คาโกชิม่า (Kagoshima) เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู และเป็นเมืองเอกของจังหวัดชื่อเดียวกัน ตัวเมืองตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาไฟซากุระจิมะ (Sakurajima) และสถานะของเมืองที่เป็นท่าเรือ ทำให้คาโกชิม่าได้รับสมญาว่าเป็น “เนเปิลส์แห่งโลกตะวันออก” ครับ
ทว่าหลายคนน่าจะรู้จักชื่อเมืองนี้จากเนื้อคาโกชิม่า เนื้อวากิวคุณภาพเยี่ยมที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเมืองนี้ แต่คาโกชิม่าไม่ได้มีดีแค่ภูเขาไฟและเนื้อวากิว บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักเมืองนี้อย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักคาโกชิม่า (Kagoshima)
คาโกชิม่าเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใต้สุดของเกาะคิวชู โดยอยู่ในพื้นที่ของคาบสมุทรซัตสุมะ และโอซุมิ ประธานของเมืองคือภูเขาไฟซากุระจิมะ หนึ่งในภูเขาที่มีกิจกรรมทางธรณีวิทยามากเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น และมักจะส่งเสียง ปล่อยเถ้า และควันต่างๆ มาตั้งแต่อดีตกาล ดังนั้นวิถึชีวิตของคนที่นี่จึงเกี่ยวพันกับภูเขาลูกนี้มาตั้งแต่โบราณกาลครับ
ความเป็นมาของเมืองคาโกชิม่านั้นย้อนไปได้ถึงประมาณสองพันปีก่อน โดยในเวลานั้นชาวท้องถิ่นชื่อชาวฮายาโตะ (Hayato) ครอบครองพื้นที่แถบนี้ จนกระทั่งชาวยามาโตะแผ่อำนาจเข้ามาและรับดินแดนเข้านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนการปกครองของตนในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 หรือว่าก่อนยุคนาราเล็กน้อยครับ
หลังจากสงครามเกนเปยที่จบลงด้วยการสถาปนารัฐโชกุนแห่งคามาคุระ (Kamakura Shogunate) พื้นที่บริเวณนี้ถูกยกให้กับไดเมียวตระกูลชิมาสุ (Shimazu Clan) ที่เป็นคนสนิทของมินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ
ในช่วงศตวรรษที่ 14-16 คาโกชิม่าเป็นฐานที่มั่นสำคัญของโจรสลัดญี่ปุ่นที่ปล้นสะดมเมืองตามชายฝั่งทะเลของจีน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นเลวร้าย จนกระทั่งราชสำนักหมิงส่งกองทัพมาบดขยี้พวกโจรสลัดให้พินาศไปให้ช่วงปลายศตวรรษที่ 16
ช่วงยุคเซ็นโกกุตระกูลชิมาสุก็ได้พิชิตไดเมียวรอบๆ ในภาคใต้ของคิวชูได้อย่างเด็ดขาด ทำให้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจในญี่ปุ่น พวกเขาได้สร้างคาโกชิม่าเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งขึ้นไปอีก แต่ตระกูลชิมาสุไม่อาจจะต้านทานอำนาจของฮิเดโยชิที่เป็นใหญ่เหนือดินแดนญี่ปุ่นอื่นๆ ได้ ทำให้ต้องยอมจำนนในปี ค.ศ.1587
ระหว่างยุทธการแห่งเซกิกาฮาระ ตระกูลชิมาสุได้เข้าร่วมกับกองทัพฝั่งตะวันตกในการต่อต้านโตกุกาวะ อิเอยาสึ แต่กลับพ่ายแพ้เสียที แต่ยังดีที่รัฐบาลโตกุกาวะยังปรานีและยังให้ครอบครองคาโกชิม่าอันเป็นดินแดนเดิมต่อไป คาโกชิม่ายังคงเป็นเมืองท่าที่รุ่งโรจน์และมีสถานะเป็นปากทางสู่ญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนางาซากิและเมืองท่าอื่นๆ ในคิวชู
ในช่วงศตวรรษที่ 19 คาโกชิม่าเป็นเมืองท่าที่มีการค้าขายกับชาวต่างชาติ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในญี่ปุ่น แต่ก็เป็นศูนย์กลางการขัดแย้งระหว่างไดเมียวตระกูลชิมาสุกับชาติตะวันตกด้วย จนถึงกับโดนกองทัพเรืออังกฤษระดมยิงเข้าใส่ในช่วงปี ค.ศ.1863
ระหว่างช่วงสงครามโบชิน คาโกชิม่าในฐานะที่เป็นเมืองของตระกูลชิมาสุเป็นกำลังสำคัญในการเอาชนะรัฐบาลโชกุน และจบลงด้วยการล้มล้างระบบเก่าและคืนอำนาจสู่จักรพรรดิ รัฐบาลเมจิจึงถูกสถาปนาขึ้นแทนที่รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะ แต่รัฐบาลใหม่กลับยกเลิกสิทธิของเหล่าไดเมียวและซามูไร ทำให้คาโกชิม่าและเมืองอื่นๆ จังหวัดซัทสุมะเป็นกบฏต่อรัฐบาลกลาง
ทว่าการกบฏกลับล้มเหลวเพราะไปไม่อาจจะตีปราสาทคุมาโมโตะให้แตกได้ รัฐบาลกลางจึงส่งกองทัพมาปราบและเอาชนะพวกกบฏได้ในการรบที่คาโกชิม่า ทำให้กบฏสิ้นสุดลง หลังจากนั้นคาโกชิม่าได้มีสถานะเป็นจังหวัดในระบอบใหม่ครับ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คาโกชิม่าได้โดนทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบิน B-29 ของกองทัพสหรัฐ ทำให้ตัวเมืองได้รับความเสียหายพอสมควร แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเกาะคิวชูครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปคาโกชิม่า (Kagoshima) ทำอย่างไร?
ในการเดินทางไปจากประเทศไทยนั้น คุณสามารถบินไปตั้งต้นได้ที่สนามบินฟุกุโอกะ แล้วเดินทางไปที่ จาก Hakata Station เพื่อขึ้นรถไฟ Kyushu Shinkansen ทุกขบวนไปยังคาโกชิม่า (Kagoshima Chuo Station) วิธีนี้สามารถใช้กับทุกเมืองที่รถไฟสายนี้ผ่าน (อย่างเช่นคุมาโมโตะครับ) รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ JR Kyushu
อีกวิธีหนึ่งจากฟุกุโอกะก็คือนั่งรถบัสจาก Hakata Bus Terminal แน่นอนว่าจะใช้เวลาเดินทางมากกว่า แต่ราคาจะถูกกว่าชินคันเซนครับ
แต่ในกรณีที่คุณโอเคที่จะบินแบบเปลี่ยนเครื่อง (เช่นเดียวกับถ้าคุณอยู่ที่โตเกียวหรือโอซาก้า) คุณอาจจะบินไปลงที่สนามบิน Kagoshima Airport ได้เลยเช่นกัน หลังจากนั้นก็เข้าเมืองด้วยการใช้ Airport Bus ครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Visit Kagoshima City โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ
การสัญจรในเมืองคาโกชิม่าทำอย่างไร?
วิธีการเดินทางไปในเมืองนั้นจะใช้รถรางและรถบัสเป็นหลัก ทั้งนี้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้โดยการซื้อ CUTE Pass ซึ่งเป็นตั๋วเหมารายวันในราคา 1,200 เยน (สำหรับ 1 วัน) และให้คุณใช้รถบัส รถราง และเรือเฟอร์รี่โดยไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วครับ
โปรดระวัง: ฝุ่น ขี้เถ้า ฯลฯ
ทุกวันนี้ภัยที่น่ากลัวที่สุดของชาวคาโกชิม่านั้นไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากการระเบิดของภูเขาไฟซากุระจิมะในอนาคตที่อาจจะสร้างความเสียหายในระดับที่ใกล้เคียงกับเมืองปอมเปอี แต่ถึงแม้จะไม่ระเบิด ภูเขาไฟลูกนี้ก็พ่นควันและขี้เถ้าออกมาเป็นจำนวนมากที่ส่งผลต่อการหายใจ
ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาเรื่องนี้หรือว่า sensitive มากกับฝุ่น ขึ้เถ้า ฯลฯ คุณอาจจะต้องเตรียมการอุปกรณ์ป้องกันให้พร้อมก่อนที่จะเดินทางไปคาโกจิม่าครับ
ถ้าคุณยังไม่ได้จองที่พักในเมือง ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อช่วยให้คุณเลือกที่พักดีๆ ในราคาที่เหมาะสมครับ
1. ภูเขาไฟซากุระจิมะ
โปรดตรวจสอบก่อนออกเดินทาง
โปรดตรวจสอบที่เว็บนี้ก่อนออกเดินทางว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ฝั่งภูเขาไฟนั้นเปิดให้บริการหรือไม่ คุณจะได้ไม่ไปเสียเที่ยว นอกจากนี้จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกับอุบัติเหตุครับ
ภูเขาไฟซากุระจิมะ (Sakurajima) เป็นภูเขาไฟที่มีชื่อที่น่ารัก แต่อันที่จริงแล้วเป็นภูเขาไฟที่มีการปะทุรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ชนิดที่ว่าถ้าอิตาลีมีภูเขาไฟวิซุเวียส ญี่ปุ่นก็มีซากุระจิมะเลยทีเดียว วันดีคืนดี ภูเขาลูกนี้ก็จะพ่นควันและขี้เถ้ามากมายจนถึงกับเทศบาลเมืองใกล้ๆ ต้องประกาศอพยพอยู่บ่อยๆ (จริงๆแล้วภูเขาไฟลูกนี้ปะทุมากถึง 800 ครั้งต่อปีหรือว่าเกือบสามครั้งต่อวันครับ)
อย่างไรก็ดีตัวภูเขาไฟซากุระจิมะนั้นมีความ iconic และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง การเดินทางไปเมืองคาโกชิม่าไม่มีวันจะสมบูรณ์แบบได้เลย ถ้าคุณไม่ได้เก็บภาพภูเขาไฟอันร้อนแรงแห่งนี้ครับ
ส่วนมากแล้วนักเดินทางจะนั่งเรือเฟอร์รี่ (Sakurajima Ferry) ไปฝั่งภูเขาไฟ (ภูเขาไฟห่างจากตัวเมืองโดยมีทะเลกั้น) ถ้าคุณโชคดี ระหว่างที่นั่งเรือ คุณมีโอกาสได้เห็นฝูงโลมาวาแหวกว่ายให้ได้ชมด้วยครับ
หลังจากนั้นคุณสามารถเลือกวิธีชมวิวด้วยการนั่งรถบัส (Sakurajima Island View Bus) ซึ่งจะวิ่งวนรอบภูเขาไฟให้คุณชมวิวสวยๆ ทุกมุมในเวลา 60 นาที หรือว่าไปที่จุดชมวิวครับ
จุดชมวิวที่น่าสนใจได้แก่ Yunohira Observatory ที่สูงจากน้ำทะเล 373 เมตร จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดของซากุระจิมะที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถึง (เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ เพราะอันตรายมากครับ) นอกจากนี้คุณสามารถมองย้อนกลับไปที่ตัวเมืองเพื่อชมวิวสวยๆ แบบพาโนรามาได้อีกด้วย
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจได้แก่ Arimura Lava Observatory ที่ตั้งอยู่บนภูเขาเตื้ยๆ ที่เกิดจากการปะทุในอดีต จากตรงนี้คุณจะเห็นภูเขาไฟฝั่งใต้เป็นรูปกรวยอย่างสวยงามมาก และอาจจะได้เสียงปะทุที่มาจาก crater ที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยครับ จุดชมวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินประมาณ 1 กิโลเมตรที่สั้นพอที่ไม่ว่าใครก็เดินได้สบายๆ ครับ
สำหรับใครที่ชอบชมแบบใกล้ๆ และมีโอกาสจะสัมผัสถึงการปะทุได้ดีที่สุด สถานที่ที่ควรไปเยือนคือ Kurokami Observation Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ใกล้กับ Showa Crater มากที่สุดครับ
ส่วนถ้าคุณอยากจะชมมรดกของการปะทุใหญ่ครั้งล่าสุด คุณอาจจะเลือกไปชมที่ Karasujima Observatory ที่สร้างขึ้นเหนือเกาะเล็กๆ ที่ถูกลาวาถมไปหมดตอนปี ค.ศ.1914 ซึ่งจากตรงนี้จะเห็นทั้งอ่าวคินโคะ (Kinko Bay) และตัวภูเขาไฟได้อย่างชัดเจน หรือว่าเดินชมตาม Nagisa Lava Trail เส้นทางสามกิโลเมตรที่คุณจะได้ชมเส้นทางลาวาที่ปัจจุบันมีต้นไม้ปกคลุมไปแล้วครับ
นอกจากนี้รอบๆ ภูเขาไฟยังมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่นเดียวกับสถานที่อำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว อย่างเช่น
- Dinosaur Park – สวนสาธารณะสำหรับเด็กที่มีรูปปั้นไดโนเสาร์ และต้นซากุระที่บานสะพรั่งช่วงฤดูใบไม้ผลิ
- “Sakurajima” Yogan Nagisa Park Footbath – บ่อแช่เท้ายาว 100 เมตรซึ่งยาวที่สุดในประเทศ แถมยังเห็นวิวภูเขาไฟอย่างชัดเจน ไม่ควรพลาดทุกประการครับ
- Magma Onsen – สถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากแช่ออนเซ็นไปพร้อมกับชมวิวสวยๆ ครับ
2. จุดชมวิวชิโรยามะ
จุดชมวิวชิโรยามะ (Shiroyama Observatory) เป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของคาโกชิม่าเลยก็ว่าได้ โดยเป็นจุดที่คุณจะได้เห็นทั้งอ่าวคินโคะ และภูเขาไฟซากุระจิมะอยู่ในเฟรมเดียวกัน เพราะว่าที่นี่ตั้งอยู่ในภูเขาสูงใจกลางเมืองนั่นเองครับ วิวจากจุดนี้จะสวยเป็นพิเศษช่วงตะวันตกดินและช่วงค่ำครับ
สำหรับใครที่ชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่นี่จะมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ (ไม่ได้ใหญ่มากนัก) ให้ได้ไปชมอยู่หลายแห่ง เพราะว่าเป็นสมรภูมิของการรบครั้งท้ายๆ ของกบฏซัทสุมะ หรือศึกสุดท้ายของเหล่าซามูไร ไซโกะ ทาคาโมริ (Saigo Takamori) ผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง Last Samurai ได้จบชีวิตลงใกล้กับที่นี่ครับ
3. สวนเซนกันเอ็น
สวนเซนกันเอ็น (Sengan-en) คือสวนและที่ตั้งของบ้านพักของตระกูลชิมาสุที่เคยปกครองคาโกชิม่ามานานถึง 7 ศตวรรษ และมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเมืองคาโกชิม่า ตัวสวนและบ้านสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 และในปัจจุบันเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
ตัวสวนนั้นเป็นแบบญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจะมีทั้งสระน้ำและปลูกต้นไม้ไว้อย่างร่มรื่น เช่นเดียวกับดอกไม้นานาชนิด (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ว่าในช่วงที่จะไปมีอะไรบานบ้าง) แต่ที่งามที่สุดเห็นจะเป็นซากุระครับ
ไม่เพียงเท่านั้น วิวของที่นี่ไม่ธรรมดาเลย เพราะคุณจะเห็นวิวของภูเขาไฟซากุระจิมะ และอ่าวคินโคะจากที่นี่ด้วย พอรวมกับอาคารแบบญี่ปุ่นแล้ว คุณจะได้สัมผัสว่าในอดีตเหล่าไดเมียวเห็นวิวอย่างไรในเมื่ออดีตกาล 200-300 ปีก่อนครับ
สถานที่พำนักหลักของตระกูลชิมาสุอย่าง Iso Residence หรือ “The House” นั้นเปิดให้นักเดินทางทั่วไปเข้าชมได้ คุณจะเห็นห้องแบบญี่ปุ่นที่ประณีตสวยงาม เช่นเดียวกับแจกันซัทสุมะยากิที่งามประณีตยิ่งนักครับ
อีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจคือ Shoko Shuseikan Museum หรือพิพิธภัณฑ์ที่ในอดีตเคยเป็นโรงงานอุตสาหกรรมในสมัยเมจิ ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาของญี่ปุ่นที่เปลี่ยนตัวเองจากชาติล้าหลังไปเป็นมหาอำนาจของโลกในเวลาไม่กี่ศตวรรษ เช่นเดียวกับการทำแก้วซัทสุมะคิริโกะที่เป็นงานฝีมือชั้นสูงด้วยครับ อย่างไรก็ดีที่นี่ปิดปรับปรุงจนถึงตุลาคม 2024 ครับ
หลังจากที่คุณเดินมาเหนื่อยๆ ในสวนมีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของพื้นเมืองและของที่ระลึกให้คุณได้จับจ่ายซื้อของด้วยครับ
ค่าเข้าชม: 1600 เยนสำหรับทุกส่วนในสวนครับ
4. สวนโยชิโนะ
สวนโยชิโนะ (Yoshino Park) เป็นสวนสวยอีกแห่งหนึ่งของคาโกชิม่า โดยมีต้นไม้มากมายถึง 70,000 ต้น ทำให้เขียวชอุ่มสวยงามในช่วงฤดูร้อน และเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เลอค่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะคุณจะได้เห็นภูเขาไฟซากุระจิมะเป็น background ด้วยนั่นเอง
ส่วนเรื่องดอกไม้นั้นไม่แพ้ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นซากุระที่ปลูกเรียงรายกันไป ไปจนถึงดอก azalea กว่า 40,000 ดอกที่ให้ความสดใสกับผู้มาเยือนได้อย่างดีที่สุดครับ
5. ชมซากุระที่ริมแม่น้ำโคสึกิ
ริมแม่น้ำโคสึกิ (Kotsuki River Bank) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Kagoshima Chuo Station จะมีการปลูกต้นซากุระเรียงรายไปกว่า 500 ต้น และจะมีการเปิดไฟในช่วงเย็นไปจนถึงสี่ทุ่ม
ที่นี่จึงเป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่ได้รับความนิยมมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีจุดให้นั่งปิกนิกอีกด้วย
6. ซากปราสาทสึรุมารุ
ปราสาทสึรุมารุ (Tsurumaru Castle) หรืออีกชื่อว่าปราสาทคาโกชิม่า (Kagoshima Castle) เคยเป็นปราสาทอันยิ่งใหญ่อันเป็นสถานที่พำนักของตระกูลชิมาสุ แต่ตัวปราสาทถูกไฟไหม้ในช่วงยุคเมจิ และไม่ได้รับการสร้างใหม่ครับ
ปัจจุบันที่นี่เหลือแต่กำแพงหินและคูปราสาทเท่านั้นที่เป็นของเดิม ทว่าประตูโกโรมง (Goromon Gate) ที่ได้รับการสร้างใหม่ในปี ค.ศ.2020 จัดว่าเป็นประตูปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นครับ ใกล้กับปราสาทมีพิพิธภัณฑ์ชื่อเรย์เมคัง (Reimeikan Museum) ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองครับ
7. ชมพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์
เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น คาโกชิม่ามีพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง อย่างเช่น
Io World Kagoshima Aquarium – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ 7 ชั้นที่มีสัตว์น้ำมากถึง 30,000 ตัวจาก 500 สปีชีส์ อย่างเช่นฉลามวาฬ โลมา ไปจนถึงสัตว์น้ำที่พบได้แค่เฉพาะที่คาโกชิม่าเท่านั้นครับ ค่าเข้าชมอยู่ที่ 1,500 เยน (อ้างอิงจากเว็บของพิพิธภัณฑ์)
Hirakawa Zoological Park – สวนสัตว์ที่มีภูเขาไฟซากุระจิมะเป็นฉากหลัง ที่นี่มีสัตว์มากมายอย่างเช่นหมีโคอาล่า เสือโคร่งไซบีเรีย แมวน้ำ ยีราฟ เพนกวิน และสัตว์อื่นๆ อีกจำนวนมาก ค่าเข้าชมอยู่ที่ 500 เยนครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของสวนสัตว์
8. Minato Odori Park Illumination
Minato Odori Park Illumination เป็นการประดับประดาดวงไฟที่ต้น zelkova ใกล้กับที่ทำการเมือง (City Hall) ของเมืองคาโกชิม่าในรูปแบบคล้ายกับที่จัดที่ถนนโจเซนจิโดริที่เมืองเซนได โดยดวงไฟที่ใช้จะมากถึง 120,000 ดวงเลยครับ
เทศกาลนี้จะมีตลอดเดือนธันวาคมและเดือนมกราคมของทุกปีครับ ทำให้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยามค่ำคืนที่น่าสนใจทีเดียว
9. ช้อปปิ้ง
คาโกชิม่ามีอยู่หลายย่านให้คุณได้จับจ่ายซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปยังประเทศไทย จุดที่น่าสนใจได้แก่
- Tenmonkan – ย่านถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของคิวชู ในย่านอุดมไปด้วยร้านอาหารและร้านค้าจำนวนมากมาย เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า บาร์ และห้างร้านอื่นๆ ครับ
- Amu Plaza Kagoshima – ห้างใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสถานี Kagoshima Chuo Station
- Yamakataya Department Store – ห้างใหญ่ที่เปิดกิจการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันเป็นสถานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับการซื้อสินค้าพื้นเมืองครับ
10. รับประทานอาหารพื้นเมือง
เมนูที่ห้ามพลาดทุกประการคือเนื้อคาโกชิม่า (Kagoshima Beef) ที่ไม่เป็นสองรองใคร การันตีด้วยอันดับ 1 สองครั้งซ้อน (2017, 2022) ในเทศกาลวากิวโอลิมปิกที่จัดขึ้นเพื่อหาสุดยอดเนื้อวากิวในญี่ปุ่นทุกๆ 5 ปี เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นสายรักเนื้อ คุณห้ามพลาดโดยทุกประการครับ
ร้านที่น่าสนใจอย่างมากมาย อย่างเช่น Karen Kagoshima ที่บริหารโดย Kagoshima Federation of Agricultural Cooperative Association โดยตรง หรือ Meat and Wine KRONOS ครับ ถ้าอยากประหยัดค่าใช้จ่าย ผมแนะนำให้ไปช่วงมื้อเที่ยงครับ
อีกเมนูที่เลื่องชื่อจริงๆ คือเมนูจากหมูคุโรบุตะ (Kurobuta Pork) ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นชาบูชาบู หรือทงคัตสึ รับรองได้ว่าโอชารสทั้งสิ้น แต่ถ้าอยากได้ความ local ผมแนะนำให้รับประทานเมนูทงคตสึ (Tonkotsu) สตูหมูซอสหวานซึ่งเป็นเมนูท้องถิ่นของคาโกชิม่าครับ
อีกหนึ่งวัตถุดิบพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงคือไก่ซัทสุมะ (Satsuma Chicken, Kurosatsumadori) ซึ่งมีให้คุณเลือกทานตั้งแต่เป็นซาชิมิไก่ดิบ ไปจนถึงย่างเป็นยานิกิคุ หรือว่าทานเป็นข้าวต้มไก่ ล้วนแต่รสชาติดีทั้งสิ้นครับ
ท้ายที่สุดเมนูที่น่าลองทานอย่างยิ่งคือซัทสุมะอาเกะ (Satsumaage) หรือว่าเนื้อปลาบดทอดที่รสชาติดี (รูปร่างคล้ายกับลูกชิ้นทอดหรือทอดมัน) เหมาะกับการเป็นของทานเล่นหรือว่าจานหลักก็ได้ครับ
References
- Visit Kagoshima City Official Site
- Senganen Official Site