ฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นย่านที่ไม่เหมือนกับย่านอื่นในกรุงโตเกียว เพราะเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมคาวาอี้ (Kawaii) ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนิเมะ ใครที่ชื่นชอบอนิเมะหรือคอสเพลย์ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
สำหรับบทความนี้จะนำเสนอความเป็นมาของฮาราจูกุให้ทราบกันคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักฮาราจูกุ (Harajuku)
ฮาราจูกุนั้นตั้งอยู่ระหว่างชิบูย่าและชินจูกุ โดยครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สถานีรถไฟฮาราจูกุไปจนถึงโอโมโตะซานโด แม้ว่าจะเป็นย่านที่ในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมหนุ่มสาววัยเยาว์ แต่ความเป็นมาของย่านนี้นั้นย้อนกลับไปได้ถึงสมัยเฮอันเลยครับ โดยในช่วงนั้นฮาราจูกุเป็นเมื่องที่พักนักเดินทางของทางหลวงคามาคุระ (Kamakura Highway)
ต่อมาในช่วงยุคเอโดะ ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่พำนักของไดเมียว และซามูไรต่างๆ ที่เหล่าโชกุนโตกุกาวะไว้ใจให้ดูแลพื้นที่แถบนี้เพื่อป้องกันเหตุร้าย เนื่องจากบริเวณนี้ใกล้ตัวเมืองหลวงมากนั่นเอง ในช่วงนี้ชาวเมืองอยู่ได้ด้วยการทำสีข้าวและผลิตแป้ง ส่วนการทำการเกษตรไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เพราะว่าพื้นที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ครับ
ความเจริญของฮาราจูกุนั้นถือกำเนิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวคือกองทัพสหรัฐได้เข้ามาประจำการในกรุงโตเกียวใกล้กับฮาราจูกุ ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงเริ่มกิจการเพื่อให้บริการทหารอเมริกันที่บางคนก็นำครอบครัวติดมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านของเล่นเด็ก และร้านค้าต่างๆ สำหรับสินค้าแนวครอบครัวทั้งหลาย
พอเข้าช่วงปี 1970s ได้มีห้างใหญ่หลายแห่งมาเปิดที่ฮาราจูกุ ซึ่งห้างเหล่านี้ขายสินค้าสำหรับวัยรุ่น ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น เมื่อวัยรุ่นมาเที่ยวมากขึ้น ก็ได้มีการปิดถนนบางส่วนเพื่อใช้จัดแสดงดนตรีสดในช่วงสุดสัปดาห์ ฮาราจูกุจึงยิ่งได้รับความนิยมขึ้นไปอีก และกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนหนุ่มสาวไปโดยปริยาย
วัฒนธรรมคาวาอี้ที่ฮาราจูกุเริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ.1995 เพราะชายชื่อเซบาสเตียน มาซุดะ (Sebastian Masuda) ได้เปิดร้านขายเสื้อผ้าชื่อ 6%DokiDoki ขึ้นที่ฮาราจูกุ โดยร้านแห่งนี้ขายเสื้อผ้าแฟชั่นสีสันฉูดฉาดแนวคาวาอี้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สาเหตุหนึ่งที่ร้านนี้ประสบความสำเร็จจากความนิยมในมังงะตาหวาน และอนิเมะอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 1970-1980 ครับ
ความสำเร็จของ 6%DokiDoki ได้เปลี่ยนฮาราจูกุไปตลอดกาล คาเฟ่และร้านค้าต่างๆ แนวคาวาอี้ได้ถูกเปิดขึ้นอย่างมากมายหลังจากนั้น และได้เปลี่ยนตัวย่านได้กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมคาวาอี้มาจนถึงปัจจุบัน
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปย่านฮาราจูกุทำอย่างไร?
ย่านฮาราจูกุเดินทางไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะ Harajuku Station มีรถไฟ JR Yamanote Line ผ่าน เพราะฉะนั้นคุณสามารถเดินทางมาได้ไม่ยากจากชินจูกุ อุเอโนะ ชิบูย่า หรือว่าอากิฮาบาระครับ
อีกทางเลือกหนึ่งคือลงที่สถานี Meiji-Jingumae Station ที่มี Chiyoda Line (ผ่านอากาซากะและโอโมเตะซานโด) หรือ Fukutoshin Line (ผ่านอิเคบุคุโระและชิบูย่า) ครับ
1. ถนนทาเคชิตะ
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) คือศูนย์กลางของย่านฮาราจูกุ ที่นี่เป็นถนนคนเดินขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ามากมาย ตั้งแต่ร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับราคาไม่แพง ไปจนถึงร้าน 100 เยนที่จำหน่ายสินค้าราคาย่อมเยา ทำให้เหมาะต่อการมาช้อปปิ้ง หรือว่าสัมผัสบรรยากาศของฮาราจูกุครับ
ถนนอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ Cat Street ซึ่งอยู่ใกล้กับโอโมเตะซานโด บรรยากาศของถนนคนเดินแห่งนี้จะยังมีความเป็นฮาราจูกุอยู่บ้าง แต่จะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะฉะนั้นมีร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ มากกว่า แต่คนจะน้อยกว่าที่ถนนทาเคชิตะครับ
2. ชมแฟชั่นแนวคาวาอี้
การมาชมแฟชั่นที่ฮาราจูกุน่าจะเป็นกิจกรรมอันดับ 1 ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะคุณมีโอกาสได้เห็นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นแต่งกายในชุดสีสันฉูดฉาด หรือแม้กระทั่งคอสเพลย์เป็นตัวละครจากอนิเมะเรื่องดัง
สไตล์ที่พบเห็นได้ไม่ยากมีตั้งแต่ Decora Kei ที่เป็นแฟชั่นชุดหลากสีแสบตา ไปจนถึงสีขาวดำของ Harajuku Punk ครับ ใครที่หลงรักการคอสเพลย์อาจจะเลือกซื้อเสื้อผ้าและผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาถ่ายรูปลง instagram เพื่อเป็นที่ระลึกครับ
3. ชิมอาหารสีสวยอันเป็นเอกลักษณ์
อีกหนึ่งสิ่งที่ iconic สุดๆ ของฮาราจูกุก็คืออาหารสีสวยทั้งหลายที่คุณหารับประทานได้จากคาเฟ่มากมายในย่านฮาราจูกุ โดยเมนูที่ฮิตที่สุดแน่นอนว่าคือเครปสีชมพูใส่สตรอเบอรี่ แต่คุณสามารถพลิกแพลงไปได้อีกหลายสิบรูปแบบเลยครับ
เมนูอื่นที่ไม่ควรพลาดคืออาหารสีรุ้งทั้งหลายที่แต่ละคาเฟ่รังสรรค์มาให้ลูกค้าได้ลองชิมกัน ตั้งแต่ไอศกรีม ลูกอม ไปจนถึงชีสย่าง ซึ่งบางอย่างอาจจะมีให้ลองแค่ที่นี่เท่านั้นครับ
4. คาเฟ่สัตว์
คนไทยน่าจะคุ้นเคยกับคาเฟ่สุนัขที่มีสุนัขมากมายมาให้เล่น แต่ที่ฮาราจูกุนั้นคาเฟ่สัตว์ไปไกลกว่านั้นมาก โดยคาเฟ่สัตว์ของที่นี่มีตั้งแต่คาเฟ่นกฮูก/นกเค้าแมว (Harajuku Owl Cafe) คาเฟ่เฮดจ์ฮ็อก (HARRY) ไปจนถึงคาเฟ่งู (Tokyo Snake Center) ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ advanced กว่าที่ไทยไปอีกกระดับหนึ่ง
ใครที่ชอบสัตว์เหล่านี้และอยากสัมผัสพวกมันอย่างใกล้ชิดนอกสวนสัตว์ คุณไม่ควรพลาดเลยครับ
5. สวนโยโยกิ
สวนโยโยกิ (Yoyogi Park) เป็นสวนอันร่มรื่นที่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ด้านในมีสระน้ำพร้อมกับน้ำพุ ที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันเงียบสงบและร่มรื่น ชาวญี่ปุ่นนิยมมานั่งปิกนิกกันที่นี่ครับ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเป็นสองช่วงที่สวนโยโยกิจะสวยเป็นพิเศษ เพราะมีซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีนั่นเองครับ