คามิโคจิ (Kamikochi) เป็นเขตอุทยานที่ได้รับความยกย่องว่ามีวิวภูเขาหิมะที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวจากทั้งในและนอกญี่ปุ่นต่างหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อชมวิวสวยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผืนป่าทั้งอุทยานจะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มสีแดง ซึ่งจะสวยงดงามเหมือนในภาพวาดทีเดียวครับ
ในบทความนี้ผมจึงมาชี้เป้าจุดสวยแห่งคามิโคจิที่คุณไม่ควรพลาด เราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ก่อนอื่นเราไปดูกันดีกว่าครับจะเดินทางไปคามิโคจิอย่างไร
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปคามิโคจิทำอย่างไร?
วิธีการเดินทางไปคามิโคจิมีหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
นั่งรถบัส – Alpico Group มีบริการรถบัสจากเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโน่ ไปยังคามิโคจิโดยตรง วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้วครับสำหรับการเดินทางไปยังคามิโคจิ แต่ตารางรถบัสมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบที่เว็บไซต์ของ Alpico Group ให้ดีก่อนจองครับ
สำหรับใครที่เดินทางจากมัตสึโมโตะ คุณสามารถซื้อ 2-day pass หรือ 4-day pass จาก Alpico Group ได้ ซึ่งพาส 2 วันจะรวมค่าเดินทางระหว่างมัตสึโมโตะไปยังบริเวณคามิโคจิและโนริคุระ รวมไปถึงส่วนลดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในมัตสึโมโตะด้วย ราคาจะอยู่ที่ 7,500 เยนครับ
ส่วนพาส 4 วันนั้นจะครอบคลุมมากกว่า นั่นคือจะรวมค่าเดินทางทั้งหมดในเขตมัตสึโมโตะ คามิโคจิ โนริคุระ รวมไปถึงทาคายาม่า และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดกิฟุ อย่างเช่น Shinhotaka Ropeway และหมู่บ้านชิราคาวาโกะด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีส่วนลดค่าเข้าชมแทบจะทุกแลนด์มาร์กสำคัญในบริเวณที่ครอบคลุม ส่วนสนนราคาอยู่ที่ 13,000 เยน
ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว แน่นอนว่าพาส 4 วันจะคุ้มค่ากว่า ดังนั้นถ้าคุณมีเวลาเพียงพอ การซื้อพาสแบบ 4 วันจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียวครับ
การเช่ารถขับ – คามิโคจิสามารถเข้าถึงได้ทางถนนได้อย่างไม่ยาก ดังนั้นคุณสามารถเช่ารถและขับมายังคามิโคจิจากทั้งมัตสึโมโตะหรือทาคายาม่า แต่คุณจะไม่สามารถขับรถเข้าไปในคามิโคจิได้ คุณจะต้องจอดรถไว้ที่ที่จอดรถ Sawando หรือ Hirayu ซึ่งค่าจอดจะอยู่ที่ 600 เยนต่อวัน หลังจากนั้นก็ใช้รถของอุทยานเข้าไปในจุดต่างๆ ในคามิโคจิครับ
ไปเที่ยวคามิโคจิช่วงไหนดี
คามิโคจินั้นจะแตกต่างกับสถานที่เที่ยวทั่วไปในญี่ปุ่น นั่นคือจะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายนไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น (แปลว่าในช่วงฤดูหนาว คามิโคจิจะปิดครับ) ซึ่งวันเวลาที่เปิดปิดจะต่างกันไปในแต่ละปี ก่อนที่จะจองรถต่างๆ ผมแนะนำให้ตรวจสอบกับเว็บไซต์ของคามิโคจิก่อนครับ
สำหรับช่วงที่สวยที่สุดนั้น ผมมองว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะความงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่คามิโคจินั้นได้รับการยอมรับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของจังหวัดนากาโน่ และญี่ปุ่น ช่วงอื่นอย่างเช่นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนก็สวยเช่นกัน แต่จะไม่เท่ากับช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
สุดท้ายสิ่งหนึ่งที่คุณต้องตระหนักให้มากคือ คามิโคจิมีภูเขาไฟยาเกะดาเกะ (Mount Yakedake) ที่ยังคุกรุ่นอยู่ ซึ่งทางอุทยานจะแจ้งในส่วนของระดับการเตือนภัย (Current Volcanic Alert Level) ไว้ตลอด (ตามได้แบบ real-time จากเว็บไซต์นี้โดยหายอดที่ชื่อ Yakedake) แล้วถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง โปรดปฏิบัติตามแนะนำของอุทยานอย่างเคร่งครัดครับ
1. สะพานคัปปะ
สะพานคัปปะ หรือ Kappa Bridge (Kappabashi) เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญที่สุดของคามิโคจิ ตัวสะพานเป็นสะพานไม้ที่พาดผ่านแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าเป็นลำธารเสียมากกว่าครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าสะพานนี้เกี่ยวอะไรกับกัปปะ สัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น จริงๆ แล้วการสร้างสะพานนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง “คัปปะ” (Kappa) ของริวโนสึเกะ อาคุตะกาวะ ซึ่งเล่าถึงการผจญภัยของตัวละครหลักที่ได้มาเยี่ยมเยือนคามิโคจิแล้วได้หลงเข้าไปดินแดนของเหล่าคัปปะทั้งหลายครับ
นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปคามิโคจิจะต้องถ่ายรูปที่นี่ เพราะจากตรงนี้คุณสามารถเห็นภูเขาหิมะอันงดงามในอุทยานได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟยาเกะดาเกะ ยอดเขาเมียวจิน และหมู่ภูเขาหิมะในเทือกเขาโฮทากะครับ
ด้วยความที่เป็นที่นิยม ใกล้กับสะพานจึงมีสถานที่มากมายไว้รองรับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่โรงแรมที่พักไปจนถึงร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ
2. สระเมียวจิน
สระเมียวจิน (Myojin Pond) เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิว ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือสะพานไม้ที่พุ่งตรงเข้าไปในน้ำในสระที่ใสสะอาด ซึ่งปลายสะพานจะมีศาลเจ้าชินโตขนาดเล็กตั้งอยู่ครับ
ชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาชินโตถือว่าสระเมียวจินเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนักบวชชินโตจะมาล่องเรือแบบพื้นเมือง และทำพิธีกรรมทางศาสนาในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ถ้าคุณไปเที่ยวคามิโคจิในช่วงนั้น คุณก็มีโอกาสที่จะได้ชมพิธีดังกล่าวเช่นกันครับ
คุณสามารถเดินตามเส้นทางเดินป่าจากสะพานคัปปะมายังสระเมียวจินได้ ซึ่งการเดินไปกลับจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ เส้นทางนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน
3. สระไทโช
สระไทโช (Taisho Pond) เป็นสถานที่ระดับไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของคามิโคจิ โดยสระแห่งนี้เกิดขึ้นเพราะการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะดาเกะได้กั้นน้ำบางส่วนของแม่น้ำอาซุสะเอาไว้ จนเกิดเป็นทัศนียภาพอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน
ความสวยงามของสระไทโชคือ น้ำในสระใสสะอาดราวกับเป็นคริสตัล ซึ่งจะสะท้อนภูเขาหิมะและผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ลงไปในน้ำด้วยราวกับว่าเป็นกระจกเลยครับ ในวันฟ้าใสนั้นสระไทโชจะสวยงามมากจริงๆ
นอกจากนี้บริเวณสระยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้และสัตว์นานาชนิด ถ้าคุณโชคดี คุณอาจจะเห็นนกหายากหรือแม้กระทั่งลิงหิมะก็เป็นไปได้ครับ
นักท่องเที่ยวนิยมลงจากรถบัสที่สระไทโช และเดินไปยังสะพานคัปปะ เพราะเส้นทางนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุดและยังเดินไม่ยากอีกด้วย เหมาะที่สุดกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัดครับ
4. สระทาชิโระ
สระทาชิโระ (Tashiro Pond) เป็นสระขนาดเล็กที่ห้อมล้อมไปด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำของคามิโคจิ นอกจากน้ำในสระจะใสสะอาดแล้ว จุดเด่นของที่นี่อีกแห่งหนึ่งคือใกล้กับตัวสระจะมีดอกไม้นานาชนิดได้ให้ชมในช่วงฤดูร้อนครับ ดังนั้นจะให้ความสวยงามที่ต่างออกไปจากจุดชมวิวอื่นๆ
การชมวิวที่สระนี้ไม่ยากเลย เพราะว่าตัวสระอยู่ในเส้นทางการเดินเท้าระหว่างสะพานคัปปะกับสระไทโชครับ
5. บึงดาเกะซาวะ
บึงดาเกะซาวะ (Dakesawa Marsh) เป็นบึงขนาดเล็กที่มีจุดเด่นคือมีต้นไม้นานาชนิดที่ขึ้นมาจากในน้ำ ที่นี่เป็นอีกแห่งที่คุณสามารถสัมผัสกับผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ของตัวอุทยาน และยังมีโอกาสเห็นสัตว์พื้นเมืองหลายชนิดอีกด้วย
ในการเดินทางไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะว่าเป็นอยู่ระหว่างเส้นทางเดินเท้าระหว่างสะพานคัปปะกับสระเมียวจินครับ
6. โตกุซาวะ
โตกุซาวะ (Tokusawa) เป็นจุดกางเต้นท์ยอดนิยมของคามิโคจิ โดยจุดนี้มีป่าต้น elm และพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ ซึ่งมีภูเขามาเอะ-โฮทากะดาเกะเป็นฉากหลัง ทำให้วิวของที่นี่สวยงามไม่น้อยเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เหล่าต้นไม้ผลัดใบ หรือช่วงที่ดอกไม้ป่าสีขาวผลิบาน
ในช่วงฤดูร้อนนั้นจะมีเต้นท์มากมายเลยทีเดียว เพราะเป็นหนึ่งในเบสแคมป์สำหรับการเข้าไปปีนยอดเขาในเหล่าเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นครับ
7. ยอดเขาต่างๆ
สำหรับใครที่สภาพร่างกายพร้อม และรักในการผจญภัย ไฮไลท์ของการเดินทางมายังคามิโคจิคงหนีไม่พ้นการพิชิตยอดเขาต่างๆ ในอุทยานแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น
- ภูเขาไฟยาเกะดาเกะ (Mount Yakedake) – จัดว่าปีนค่อนข้างง่ายแม้ว่าจะต้องใช้เครื่องมือพอสมควร เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากลิ้มรสการปีนเขาเป็นครั้งแรกครับ แต่แน่นอนว่าต้องระมัดระวังเรื่องการปะทุของภูเขาไฟด้วยเช่นกัน
- ภูเขาไฟโชกะทาเกะ (Mount Chokatake) – ปีนไม่ยากนักและวิวสวย ตามเส้นทางมีลมพัดเย็นสบายครับ
- ภูเขายาริ (Mount Yari) – การปีนค่อนข้างยาก เหมาะกับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว
ตัวอย่างแพลนทริปคามิโคจิ
สำหรับด้านล่างจะเป็นตัวอย่างทริปคามิโคจิที่ผมได้จัดทำขึ้น ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ในการจัดทริปของคุณได้เลยครับ แต่แน่นอนว่าเรื่องการเดินทางจะต้องตรวจสอบด้วยตนเองอีกรอบหนึ่ง เนื่องด้วยทางผู้ให้บริการอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ คอนเซปต์ของทั้งสองทริปจะเน้นสบายๆ ซึ่งคุณสามารถปรับแต่งได้ตามที่ต้องการครับ