ฮิเมจิ (Himeji) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะของประเทศญี่ปุ่น ตัวเมืองมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวเพราะมีปราสาทแบบญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งที่ปรากฏในภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง ซึ่งรวมไปถึง Last Samurai ที่นำแสดงโดย Tom Cruise ครับ
อย่างไรก็ดีฮิเมจินั้นมีดีมากกว่านั้น จะมีอะไรบ้าง ติดตามเพิ่มเติมได้ในบทความครับ
รู้จักเมืองฮิเมจิ (Himeji)
เมืองฮิเมจิมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคนารา (ช่วงศตวรรษที่ 8) โดยเป็นเมืองเอกของจังหวัดโบราณชื่อฮาริมะ ต่อมาในช่วงยุคเซ็นโกกุ ตระกูลอิเคดะได้ครอบครองเมืองนี้และได้ขยายปราสาทให้ใหญ่โตยิ่งขึ้น ทำให้ฮิเมจิเป็นปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่ง โดยคุมทางหลวงที่นำไปสู่เมืองนาราและเกียวโตครับ
ตัวเมืองได้พัฒนาเป็นเมืองสำคัญในสมัยเอโดะ และเป็นที่มั่นสำคัญของรัฐบาลโชกุนโตกุกาวะในสงครามโบชิน แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งได้ล้มเลิกระบบไดเมียว และเปลี่ยนการปกครองส่วนภูมิภาค โดยให้เมืองฮิเมจิเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเฮียวโกะในปัจจุบัน
ในปี ค.ศ.1923 ได้เกิดแผ่นดินไหวเขตคันโต ทำให้โตเกียวได้รับความเสียหายหนักมาก รัฐบาลญี่ปุ่นเคยคิดจะย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่ฮิเมจิ แต่การย้ายก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิเมจิโดนทิ้งระเบิดโดยกองทัพสหรัฐอย่างหนักหน่วง เพราะฮิเมจิเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและเป็นเมืองอุตสาหกรรมด้วย ตัวเมืองจึงได้รับความเสียหายยับเยิน แต่เคราะห์ดีที่ปราสาทฮิเมจิรอดมาได้
หลังจากช่วงสงคราม ฮิเมจิได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่เป็นเมืองอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนหลายล้านคนที่หลั่งไหลมาชมปราสาทฮิเมจิในทุกๆ ปีครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองฮิเมจิทำอย่างไร?
ฮิเมจิเป็นเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ดังนั้นการเดินทางจึงง่ายดายและสะดวกสบาย โดยมีวิธีการต่อไปนี้ครับ
จากโอซาก้า
ชินคันเซน – Sanyo Shinkansen (Hikari และ Kodama ทุกขบวน หรือ Mizuho/Sakura/Nozomi บางขบวน) จะนำคุณจากสถานี Shin-Osaka Station ไปยังสถานี Himeji Station ภายในเวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าตัวเลือกอื่น แต่ถ้าซื้อ Japan Rail Pass มาแล้ว คุณจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
รถไฟ – นอกจากชินคันเซนแล้ว คุณสามารถใช้บริการรถไฟ Special Rapid Service ของ JR ได้เช่นกัน ซึ่งราคาจะถูกกว่าชินคันเซน แต่จะใช้เวลามากกว่าครับ
สำหรับรอบรถไฟนั้น ผมแนะนำให้ตรวจสอบผ่านเว็บของ JR West เพื่อได้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดครับ
รถบัส – ถ้าคุณลงเครื่องที่สนามบินคันไซ จะมีรถบัสให้บริการจากสนามบินไปที่ Himeji Station Bus Terminal ได้โดยตรง เวลาที่ใช้จะอยู่ที่สองชั่วโมงเศษครับ
จากโกเบ
ชินคันเซน – Shin-Kobe Station อยู่ห่างจาก Himeji Station เพียงสถานีเดียวเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถใช้บริการของ Sanyo Shinkansen เดินทางไปจากโกเบได้เหมือนกับจากโอซาก้าครับ
รถไฟ – อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือใช้บริการ Special Rapid Service ที่วิ่งบน JR Kobe Line ซึ่งคุณจะขึ้นได้จากสถานี Sannomiya หรือ Kobe Station เวลาที่ใช้บนรถไฟจะมากกว่าชินคันเซน แต่คิดเป็นเที่ยวเดียวจะถูกกว่าครับ
อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจคือการเช่ารถ คุณอาจจะเช่าที่เมืองที่ใหญ่กว่าอย่างโอซาก้าและโกเบ แล้วขับมาก็ได้ครับ หรือว่ามาเช่าที่ฮิเมจิก็ได้เช่นกัน
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Visit Himeji เว็บทางการของการท่องเที่ยวเมืองฮิเมจิ โปรดตรวจสอบข้อมูลที่ต้นทางอีกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลส่วนนี้อาจเปลี่ยนได้ครับ
การสัญจรในเมืองฮิเมจิทำอย่างไร
เมืองฮิเมจินั้นมีระบบขนส่งมวลชนที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบ โดยมีทั้งรถบัส รถไฟ ไปจนถึงแท็กซี่และเรือเฟอร์รี่ ทั้งนี้คุณสามารถซื้อ Hyogo Amazing Pass ซึ่งจะให้คุณนั่งรถบัสสีส้ม (Shinki) ได้อย่างไม่จำกัด (แต่จะไม่รวม Himeji Castle Loop Bus) โดยสนนราคาอยู่ที่ 1,000 เยนต่อวันครับ
ฮิเมจิเป็นตัวเลือกที่พักอันยอดเยี่ยมเพราะว่าถูกกว่าเมืองใหญ่อย่างเกียวโต โอซาก้า และโกเบ ใครที่อยากพักที่นี่โปรดอ่านบทความที่พักฮิเมจิน่าจองของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เป็นปราสาทอันทรงคุณค่าที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ความสุดยอดของปราสาทแห่งนี้อยู่ที่ตัวปราสาทนั้นเป็นของเดิมอายุ 400 ปีจากสมัยเอโดะแบบแทบจะ 100% ต่างจากปราสาทแห่งอื่นๆที่เป็นการสร้างขึ้นใหม่ในยุคหลังครับ
ตัวปราสาทนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 ขึ้นแทนที่ปราสาทเดิมในพื้นที่เดียวกันที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 และรอดพ้นการถูกทำลายมาได้อย่างไม่น่าเชื่อหลายต่อหลายครั้ง
อย่างในปี ค.ศ.1871 นั้นรัฐบาลญี่ปุ่นออกกฎหมายให้ทำลายปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ของระบอบเก่า ปราสาทฮิเมจิรอดพ้นมาได้เพราะการคัดค้านอย่างสุดแรงของนายทหารชื่อนากามูระ ชิเกโตะ แต่ด้วยความที่การบำรุงรักษานั้นมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเปิดขายปราสาทด้วยการประมูล ปรากฏว่ามีผู้ประมูลไปด้วยราคาเพียง 23 เยนเท่านั้น (หรือประมาณ 200,000 เยนหรือไม่ถึง 60,000 บาทถ้าวัดตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน)
สาเหตุที่ราคาถูกเช่นนั้นเพราะถ้าพื้นที่ส่วนนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ ผู้ซื้อก็ต้องทำลายปราสาททิ้งก่อน ดังนั้นเหล่านายทุนที่ดินจึงมองข้ามปราสาทแห่งนี้ไป ซึ่งพอผู้ซื้อปราสาทได้ซื้อไปนั้นก็พบว่าค่ารื้อถอนปราสาทนั้นสูงมากจนกว่าที่จะรับได้ไหว เขาจึงปล่อยปราสาททิ้งเอาไว้เฉยๆ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปราสาทฮิเมจิเคยโดนทิ้งระเบิดเพลิงอย่างจังๆ ครั้งหนึ่ง แต่ระเบิดเพลิงนั้นกลับไม่ระเบิดราวกับว่ามีเทพเจ้าคอยปกปักรักษาที่นี่ไว้อยู่ ล่วงเข้าปี ค.ศ.1956 รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้บูรณะที่นี่เป็นการใหญ่เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้ปราสาทแห่งนี้รอดพ้นการรื้อถอนแล้วอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่วายเจอกับแผ่นดินไหวใหญ่ในปี ค.ศ.1995 ที่สร้างความเสียหายมากมายกับเมืองโกเบ เมืองฮิเมจิ และพื้นที่โดยรอบ
ทว่าในตัวปราสาทกลับไม่เป็นอะไรเลย ขนาดที่ว่าขวดสาเกที่วางบนแท่นชั้นบนสุดของปราสาทก็ยังอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนไหว แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านวิศวกรรมของชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดีครับ
ปัจจุบันปรา่สาทฮิเมจิมีสีขาวสะอาด และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากเหมือนกับในอดีต ที่นี่จึงเป็นปราสาทที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อคุณได้เข้าไปถึงในตัวปราสาทนั้น คุณจะได้ชมกับหอรบที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ป้องกันศัตรูผู้รุกราน ไปจนถึงทางเดินที่เมืองกับเขาวงกตและแนวป้องกันอื่นๆ ที่เหล่าซามูไรเคยใช้ในสมัยโบราณครับ ส่วนด้านบนของตัวปราสาทนั้นเป็นจุดชมวิวชั้นยอดที่คุณจะได้ชมวิวมุมสูงของเมืองฮิเมจิและบริเวณโดยรอบอย่างชัดเจน
ตัวปราสาทจะสวยที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีการปลูกต้นซากุระเรียงรายกันไปในบริเวณปราสาท ซึ่งรับกับสีขาวอันงดงามของปราสาทฮิเมจิได้เป็นอย่างดีครับ ถ้ามีเวลา คุณอาจจะล่องเรือไปตามเส้นทางน้ำเก่าแก่ของตัวปราสาท และสัมผัสบรรยากาศได้อย่างเต็มอิ่มครับ
ค่าเข้าชม: 1,000 เยน
2. สวนโคโคเอ็น
สวนโคโคเอ็น (Kokoen Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นจุดชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีอันดับต้นๆ ของเมืองฮิเมจิ ปัจจุบันสวนแห่งนี้มีสวนย่อยอีก 9 แห่งอย่างเช่นสวนดอกไม้และสวนไผ่ให้คุณได้ชมทัศนียภาพในรูปแบบที่ต่างๆ กันครับ
ด้านในสวนโคโคเอ็นมีอาคารแบบญี่ปุ่นอยู่ด้วย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านพักของเหล่าซามูไร เช่นเดียวกับโรงน้ำชา ด้วยบรรยากาศอันสวยงามและเงียบสงบเช่นนี้ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ถ่ายทำยอดนิยมของซีรีส์และภาพยนตร์ญี่ปุ่นครับ ถ้ามีเวลาว่าง ลองไปจิบชาเขียวที่โรงน้ำชา และสัมผัสบรรยากาศในสวนอย่างอิสระครับ
3. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ใกล้กับปราสาทฮิเมจินั้นเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สามแห่งที่สำคัญที่สุดของเมืองได้แก่
Himeji Museum of Art – ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารอิฐสีแดง (คล้ายกับที่โยโกฮาม่าและฮาโกดาเตะ) ในอดีตเคยใช้เป็นอาคารของกองทัพญี่ปุ่น แต่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะมากมายของชาวเมืองฮิเมจิและจากที่อื่นๆ ทั่วทุกมุมโลก
Hyogo Prefectural Museum of History – พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าจากจังหวัดเฮียวโกะ รวมไปถึงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมานานกว่าพันปีครับ
Himeji City Museum of Literature – พิพิธภัณฑ์ทางวรรณกรรมที่เล่าเรื่องราวของปราสาทฮิเมจิ ตัวอาคารมีความสวยงามเพราะเป็นผลงานของสถาปนิกญี่ปุ่นผู้โด่งดังอย่างทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando) ครับ
นอกเหนือจากสามแห่งนี้แล้ว ในเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่น
- Kodera Museum of History and Folklore – พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในบ้านเดิมของตระกูลโอดะ พ่อค้าผู้มั่งคั่ง ด้านในจัดแสดงสิ่งของตลอดจนข้าวของเครื่องใช้โบราณต่างๆ
- Himeji Historical Peace Center – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวกับเมืองฮิเมจิ ซึ่งจะจำลองความเสียหายและสูญเสียที่เกิดจากมหาสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครับ
4. โชชาซัง
โชชาซัง (Shoshazan) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฮิเมจิ โดยด้านบนของภูเขา (มีกระเช้าขึ้นไป) เป็นที่ตั้งของวัดเอ็นเกียวจิ (Engyoji Temple) วัดศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธนิกายเท็นไดของญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี (สร้างขึ้นในช่วงหลังของศตวรรษที่ 10)
ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือวิหารมานิเด็น (Maniden) วิหารไม้ที่ดูเผินๆ แล้วคล้ายกับวัดคิโยมิสึเดระที่เกียวโต เช่นเดียวกับอาคารไม้ทรงญี่ปุ่นอื่นๆ อีกหลายแห่งที่ทั้งสวยงามและให้ความสงบร่มเย็น ที่นี่จึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์จำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงเรื่อง Last Samurai ด้วยครับ
5. ชมสวนดอกไม้และสมุนไพร
ในเมืองฮิมาจินั้นก็เหมือนกับเมืองอื่นของญี่ปุ่นที่ไม่เคยขาดสวนดอกไม้ สวนที่น่าไปเยือนได้แก่
Tegarayama Botanical Garden – สวนพฤภษศาสตร์ที่มีต้นไม้กว่า 25,000 ต้นจาก 1,500 สปีชีส์ ในสวนจะมีส่วนที่เป็นเรือนกระจกเช่นเดียวกับกลางแจ้ง ช่วยให้คุณชมต้นไม้และดอกไม้ได้แทบจะตลอดปีครับ
Himeji Rose Garden – สวนกุหลาบที่มีกุหลาบให้ชมถึง 3,500 ต้นจาก 800 สายพันธุ์ ตัวสวนจะเปิดให้ชมได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ (ต้นพฤษภาคมถึงกลางมิถุนายน) และฤดูใบไม้ร่วง (กลางตุลาคมถึงพฤศจิกายน)
Kodera Herb Garden – สวนสมุนไพรที่ปลูกพืชทุกชนิดแบบ organic ด้านในมีขนมปังและชาที่มีส่วนผสมของสมุนไพรขายให้ลองชิมครับ แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรอย่างเช่น essential oil แชมพู หรือสบู่ก็มีเช่นกัน
References
- Visit Himeji
- Himeji Castle Management Office