือว่าเช่ารถมาเองครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Hamamatsu Japan โปรดตรวจสอบที่ต้นทางอีกครั้ง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ
1. ทะเลสาบฮามานะ
ทะเลสาบฮามานะ (Lake Hamana) หรือฮามานะโกะ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อน แต่เนื่องจากแผ่นดินใหญ่ขนาดใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 15 ได้ทำให้พื้นดินที่กั้นระหว่างทะเลสาบกับมหาสมุทรแปซิฟิกยุบตัวลง ตัวทะเลสาบจึงกลายเป็นทะเลสาบน้ำเค็มครับ
วิธีการชมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือนั่งกระเช้า Kanzanji Ropeway (1,100 เยนต่อคน) กระเช้าแห่งเดียวของญี่ปุ่นที่พาดผ่านผืนทะเลสาบ และนำคุณขึ้นไปสู่ยอดของภูเขาโอคุสะ (Mt.Okusa) ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงแล้วคุณจะเห็นวิวทะเลสาบจากมุมสูงแบบสวยงามมาก เช่นเดียวกับตัวเมืองฮามามัตสึและมหาสมุทรแปซิฟิกครับ
สำหรับใครที่อยากได้ประสบการณ์ที่ใกล้ชิดกว่านี้ คุณสามารถเลือกล่องเรือได้เช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงล่องเรือแบบพิเศษช่วงกลางคืนที่จะนำคุณไปชมการจับปลาแบบพื้นเมืองโดยการใช้หอกที่สืบเนื่องกันนานกว่าศตวรรษครับ แต่ทัวร์หลังนี้จะแพงหน่อยเพราะเป็นกิจกรรมพิเศษจริงๆ ราคาอาจจะเริ่มต้นที่ 40,000-50,000 เยนต่อคนเลยครับ
จุดที่คนนิยมไปถ่ายรูปกันคือที่สะพานชิบุกิ (Shibuki Bridge) สะพานโค้งสีแดงที่มีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ครับ
2. คันซันจิออนเซ็น
คันซันจิอออนเซ็น (Kanzanji Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นที่อยู่ริมทะเลสาบฮามานะ ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นที่นิยมมาแช่ออนเซ็นผ่อนคลายที่โรงอาบน้ำและเรียวกังที่เปิดให้บริการริมทะเลสาบครับ
นอกเหนือจากออนเซ็นแล้ว คันซันจิออนเซ็นยังมีสถานที่หลายแห่งที่น่าสนใจอย่างเช่นวัดคันซันจิ (Kanzanji Temple) วัดที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 โดยเป็นสถานที่ประดิษฐานขององค์พระโพธิสัตว์จิโซะ (หรือกษิติครรภโพธิสัตว์) ซึ่งตามความเชื่อของญี่ปุ่นนั้นศักดิ์สิทธิ์มากในเรื่องของการหาคู่ ศาสนิกจึงมักเดินทางมาเขียนแผ่นไม้เพื่อขอคู่ครองที่ดีงามที่วัดแห่งนี้ครับ นอกจากนี้ยังมีพระโพธิสัตว์กวนอิม (หรือคันนง) สูง 16 เมตรให้ได้สักการะด้วยครับ
ใกล้กับวัดคันซันจิมีร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังอย่าง Kanzanjien ที่เสิร์ฟอุนาด้ง (ข้าวหน้าปลาไหลย่าง) เช่นเดียวกับเมนูปลาไหลอื่นๆ ทีเด็ดของที่นี่คือปลาไหลทุกตัวจะเป็นของพื้นเมืองทั้งหมด ทำให้รสชาติยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ตัวร้านยังอยู่ริมทะเลสาบ ทำให้คุณนั่งชมวิวไปพร้อมๆ กับลิ้มรสความอร่อยของข้าวหน้าปลาไหลไปด้วยพร้อมๆ กันครับ
3. สวนดอกไม้ฮามามัตสึ
สวนดอกไม้ฮามามัตสึ (Hamamatsu Flower Park) เป็นสวนพฤษภศาสตร์ที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบฮามานะ ด้านในมีดอกไม้มากมายถึง 3,000 ชนิดด้วยกันให้ชมทั้งในรูปแบบ indoor และ outdoor ตั้งแต่ทิวลิป กุหลาบ ซากุระ และ wisteria และอื่นๆ อีกมากมาย
อย่างไรก็ดีดอกเหล่านี้ไม่ได้บานพร้อมกันครับ จริงๆแล้วทางสวนดอกไม้ได้มีเอกสารว่าช่วงไหนจะมีอะไรบานบ้างตลอดทั้งปี แต่น่าเสียดายที่ตัวเอกสารเป็นภาษาญี่ปุ่นครับ ถ้าจะเอาชัวร์จริงๆ ไปช่วงเทศกาล Lake Hamana Flower Festa (ปลายมีนาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน) จะดีที่สุด เพราะช่วงนั้นดอกไม้สวยๆ จะบานให้ชมมากมายครับ
แต่ถ้าไปช่วงเดือนธันวาคม ทางสวนจะมีการประดับประดาสวนด้วยดวงไฟตอนกลางคืน (เหมือนกับที่อาชิคางะ) ซึ่งจะให้ความงามในอีกรูปแบบหนึ่งครับ
นอกเหนือจากสวนดอกไม้แล้ว ในสวนยังมีกิจกรรมอื่นๆ ด้วย เช่นชิงช้าสวรรค์ สนามเล่นเด็ก ตลอดจนรถไฟชมสวน และจับจ่ายซื้อของฝากครับ
ในส่วนของค่าเข้าจะอยู่ที่ 800 เยนต่อคน (อ้างอิงจากเว็บทางการของสวนดอกไม้)
4. เบนเทนจิมะ
เบนเทนจิมะ (Bentenjima) เป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณที่ทะเลสาบฮามานะและมหาสมุทรแปซิฟิกมาบรรจบกัน ที่นี่เป็นจุดชมวิวตะวันตกดินที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของฮามามัตสึ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณประตูโทริอิขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ครับ
ถ้าคุณไปในช่วงฤดูหนาว (ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนมกราคม) และเตรียมกล้องดีๆ คุณมีโอกาสได้ภาพสุดสวยที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าอยู่ตรงกลางของประตูสูง 18 เมตรแห่งนี้พอดีครับ
5. ปราสาทฮามามัตสึ
ปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle) เป็นปราสาทโบราณที่เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองแห่งนี้ ซึ่งโตกุกาวะ อิเอยาสึเคยสร้างและพำนักอยู่ที่นี่ หลังจากที่อิเอยาสึล่วงลับไปแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งรัฐบาลโชกุนมักจะส่งไดเมียวที่ไว้ใจและตั้งใจจะให้เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นมาประจำที่นี่ ตัวปราสาทจึงมีชื่อเล่นว่าปราสาทแห่งความสำเร็จครับ
อย่างไรก็ดีตัวปราสาทถูกรื้อถอนไปหมดแล้วในช่วงยุคเมจิที่รัฐบาลมีนโยบายให้ทำลายสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับระบอบไดเมียว แต่สุดท้ายก็ให้สร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1958 ครับ แม้ว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้อย่างสวยงาม แต่โดยส่วนตัวนั้นผมรู้สึกเสียดายของเดิม เพราะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากครับ
ปัจจุบันพื้นที่บริเวณปราสาทได้กลายเป็นสวนสาธารณะที่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง และมีต้นซากุระ 350 ต้นและใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมครับ
ใกล้กับปราสาทมีโรงน้ำชาชื่อโชอินเต (Shointei) ที่มีบรรยากาศร่มรื่น คุณสามารถลิ้มลองชาเขียว รวมไปถึงชมพิธีชงชาที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของญี่ปุ่นได้ด้วยครับ
6. ชมวัดต่างๆ
ฮามามัตสึมีวัดหลายแห่งที่สวยงาม และเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญระดับประเทศ อาทิเช่น
วัดเรียวทันจิ (Ryotanji Temple) – วัดนิกายเซนที่มีปูมหลังย้อนไปได้ถึงสมัยนารา ด้านในมีสวนญี่ปุ่นที่สวยมากอันเป็นผลงานของสถาปนิกและนักจัดสวนระดับปรมาจารย์อย่างโคโบริ เอ็นชู รวมไปถึงอาคารที่มีพื้นแบบอูกุอิสุบาริ (Uguisubari) กล่าวคือเวลาที่เหยียบย่างลงไปจะมีเสียงเหมือนนกร้องออกมา ซึ่งช่วยระวังป้องกันการลอบสังหารครับ
วัดมายะคาจิ (Mayakaji Temple) – วัดซึ่งสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมเฮอันที่หาชมได้ยากในตอนกลางของญี่ปุ่น ด้านในมีสวนสวยที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงสมัยคามาคุระ เช่นเดียวกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือครับ
วัดโชซังโฮรินจิ (Shosan Horinji Temple) – วัดสไตล์จีนซึ่งประดิษฐานหินชื่อคินไมเซกิที่เชื่อกันว่าช่วยให้การค้าของผู้สัมผัสมั่งคั่งครับ
7. Yamaha Innovation Road
ยามาฮ่า (Yamaha) เป็นบริษัทผู้ผลิตดนตรีที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะน่าจะเคยเห็นสถาบันสอนดนตรีของบริษัทอยู่บ้างตามห้าง ซึ่ง Yamaha Innovation Road แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ของเครือบริษัทยามาฮ่า ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเมืองฮามามัตสึแห่งนี้นี่เองครับ
ด้านในพิพิธภัณฑ์จะเล่าเรื่องราวและจัดแสดงเครื่องดนตรีตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยามาฮ่ายังเป็นผู้ผลิตเล็กๆ จนปัจจุบันเป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีชั้นนำของโลกครับ ทั้งนี้คุณเข้าชมทางพิพิธภัณฑ์ได้ฟรี แต่ต้องจองก่อนล่วงหน้าครับ
8. เก็บสตรอเบอรี่และเมลอน
เมืองฮามามัตสึมีฟาร์มสตรอเบอรี่คุณภาพที่ให้คุณเก็บและกินได้อย่างไม่จำกัดอยู่หลายแห่ง สตรอเบอรี่ส่วนมากจะเป็นสายพันธุ์อาคิฮิเมะที่มีรสหวานอมเปรี้ยว โดยจะมีให้เก็บในช่วงเดือนมกราคมถึงต้นเดือนพฤษภาคมครับ
ค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 เยนต่อคน โดยเวลาที่ให้เก็บจะอยู่ที่ 30-60 นาที (แล้วแต่ที่) ทั้งนี้ทุกแห่งจะมีนมข้นให้บริการด้วย ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมนำสตรอเบอรี่มาจิ้มนมข้นเพื่อรับประทานครับ
ฟาร์มที่น่าสนใจได้แก่ Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika ซึ่งมีพื้นที่ปลูกสตรอเบอรี่และผลไม้อื่นๆ ใหญ่เป็นห้าเท่าของ Tokyo Dome ด้านในสวนพร้อมไปด้วยกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับนักท่องเที่ยวครับ
อีกหนึ่งผลไม้ที่นิยมไปเก็บกันคือที่เมลอน โดยฟาร์มที่น่าสนใจได้แก่ Kashima Harvest ซึ่งจะเปิดให้เก็บในช่วงกรกฎาคมถึงสิงหาคม แต่แน่นอนว่าราคาจะสูงกว่าสตรอเบอรี่ โดยราคาจะอยู่ที่ 5,500 เยนต่อคนครับ
9. ชิมเกี๊ยวซ่าและอาหารพื้นเมืองอื่นๆ
ฮามามัตสึเป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องเกี๊ยวซ่าไม่แพ้อุสึโนะมิยะ ดังนั้นภายในเมืองจะมีร้านขายฮามามัตสึเกี๊ยวซ่าแทบทุกตรอกซอกซอยเลยครับ โดยร้านที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงคือ Ishimatsu Gyoza ที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1953
เกี๊ยวซ่าของฮานามัตสึกลมกล่อมเพราะมีส่วนผสมของวัตถุดิบชั้นเลิศที่สุดแสนจะลงตัว ตัวซอสที่มีรสหวานนิดๆ นั้นเข้ากันได้ดีมากกับความชุ่มฉ่ำของตัวเกี๊ยวครับ จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือเกี๊ยวซ่าของเมืองนี้มักจะเสิร์ฟคู่กับถั่วงอกเป็นเครื่องเคียงครับ
อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดคือข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งมีชื่อเสียงหลายร้าน อย่างเช่น Kanerin หรือ Unagi Fujita Hamamatsu Ekimae ซึ่งเจ้าหลังนั้นเปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1892 เลยทีเดียว ใครที่รักอูนาด้ง ห้ามพลาดทุกประการครับ
References
- Hamamatsu Japan
- In Hamamatsu
- Kanzanji Ropeway Official Site
- e-flower Park (Hamamatsu Park Official Site)