หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นJR Pass ยังน่าซื้อหรือไม่หลังจากขึ้นราคา | วิเคราะห์อย่างละเอียด

JR Pass ยังน่าซื้อหรือไม่หลังจากขึ้นราคา | วิเคราะห์อย่างละเอียด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2023 พาสที่ได้รับความนิยมมากอย่าง JR Pass หรือชื่อเต็มๆ ว่า Japan Rail Pass ทุกประเภทได้ถูกปรับราคาอย่างสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้นักเดินทางต้องหวนคิดว่าควรจะซื้อพาสดังกล่าวดีหรือไม่

สำหรับบทความนี้ผมจะมานำเสนอสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน JR Pass เช่นเดียวกับวิเคราะห์ว่ายังควรจะซื้อหรือไม่ครับ

รถไฟในญี่ปุ่นที่ให้ขึ้นได้ด้วย JR Pass
by Savvapanf Photo/ShutterStock

ราคาของ JR Pass หลังปรับใหม่

กลไกของ JR Pass นั้นน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่ามันคือการจ่ายเหมาค่าเดินทางด้วยยานพาหนะของ JR ล่วงหน้า ดังนั้นถ้าคุณเดินทางมากนั่นเท่ากับว่าคุณกำไร แต่ถ้าเดินทางน้อย นั่นเท่ากับว่าบริษัท JR ได้กำไร

ทว่าการปรับราคาขึ้นอย่างมากนี้จะทำให้คุณอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด

JR Pass ที่เปิดขายหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2023 นั้นจะถูกปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก (นักเดินทางตะวันตกบางคนถึงกับเปรียบเปรยว่า “shocking”) โดย Japan Rail Pass ที่ใช้เดินทางด้วยรถไฟของ JR ทั่วไปทั้งญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแบบ Regular หรือ Green นั้นจะมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 70%

ยกตัวอย่างแบบ Ordinary 7 วันจะถูกปรับขึ้นจาก 29,650 เยนไปเป็น 50,000 เยน (ปรับขึ้น 68.6%) ส่วนแบบ Green 7 วันนั้นถูกปรับขึ้นจาก 39,600 เยนไปเป็น 70,000 (ปรับขึ้น 76%) เยนครับ

ส่วนแบบ Regional นั้นก็โดนไม่แพ้กัน แต่จะถูกปรับขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น Nagano-Niigata Area Pass ได้ถูกปรับขึ้นจาก 18,000 เยนไปเป็น 27,000 เยน (ปรับขึ้น 50%) ยกเว้น Hokkaido Rail Pass ที่โดนน้อยหน่อยแค่ 5% (จาก 19,000 เยนไปเป็น 20,000 เยน)

อย่างไรก็ดีพาสใหม่จะให้คุณจะซื้อตั๋วพิเศษเพื่อขึ้นขบวน Nozomi และ Mizuho ที่เร็วที่สุดได้ในราคาที่ต่ำลงมา เช่นจากเดิมตั๋ว Nozomi จากสถานีโตเกียวไปนาโกย่าจะอยู่ที่ 11,090 เยน คุณจะซื้อตั๋วนี้ได้ในราคาแค่ 4,180 เยนเป็นต้น ดังนั้นพูดง่ายๆ คุณยังต้องเสียเงินเพิ่มอยู่ดี แต่เสียในราคาต่ำลงมาครับ

โดยส่วนตัวผมมองว่าการโดยสารขบวนเหล่านี้ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไรนัก โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้เร่งรีบกับการเดินทางมากจนเกินไป ขบวนที่รองลงมายังช่วยให้คุณเดินทางไปถึงที่หมายได้ในเวลาไม่นาน แม้ว่าจะใช้เวลามากกว่าก็ตามครับ

อีกหนึ่งสิทธิที่เพิ่มเข้ามาคือส่วนลดที่พักหรือค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ซึ่งยังไม่แน่ชัด ณ ปัจจุบันว่าจะรวมอะไรบ้าง ในส่วนนี้เรายังต้องรอดูกันต่อไปครับ

การซื้อ JR Pass หลังปรับใหม่

วิธีการซื้อ JR Pass ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ต่อไปคุณจะต้องซื้อ JR Pass ล่วงหน้าจากนอกประเทศญี่ปุ่น อย่างเช่นซื้อกับ Klook เป็นต้น หรือว่าซื้อกับทาง Japan Rail Pass โดยตรง

แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าซื้อกับ Klook ดีกว่า เพราะว่ารับตั๋วได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTW ก่อนออกเดินทางได้ หรือว่าจะให้ส่งทางไปรษณีย์ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังจ่ายเป็นเงินไทย ทำให้ไม่ต้องรับความเสี่ยงค่าเงินอีกด้วย

ยังควรซื้อ JR Pass หรือไม่?

ด้วยปัจจัยทางด้านราคาที่สูงขึ้น ทำให้คุณต้องพิจารณาแผนการเดินทางของคุณให้ดีว่าการใช้ JR Pass จะคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งผมจะวิเคราะห์ไปตามปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องดังต่อไปนี้

วิธีการเดินทาง

การใช้ JR Pass นั้นแม้ว่าจะใช้ได้แทบจะทุกยานพาหนะทุกขบวนที่ JR ให้บริการ แต่ในบางเคสนั้นการใช้รถไฟเหล่านี้อาจจะไม่ใช่วิธีการเดินทางที่ดีที่สุดสำหรับการไปจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการไป

อย่างเช่นสถานที่ได้รับความนิยมอย่างคามิโคจิหรือฮาโกเน่ คุณสามารถนั่งรถบัสหรือรถไฟของผู้บริการอื่นที่นำคุณไปถึงที่หมายได้เร็วกว่าแถมยังซับซ้อนน้อยกว่าระบบการคมนาคมของ JR ครับ

นอกจากนี้สำหรับการเดินทางระยะไกลนั้น (เช่นจากโตเกียวไปยังฮิโรชิม่าหรือฟุกุโอกะ) ราคาที่ปรับขึ้นของ JR Pass อาจทำให้เครื่องบินในประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาเลยครับ ซึ่งคุณควรจะพิจารณาด้วยเช่นกัน เพราะทั้งเร็วกว่าและอาจจะถูกกว่านั่งรถไฟยาวๆ ด้วย ส่วนระยะสั้นนั้น คุณอาจจะพิจารณาการเช่ารถขับ เพราะราคาต่อวันไม่สูงมากนัก แถมยังให้ความยืดหยุ่นสูงกว่ามากด้วย

โดยสรุปแล้วต่อไปสิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องตรวจสอบตัวเลือกอื่นอย่างถี่ถ้วนกว่าเดิมว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการใช้บริการพาหนะทั้งหลายของ JR หรือไม่ครับ

สรุป: ควรตรวจสอบการเดินทางอื่นๆ ประกอบก่อนซื้อ JR Pass มิฉะนั้นคุณอาจจะขาดทุนได้

ไลฟ์สไตล์และรูปแบบทริป

ไลฟ์สไตล์และรูปแบบทริปเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะการปรับราคาที่สูงขึ้นนั้น การใช้พาสให้คุ้มจะยากขึ้นมาก หรือพูดอีกแบบคือ คุณจะต้องเดินทางมากกว่าเดิมเพื่อให้การใช้พาสคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางไกลๆ หลายชั่วโมงเช่นจากโตเกียวไปฟุกุโอกะ หรือโตเกียวไปยังอาโอโมริ ซึ่งราคาสูงและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้คุ้มค่าพาส

นั่นแปลว่าในการจัดเตรียมทริปนั้น ถ้าคุณซื้อ JR Pass คุณอาจจะต้องเดินทางเยอะๆ เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าพาส ซึ่งผมเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวทุกคนจะถวิลหา เพราะมันจะกลายเป็นการรีบเร่งที่ไ่ม่ได้เหมือนกับการไปเที่ยวเพื่อให้ผ่อนคลายจากการทำงานเท่าไรนัก

สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะไปเที่ยวประเทศไหนก็ตามไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา สิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุดคือการเดินทาง แน่นอนว่าวิวข้างทางอาจจะสวย แต่คุณก็ไม่ได้ลงไปชมวิวหรือเก็บภาพความสวยงามเป็นความทรงจำใดๆ หรือว่าได้สัมผัสบรรยากาศที่ชอบจริงๆเลย เพราะวิวข้างทางผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ยิ่งเป็นชินคันเซนที่เร็วเหมือนจรวดด้วยแล้วก็ยิ่งไม่มีอะไรน่าจดจำเข้าไปใหญ่

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจัดทริปแบบที่ไม่ได้เดินทางทุกวัน เช่นคุณวางทริปไปเล่นสกีที่ฮาคุบะหรือยูซาวะ 4 วัน หรือว่าไปสัมผัสวัฒนธรรมที่เกียวโตและนารา 5 วัน หรือว่านอนพักผ่อนที่เกโระออนเซ็นสัก 3 วัน ซึ่งคุณแทบจะไม่ได้เดินทางไกลๆ เลย แบบนี้ผมมองว่าไม่ควรจะซื้อ JR Pass ครับ

อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการจะเก็บเฉพาะแต่แลนด์มาร์กสำคัญของญี่ปุ่นในทั่วทุกภูมิภาค อย่างเช่นเริ่มทริปที่โตเกียว แวะชมภูเขาไฟฟูจิ เข้าเกียวโต เที่ยวเล่นที่ฮิโรชิม่า แล้วปิดทริปที่ฟุกุโอกะใน 7 วัน ถ้าทริปของคุณเป็นแบบนี้ การซื้อ JR Pass ยังจะพอคุ้มอยู่บ้างครับ

สรุป: ยิ่งเดินทางมากยิ่งคุ้ม ถ้าตลอดทริป แต่ละวันไม่ได้ไปไหนเลย แบบนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อ JR Pass ครับ

JR Pass vs Regional Rail Pass

โดยส่วนตัวแล้วในแต่ละภูมิภาคของญี่ปุ่นนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจจำนวนมาก เพราะฉะนั้นคุณแทบจะไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามภูมิภาคเลยในแต่ละทริป อย่างเช่นโทโฮคุ (Tohoku) หรือโฮคุริคุ (Hokuriku) นั้นก็มีจุดสวยให้คุณได้ไปแบบไม่ซ้่ำเลยตลอด 7-14 วันอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้คุณไม่ได้ใช้งานการเดินทางแบบ long-distance ของชินคันเซนเลยแต่อย่างใด

ดังนั้นถ้าคุณต้องการพาสจริงๆ การซื้อพาสแบบ Regional Rail Pass นั้นอาจจะคุ้มค่ามากกว่า แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นกว่า (ส่วนมากจะอยู่ที่ 5 วันเทียบกับ JR Pass ที่ 7 วัน) แต่ราคาขึ้นน้อยกว่า (อย่างฮอกไกโดนั้นขึ้นแค่ 5%) แถมราคาเริ่มต้นยังถูกกว่ามาก ทำให้คุณบริหารการใช้งานได้ดีกว่าด้วยครับ

อย่างไรก็ดีคุณยังควรตรวจสอบตัวเลือกอื่นๆ เช่นเดิม เพราะการซื้อ Regional Rail Pass ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นถ้าทริปของคุณเดินทางน้อยถึงน้อยมากครับ

สรุป: Regional Rail Pass เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักเดินทางที่เที่ยวอยู่ในภูมิภาคเดียว (ซึ่งผมแนะนำให้ทำแบบนี้) เพราะจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเดินทางน้อยลงครับ แต่ถ้าเดินทางน้อยจริงๆ ก็อาจจะยังไม่คุ้มอยู่ดีครับ

ความสะดวกสบาย

ข้อดีเดียวที่ยังคงอยู่กับ JR Pass นั่นก็คือความสะดวกสบาย คุณไม่น่าจะต้องไปซื้อบัตรใดๆ ตามสถานีรถไฟของ JR อีกเลย เนื่องจากบัตรเดียวใช้ได้แทบทุกขบวนเลยครับ (ยกเว้น Regional Rail Pass) ดังนั้นจะตัดความยุ่งยากที่น่าเบื่อหน่ายออกไปมากเลยทีเดียว รวมไปถึงให้ความยืดหยุ่นในการเดินทางมาพอสมควร

สรุป

การปรับราคา JR Pass ใหม่แบบก้าวกระโดดนั้น ทำให้ตัวพาสน่าใช้งานน้อยลงไปมาก โดยส่วนตัวผมมองว่าถึงกับทำให้ทริปของนักเดินทางส่วนใหญ่ที่ไปญี่ปุ่นนั้นไม่ควรจะต้องซื้อ JR Pass อีกต่อไป เพราะซื้อตั๋วแยกหรือการเดินทางแบบอื่นจะถูกกว่า

ทว่าในบางเคสหรือกรณีนั้น JR Pass ก็ยังคงคุ้มค่าอยู่สำหรับนักเดินทางบางส่วน ซึ่งผมแนะนำให้พิจารณาให้ดีอย่างยิ่งยวดก่อนซื้อครับ

Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความ Affiliate Links หรือผมจะได้ส่วนแบ่งจากผู้บริการถ้าคุณซื้อตั๋วหรือจองบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

แนะนำสำหรับช่วงฤดูร้อน

โรงแรมน่าจองในโตเกียว

บทความล่าสุด

error: Content is protected !!