หางโจว (Hangzhou) เป็นเมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน ตัวเมืองเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยในภาคตะวันออกเป็นรองแค่เมืองเซี่ยงไฮ้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวนั้น หางโจวก็มีหลายสถานที่ที่โด่งดัง เฉพาะอย่างยิ่งทะเลสาบซีหูที่ได้รับการยกย่องเรื่องทัศนียภาพมาตั้งแต่โบราณครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับหางโจวคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองหางโจว (Hangzhou)
เมืองหางโจวตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวหางโจว ทำให้ตัวเมืองมีลักษณะเป็นเมืองท่าทางธรรมชาติมาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ด้วยความที่มีแม่น้ำเฉียนถังไหลผ่าน พื้นที่โดยรอบจึงมีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาทุกยุคทุกสมัย
ความเป็นมาของเมืองหางโจวนั้นย้อนไปได้ถึงยุคชุนชิวจ้านกว๋อ หรือว่ายุคก่อนที่ฉินสื่อหวงตี้ (จิ๋นซีฮ่องเต้) จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง โดยพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวไป๋เยว่ ก่อนที่จะถูกปกครองโดยราชวงศ์ฉินในเวลาต่อมา
เมืองหางโจวยังคงเป็นเมืองเล็กๆ ในสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น ก่อนที่จะได้รับสถานะเป็นเมืองเอกของจังหวัดในศตวรรษที่ 6 และทวีความสำคัญขึ้นไปอีก เพราะตั้งอยู่ติดกับคลองต้าอวิ๋นเหอ คลองใหญ่ที่เชื่อมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของจีน ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังได้มีการปรับปรุงระบบชลประทาน ทำให้ปัญหาเรื่องน้ำลดลงไป ช่วยให้การเพาะปลูกทำได้ดีขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นตัวเมืองจึงเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เพราะบทบาทในการลำเลียงเสบียงอาหารจากภาคใต้ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นไปยังภาคกลางและภาคเหนือ
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 10 แผ่นดินจีนแตกออกเป็นหลายแคว้นหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถัง ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ตกอยู่ในการปกครองของอาณาจักรอู๋เยว่ ซึ่งปฐมจักรพรรดิได้เลือกเมืองหางโจวเป็นเมืองหลวง หลังจากนั้นหางโจวจึงได้เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคใต้ครับ
ในศตวรรษที่ 12 ราชวงศ์ซ่งที่ปกครองจีนในเวลานั้นเสียเมืองหลวงเปียนจิง (ปัจจุบันคือไคเฟิง) ให้กับราชวงศ์จิน ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์หลบหนีลงใต้มาตั้งเมืองหลวงที่หางโจว (ชื่อเมืองในเวลานั้นคือหลินอาน) ช่วงเวลานี้เองที่หางโจวรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และเรียกได้ว่าเป็นเมืองเอกอันดับ 1 ของโลกในเวลานั้น
นักเดินทางชาวอิตาเลียนและอาหรับเขียนบันทึกไว้ว่าหางโจวมั่งคั่งไปด้วยผู้คน สะพานในเมืองมีมากถึง 12,000 แห่ง แถมเสบียงอาหารต่างๆ ก็บริบูรณ์แม้ว่าจะมีประชากรจำนวนมาก (บ้างว่าอาจมากถึง 2 ล้านคนและบ้านอีกหลายแสนหลัง)
หลังจากนั้นหางโจวยังคงเป็นเมืองท่าสืบต่อมาจนกระทั่งในสมัยราชวงศ์หมิงที่แม่น้ำตื้นเขินลง จนสุดท้ายหางโจวจึงไม่ได้เป็นเมืองท่าหลักสำคัญเหมือนกับแต่ก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เมืองอย่างเซี่ยงไฮ้รุ่งโรจน์ขึ้นมา แต่ตัวเมืองก็ยังคงเป็นเมืองเอกของประเทศจีนสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 21 หางโจวเป็นเมืองที่โดดเด่นทางด้านการท่องเที่ยว และเทคโนโลยี โดยอย่างหลังนั้นหางโจวมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคืออาลีบาบา (Alibaba Group) นั่นเองครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองหางโจวทำอย่างไร?
ไปเที่ยวหางโจวช่วงไหนดี?
หางโจวเที่ยวได้ทุกฤดูกาล แต่โดยส่วนตัวผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงฤดูร้อน เพราะว่าร้อนจัดไม่ต่างอะไรกับประเทศไทย อีกช่วงหนึ่งคือวันหยุดหลักๆ ของจีนไม่ว่าจะเป็นช่วงตรุษจีน ช่วงวันแรงงาน (สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม) และวันชาติ (สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม) ครับ
การสัญจรในเมืองหางโจวทำอย่างไร?
เมืองหางโจวมีทั้งรถไฟใต้ดิน (metro) ไปจนถึงรถประจำทางที่ให้คุณเดินทางไปอย่างจุดต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เพื่อความสะดวกสบาย แท็กซี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมครับ แท็กซี่จีนนั้นราคาไม่แพงและไว้ใจได้ ข้อควรระวังมีแค่อย่างเดียวนั่นคืออย่านั่งแท็กซี่เถื่อนครับ
1. ทะเลสาบซีหู
ทะเลสาบซีหู หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าทะเลสาบตะวันตก (West Lake) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองหางโจว ตัวทะเลสาบนั้นมีความสวยงามเลื่องลือมาตั้งแต่ในอดีต โดยกวีสมัยราชวงศ์ซ่งอย่างซูตงโพถึงกับแต่งบทกลอนเปรียบเทียบว่างามดุจดั่งนางไซซี หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีนเลยครับ
ความสวยงามนี้เองยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวญี่ปุ่นด้วย ทำให้ชาวญี่ปุ่นสร้างสระน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับทะเลสาบแห่งนี้ในสวนแบบญี่ปุ่นหลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นที่ฟุกุโอกะหรือฮิโรชิม่าครับ
จุดที่เป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งคือ Su Causeway หรือถนนที่สร้างขึ้นบนทำนบตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง และแบ่งทะเลสาบซีหูออกเป็นทะเลสาบส่วนนอกและส่วนใน ซึ่งวิวจากบริเวณนี้จะสวยงดงามเป็นอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดแน่นอนว่าคือที่สระดอกบัวขนาดใหญ่ที่มีดอกบัวผุดขึ้นให้ชมเหนือน้ำจำนวนมาก โดยโซนนี้จะมีเก๋งจีนเป็นฉากหลังด้วย เพราะฉะนั้นจะให้บรรยากาศสุดโรแมนติกเหมือนกับในซีรีส์จีนเลยครับ จุดนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ หรือเกือบหนึ่งพันปีก่อนครับ
ห่างไปไม่ไกลนักมีสระปลาคาร์ป (Red Carp Pond) ที่มีปลาสีสวยจำนวนมาก ตัวสระนั้นมีประวัติย้อนไปได้ถึงราชวงศ์ซ่งใต้เช่นเดียวกัน กล่าวคือมีขุนนางได้มาสร้างบ้านใกล้กับทะเลสาบ พร้อมกับขุดบ่อเลี้ยงปลาเหล่านี้ไว้
หลังจากนั้นที่นี่ก็ได้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเพราะปลาสีสวยเข้ากับภูมิประเทศอันสวยงามของทะเลสาบอย่างมาก คังซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ชิงเองก็เคยเสด็จมาชมความงามที่นี่ และได้ทรงทิ้งลายพระอักษรไว้ครับ
สำหรับใครที่อยากจะชมวิวมุมสูง คุณสามารถไปชมที่ได้ที่เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) ที่ตั้งอยู่ที่ทะเลสาบซีหูส่วนนอก แต่วิวทะเลสาบช่วงเย็นที่เห็นเจดีย์แห่งนี้ก็สวยงามไม่เบาเลยครับ ตัวเจดีย์นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 โดยฮ่องเต้แคว้นอู๋เย่ว์สร้างขึ้นเพื่อรับขวัญโอรสที่เกิดกับพระสนมคนโปรดครับ
จุดที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือจุดซานถานยิ่นเยว์ (Santanyinyue) หรือแปลเป็นไทยได้ว่าสามสระสะท้อนเงาจันทร์ (Three Pools Mirroring the Moon) จุดนี้สวยมากถึงขนาดไปปรากฏในธนบัตร 1 หยวนของจีนมาแล้วครับ อย่างไรก็ดีจุดนี้จะอยู่ในเกาะกลางทะเลสาบ วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือการล่องเรือชมทะเลสาบ (ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 55 หยวนต่อคน)
สระทั้งสามนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่สระน้ำสามแห่ง แต่เป็นคำเปรียบเปรยของเสาสามต้น (ที่ผุดขึ้นเหนือน้ำเล็กน้อย) และผืนน้ำโดยรอบ ในช่วงวันเพ็ญจะมีการจุดไฟเทียนบนเสาช่วงค่ำ ซึ่งจะล้อไปกับแสงของดวงจันทร์ที่สุกสว่าง บนพื้นน้ำจึงดูเหมือนว่ามีพระจันทร์ดวงเล็กดวงน้อยเต็มไปหมดครับ
ทั้งนี้การล่องเรือชมทะเลสาบซีหูเป็นกิจกรรมที่ผมประทับใจที่สุดในเมืองหางโจว ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ล่องครับ ราคาเองก็ไม่ได้สูงเกินไปด้วย คุณสามารถจองตั๋วเรือได้ที่นี่ครับ
2. Impression West Lake
Impression West Lake หรือ Enduring Memories of Hangzhou เป็นการแสดงแสงสีเสียงสุดอลังการในลักษณะคล้ายกับที่หยางซั่ว และลี่เจียง โดยแกนหลักนำเสนอวัฒนธรรมพื้นบ้าน เรื่องราวความรักพื้นเมืองของจีนที่จบลงด้วยความเศร้า ไปจนถึงการแสดง Swan Lake ซึ่งคุณจะต้องทึ่งกับ production ของพี่จีนที่จัดเต็มในทุกแง่มุมครับ
สถานที่แสดงแน่นอนว่าจัดแบบ outdoor ริมทะเลสาบ โดยคณะผู้แสดงจะร่ายรำเหนือผืนน้ำ เพราะฉะนั้นจะน่าตื่นตาในตัวเองอยู่แล้ว แถมด้วยดนตรีที่จัดเต็มทั้งแบบพื้นบ้านและตะวันตกครับ
อย่างไรก็ดีค่าดูถือว่าสูงพอสมควรสำหรับการแสดง 60-90 นาที ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท ทั้งนี้คุณสามารถจองตั๋วได้ผ่าน Trip.com ครับ
3. สุสานแม่ทัพเย่ว์เฟย
สุสานแม่ทัพเย่ว์เฟย (Tomb of General Yue Fei) เป็นสุสานของเย่ว์เฟย แม่ทัพของราชวงศ์ซ่งใต้ที่ทำหน้าที่ขับไล่กองทัพศัตรูจากทางเหนืออย่างกล้าแกร่ง และถึงกับตีชิงเมืองที่เสียไปในภาคเหนือกลับคืนมาด้วย แต่สุดท้ายเขากลับถูกใส่ร้ายและต้องสิ้นชีวิตอย่างไร้ความผิด ชาวจีนจึงยกย่องว่าเทพเจ้าแห่งความจงรักภักดีครับ
ตรงกลางศาลเจ้าจะมีเย่ว์เฟยแต่งกายในชุดแม่ทัพตั้งอยู่ เช่นเดียวกับหลุมฝังศพของเขาและบุตรชาย (ที่สิ้นชีวิตในเหตุการณ์เดียวกัน)
แต่ที่พีคที่สุดคือมีรูปปั้นของฉินไคว่ มหาเสนาบดีผู้ใส่ความเย่ว์เฟยว่าจะเป็นกบฏจนต้องตาย เช่นเดียวกับภรรยาและคนรับใช้อีก 2 คนในสภาพนั่งคุกเข่าอยู่หน้าศาล ชาวจีนในสมัยโบราณเวลามาเยือนที่นี่ก็จะก่นด่ารูปปั้นเหล่านี้ หรืออาจจะทำอะไรมากกว่านั้นเพื่อระบายความโกรธแค้นครับ
4. วัดหลิงยิ่น
วัดหลิงยิ่น (Lingyin Temple) เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออกหรือตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 4-5 ทำให้เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน แต่ได้รับการขยายใหญ่ขึ้นในสมัยอาณาจักรอู๋เยว์ และกลายเป็นวัดหลวงขนาดใหญ่โตที่มีห้องหับสามร้อยกว่าห้อง
อย่างไรก็ดีตัววัดจากสมัยนั้นพังทลายไปหมดแล้วจากไฟสงครามเช่นเดียวกับการทำลายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม สิ่งที่เห็นจึงเป็นการสร้างใหม่ในช่วงทศวรรษ 70-80 ครับ
ด้านในของวัดได้ประดิษฐานพระพุทธรูปไม้ของพระศากยมุนี (เจ้าชายสิทธัตถะ) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในจีน ตัวองค์พระได้ประดิษฐานอยู่ในหอพระชั้นเดียวที่มีสูงถึง 33 เมตร และเป็นอาคารชั้นเดียวที่สูงที่สุดในประเทศครับ นอกจากนี้ยังมีองค์พระเมตไตรย พระโพธิสัตว์กวนอิม ไปจนถึงท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อีกด้วย
5. เจดีย์หลิวเหอ
เจดีย์หลิวเหอ (Liuhe Pagoda) เป็นเจดีย์แบบจีนที่ตั้งอยู่บนภูเขาทางตอนใต้ของทะเลสาบซีหู และหันหน้าไปยังแม่น้ำเฉียนถัง ตัวเจดีย์มีลักษณะเป็นรูป 8 เหลี่ยม และสูงประมาณ 60 เมตรครับ
ถ้าดูจากด้านนอกคุณจะเห็นว่าเจดีย์นี้มี 13 ชั้น แต่ถ้าเข้าไปข้างในจะพบว่ามีแค่ 7 ชั้นเท่านั้น “ชั้น” ที่เห็นด้านนอกจะเป็นการหลอกตาครับ
นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาด้านบนสุดของเจดีย์เพื่อชมความสวยงามของเมืองหางโจว และชมความยิ่งใหญ่ของคลื่นแม่น้ำเฉียนถัง ซึ่งอาจสูงได้ถึง 9 เมตร และรุนแรงสูสีกับแม่น้ำแอมาซอนเพียงที่เดียวเท่านั้นในโลก โดยช่วงที่จะเห็นคลื่นดังกล่าวจะตรงกับช่วงปลายเดือนกันยายนครับ
6. ถนนชิงเหอฟาง
ถนนชิงเหอฟาง (Qinghefang Ancient Street) เป็นถนนคนเดินเก่าแก่ที่มีความเป็นมาหลายร้อยปี โดยที่นี่เป็นย่านการค้าที่สำคัญของเมืองหลินอาน ซึ่งมีสถานะเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งใต้ในเวลาดังกล่าว ปัจจุบันอาคารบ้านเรือนส่วนมากจะสืบทอดมาจากสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองเก่าหางโจวครับ
แต่ละอาคารได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ตลอดจนร้านค้าต่างๆ บางร้านนั้นมีความเป็นมาเกินกว่าศตวรรษ และยังคงสืบทอดกิจการของตระกูลจากรุ่นสู่รุ่นครับ
7. China National Silk Museum
China National Silk Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมชั้นนำของประเทศจีน ทั้งนี้ผ้าไหมเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น และมีชื่อเสียงในใต้หล้ามาเป็นผ้าคุณภาพเยี่ยมที่ไม่มีผ้าใดเสมอเหมือน แม้แต่ชนชั้นสูงโรมันเองก็โปรดปรานผ้าไหมจากอาณาจักร Seres (หมายถึงอาณาจักรจีน แต่มีความหมายตรงตัวว่าผ้าไหมครับ)
ทั้งนี้ในพิพิธภัณฑ์คุณจะได้เรียนรู้กระบวนการผลิตผ้าไหมอย่างละเอียด เช่นเดียวกับซื้อผ้าไหมจีนกลับไปได้ด้วย ตัวผมเองก็เคยซื้อผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมจีนแล้ว โดยส่วนตัวประทับใจมาก และเป็นผ้าห่มผืนที่ชอบที่สุดมาตราบจนถึงทุกวันนี้เลยครับ ถ้ามีโอกาสได้ไปหางโจวหรือซูโจวอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะซื้ออีก
8. หมู่บ้านเม่ยเจียวู้
หมู่บ้านเม่ยเจียวู้ (Meijiawu) เป็นหมู่บ้านที่มีอายุร่วมหกร้อยกว่าปี และมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงหลังเพราะมีไร่ชาหลงจิ่งขนาดใหญ่ และให้ผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยม รายรอบหมู่บ้านนั้นมีวิวที่สวยงามไม่น้อย เพราะไร่ชาที่เขียวชอุ่มถูกห้อมล้อมด้วยแนวภูเขาที่ตระการตาครับ
แน่นอนว่าคุณสามารถไปลองเก็บชา ลองดื่มชาหลงจิ่งระดับตำนานในโรงน้ำชากว่า 160 แห่ง เช่นเดียวกับซื้อชาไปเป็นของฝากให้กับผู้ใหญ่ที่คุณเคารพได้ด้วย ทั้งนี้ตัวหมู่บ้านอยู่ห่างจากหางโจวประมาณ 10 กิโลเมตร ทั้งนี้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เนื่องด้วยเป็นช่วงเก็บผลผลิตของที่นี่ครับ
9. Xixi National Wetland Park
Xixi National Wetland Park เป็นพื้นที่ราบชุ่มน้ำที่อยู่ห่างจากหางโจวประมาณ 5 กิโลเมตร โดยที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้นพลัมกว่า 3,000 ต้นที่ออกดอกให้ชมอย่างสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือว่าพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพืชและสัตว์
แต่สิ่งที่เป็นเหมือนไฮไลท์น่าจะเป็นหมู่บ้านริมน้ำที่ยังคงวิถีชีวิตแบบเดิมๆ เอาไว้ได้ นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนที่นี่มักจะไปนั่งเรือชมวิวกัน หรือว่าพายเรือไปตามลำธารที่สวยงามเพื่อชมภูมิประเทศสองข้างทางครับ