คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า หรือฟูจิโกโคะ (Fujigoko) ที่อยู่ทางตอนเหนือของภูเขาไฟฟูจิ ที่นี่จึงเป็นจุดชมวิวที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุด และยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ครับ ในแต่ละปีนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนที่นี่ถึงเก้าล้านคนเลยทีเดียว
ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างละเอียด พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจที่ทะเลสาบคาวากุจิโกะและบริเวณโดยรอบครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links กล่าวคือผมจะได้รับส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังคาวากุจิโกะทำอย่างไร
วิธีการเดินทางไปคาวากุจิโกะจากโตเกียวนั้นไม่ยากเท่าไรนัก โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
รถบัส – ตัวเลือกที่ซับซ้อนน้อยที่สุดคือการใช้บริการรถบัส (Fujikyu, Keio Bus) จากสถานีชินจูกุ โดยรถบัสนี้จะนำคุณไปส่งที่ Kawaguchiko Station ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงครับ นอกจากนี้ตัวเลือกอื่นๆ จากสถานีอื่นอย่างเช่นชิบูย่าก็มีเช่นกันอ่านเพิ่มเดิมได้ที่นี่ครับ
รถไฟ – รถไฟเป็นวิธีการเดินทางที่หลายคนคุ้นเคย แต่ในการเดินทางไปคาวากุจิโกะ ความสะดวกสบายจะไม่เท่ารถบัส เพราะคุณต้องเปลี่ยนรถไฟอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยคุณจะต้องนั่งรถไฟ JR Chuo Line (Limited Express) ไปลง Otsuki Station แล้วเปลี่ยนเป็น Fuji-Kyuko Line ไปยังสถานี Kawaguchiko Station ครับ
เช่ารถขับ – การเช่ารถขับเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะให้ความยืดหยุ่น นอกจากนี้คุณยังตัดปัญหาเรื่องการเดินทางไปกลับทะเลสาบทั้งห้า และอาจจะขับไปเที่ยวเมืองโคฟุ หรือแม้กระทั่งฟูจิโนะมิยะได้อีกด้วยครับ
เช่ารถพร้อมคนขับ – ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคณะที่เป็นครอบครัวและมีผู้สูงอายุหลายคน โดยรถตู้หรือรถบัสขนาด 7-22 ที่นั่งจะนำทุกคนในคณะจากโรงแรมของคุณในโตเกียวไปเที่ยวไฮไลท์ของคาวากุจิโกะครับ นอกจากนี้คุณยังเลือกสถานที่เพิ่มเติมที่ต้องการจะไปได้ด้วยเช่น Gotemba Premium Outlets ที่โกเทมบะเป็นต้น หลังจากนั้นจะปิดทริปด้วยการนำคุณกลับไปส่งที่โรงแรมครับ
ราคาเริ่มต้นนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 11,000-16,000 บาทต่อ 10 ชั่วโมง ต่อคณะ (ลองเปรียบเทียบได้ใน Klook) ซึ่งดูเหมือนว่าจะสูง แต่ถ้าหารเป็นรายหัวแล้วถือว่าราคาต่อคนไม่แย่เลยครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Yamanashi Kankou (เว็บไซต์ของการท่องเที่ยวจังหวัดยามานาชิ) โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาครับ
การเดินทางภายในย่านทะเลสาบทั้งห้าทำอย่างไร?
ในกรณีที่คุณไม่ได้เช่ารถมา รถบัสของ Omni Bus/Fujikyo Bus จะเป็นพาหนะหลักที่คุณใช้เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ คุณอาจจะซื้อ Mt.Fuji & Fuji Five Lakes Passport หรือ Mt.Fuji Pass เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (มีอายุ 2 วันครับ)
ถ้าคุณวางแผนจะไปเที่ยวฮาโกเน่ด้วย คุณอาจจะซื้อ Fuji Hakone Pass ของ Odakyu ซึ่งจะรวมตั๋วรถไฟไปหรือกลับ (1 เที่ยว) ระหว่างชินจูกุและสถานี Shin-Matsuda Station และค่ารถบัสภายในเขตฮาโกเน่และทะเลสาบทั้งห้าทั้งหมดครับ
อย่างไรก็ดีเรื่องความสะดวกสบายนั้นจะเทียบกับการซื้อทัวร์หรือว่าเช่ารถขับเองไม่ได้เลย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในคาวากุจิโกะจะอยู่ห่างกัน ซึ่งคุณอาจจะต้องเสียเวลากลับมาเปลี่ยนรถบัสหรือรถไฟที่สถานีคาวากุจิโกะอันเป็นฮับการเดินทาง นอกจากนี้ในบางแห่ง คุณต้องเดินอีกไกลด้วยครับ
การพักที่คาวากุจิโกะทำให้นักเดินทางจำนวนมากได้รับประสบการณ์ดีๆ สุดโรแมนติก เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้พักที่นี่สักคืนหนึ่ง ถ้าคุณสนใจ ลองอ่านบทความนี้ของผมเพื่อช่วยคุณเลือกที่พักที่เหมาะสมครับ
1. ทะเลสาบคาวากุจิโกะ
ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) เป็นทะเลสาบที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้งห้า ส่วนเรื่องขนาดนั้นถือว่าใหญ่เป็นลำดับสอง แต่ค่อนข้างตื้นเพราะความลึกเฉลี่ยอยู่แค่ 14.6 เมตรเท่านั้นเองครับ
ตัวทะเลสาบนั้นสวยงามทุกฤดู แต่ช่วงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแน่นอนว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เพราะมีซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้ชมนั่นเองครับ สำหรับจุดชมซากุระที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ถนนริมทะเลสาบใกล้กับ Kawaguchiko Music Forest ครับ
แต่ถ้าคุณไปในช่วงฤดูร้อนนั้น คุณจะมีโอกาสได้ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์สวยๆ ที่ Yagizaki Park และ Oishi Park ที่อยู่ริมทะเลสาบ แม้ว่าตัวทุ่งดอกไม้อาจจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับฟุราโนะ แต่ความสวยนั้นไม่แพ้แน่นอนครับ
สำหรับช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น จุดที่ได้รับความนิยมคือ Maple Corridor และ Momiji Tunnel ซึ่งต้นไม้ในบริเวณทั้งสองจุดจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิงที่สวยงดงามยิ่ง แต่จุดนี้จะอัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวเลยครับ
ข้อควรทราบ
“ดวง” เป็นปัจจัยที่สำคัญมากว่าคุณจะเห็นยอดของภูเขาไฟฟูจิหรือไม่ เพราะบางวันหมอกและมีเมฆมาก คุณจะไม่เห็นยอดของภูเขาไฟฟูจิเลย (น่าเสียดายที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) ช่วงที่มีโอกาสที่จะเห็นยอดภูเขาไฟมากที่สุดคือช่วงเช้าก่อน 9 โมง และช่วงบ่ายแก่ๆ ครับ
ดังนั้นถ้าคุณไปถึงที่แล้วฟ้าใส อย่าได้พลาดเก็บภาพความประทับใจแบบจัดเต็มไปเลยครับ เพราะจากที่เห็นยอดภูเขาสวยๆ เพียงอีกไม่กี่นาทีอาจจะไม่เห็นอะไรเลยก็เป็นได้
2. Kawaguchiko Music Forest
Kawaguchiko Music Forest เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับกล่องดนตรีต่างๆ และออแกน ซึ่งจะจัดแสดงในอาคารสไตล์ตะวันตก ที่นี่มี dance organ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งจะบรรเลงดนตรีเพราะๆ แบบอัตโนมัติให้คุณได้ฟังด้วยครับ
นอกจากนี้ด้านในก็มีสระน้ำและสวนที่สวยงามอีกด้วย ทั้งนี้นักดนตรีระดับโลกมักจะได้รับเชิญมาแสดงดนตรีที่นี่อยู่บ่อยครั้งครับ
แต่ความพิเศษก็คือจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คุณสามารถชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้ด้วยเช่นกัน เมื่อตัวภูเขามาอยู่ในเฟรมด้วยกับอาคารแบบตะวันตกแล้วจะสวยไปอีกแบบหนึ่งเลยครับ
ค่าเข้าชม: 1,800 เยน
3. Mt. Fuji Panoramic Ropeway
Mt. Fuji Panoramic Ropeway เป็นกระเช้าที่นำคุณขึ้นจากฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคาวากุจิโกะขึ้นไปยังจุดชมวิวที่คุณจะเห็นตัวภูเขาไฟได้อย่างสวยงดงามมากในวันฟ้าใส (ในวันที่หมอกหรือมีเมฆมาก คุณมีสิทธิ์ไม่เห็นอะไรเลยเช่นกัน) นอกจากนี้ถ้าคุณไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีจากกระเช้าอีกด้วยครับ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจที่จุดชมวิวคือชิงช้าที่คุณสามารถเล่นและชมวิวสวยๆ ของภูเขาไฟฟูจิไปพร้อมๆกัน รวมไปถึงเดินทางไปสักการะศาลเจ้ากระต่ายเพื่อให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย ปิดท้ายด้วยการสั่นระฆังที่อยู่ตรงข้ามกับภูเขาไฟฟูจิพอดิบพอดีครับ
ในส่วนของค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 900 เยนครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทั้งนี้ที่เว็บต้นทางจะมีวิดีโอไลฟ์สดจุดชมวิวด้านบนอยู่ตลอดเวลา ผมแนะนำให้ตรวจสอบดูก่อนว่าข้างบนจะเห็นอะไรหรือไม่ ในกรณีกล้องจากวิดีโอไลฟ์สดไม่เห็นอะไรเลย คุณอาจจะเลือกที่จะไม่ขึ้นไปเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายครับ
4. ศาลเจ้าคาวากุจิอาซามะ
ศาลเจ้าคาวากุจิอาซามะ (Kawaguchi Asama Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เพื่อสักการะภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณถือว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ บ้างว่าเพื่อเป็นการปลอบประโลมเทพเจ้าแห่งภูเขาหลังจากการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขา่ไฟในช่วงนั้นครับ
บริเวณศาลเจ้านั้นมีแนวต้นสนซีดาร์ที่สวยงาม และจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่งดงามไม่แพ้ที่ใด เหมาะต่อการไปเยี่ยมเยือนอย่างยิ่งเลยครับ
5. ทะเลสาบโมโตสุโกะ
ทะเลสาบโมโตสุโกะ (Lake Motosuko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า และมีชื่อเสียงในเรื่องวิวที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเลือกไปใช้ในธนบัตร 1,000 เยนของญี่ปุ่นเลยครับ
ตัวทะเลสาบตั้งอยู่ทางตะวันตกสุด และเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในทะเลสาบทั้งห้า ตามตำนานเล่าว่ามีมังกรอาศัยอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ครับ
นักเดินทางนิยมมาตั้งแคมป์และเล่นกีฬาทางน้ำกันที่นี่ ส่วนศาสนิกและผู้แสวงบุญจะเดินทางมาทำพิธีกรรมทางศาสนาครับ
ห่างจากทะเลสาบแห่งนี้ไปประมาณ 3 กิโลเมตรคือ Fuji Motosuko Resort ที่ใช้จัดเทศกาลดอกไม้ชิบะซากุระ (Shibazakura Festival) ในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งบริเวณทุ่งในสถานที่จัดงานจะเต็มไปด้วยดอกชิบะซากุระหรือ Pink Moss ที่สวยงามมากครับ
6. ทะเลสาบยามานะกาโกะ
ทะเลสาบยามานะกาโกะ (Lake Yamanakako) ครองตำแหน่งทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบทั้งห้า และมีรูปทรงเหมือนวาฬเวลาที่มองจากมุมสูงครับ
ในอดีตที่นี่ศาสนิกมักจะมาอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนปัจจุบันนี้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับกีฬาทางน้ำในช่วงฤดูร้อน และตกปลาในทะเลสาบน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว (เหมือนกับที่คุชิโระ)
จุดชมวิวที่ได้รับความนิยมที่สุดของที่นี่คือ Panorama Dai เพราะจะเห็นทั้งภูเขาไฟฟูจิ และทะเลสาบยามานะกาโคะในเฟรมเดียวกันครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวก็คือการไปชมปรากฏการณ์ Diamond Fuji หรือพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหลังภูเขาไฟฟูจิ เกิดเป็นแสงสลัวๆ ที่ดูลึกลับและสวยงามไปพร้อมๆ กัน คุณจะชมปรากฏการณ์ที่ว่านี้ได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ครับ
7. Lake Yamanakako Hana no Miyako Park
ใกล้กับทะเลสาบยามานะกาโกะมีสวนดอกไม้อยู่ชื่อ Lake Yamanakako Hana no Miyako Park ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่จะออกดอกบานสะพรั่งให้ชมทุกช่วงฤดูร้อน ไม่ว่าจะเป็นดอกทานตะวันไปจนถึงดอกทิวลิป และดอกไม้อีกหลายชนิด
แต่ช่วงที่พีคจริงๆ คือสวนแห่งนี้คือช่วงปลายเดือนเมษายนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เพราะดอกทิวลิปในสวนกว่า 150,000 ดอกจะบานเปล่งปลั่ง ใครที่รักดอกไม้ไม่ควรพลาดทุกประการครับ
8. ทะเลสาบไซโกะ
ทะเลสาบไซโกะ (Lake Saiko) เป็นทะเลสาบที่เล็กเป็นอันดับที่ 2 ในหมู่ทะเลสาบทั้งห้า แต่กลับลึกที่สุดเป็นอันดับที่สอง โดยลึกถึงเกือบ 72 เมตรด้วยกัน จุดเด่นของที่นี่คือถูกโอบล้อมด้วยภูเขาที่เต็มไปด้วยผืนป่าเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านตะวันตกด้านเดียวที่จะเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ครับ
ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบการตั้งแคมป์และเล่นกีฬาทางน้ำ ทว่าห่างจากทะเลสาบแห่งนี้ไม่ไกลคือป่าอาโอคิกาฮาระ จุไค (Aokigahara Jukai) ที่มีชื่อเสียงทางไม่ดีว่าเป็นสถานที่อยู่อาศัยของผีสางมาตั้งแต่โบราณ
ในช่วงยุคหลังที่นี่มีชื่อเสียงทางลบยิ่งไปกว่าเดิม เพราะว่าเป็นจุดที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาจบชีวิตครับ ทำให้ตลอดเส้นทางในบริเวณป่าแห่งนี้จะมีคำเตือนและคำแนะนำเพื่อให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดครับ
9. ถ้ำทั้งสาม
ใกล้กับทะเลสาบไซโกะ มีถ้ำอยู่สามถ้ำที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ครับ
ถ้ำแห่งแรกได้แก่ถ้ำฟุกาคุ (Fugaku Cave) หรือว่าถ้ำลม ตัวถ้ำเป็นผลงานของลาวาที่ไหลบ่าลงมาจากการระเบิด และเห็นหินงอกหินย้อยที่แข็งเป็นน้ำแข็ง (อุณหภูมิในถ้ำแค่ประมาณ 3 องศาเท่านั้น) ในสมัยเอโดะ ชาวบ้านจะใช้ที่นี่เป็นตู้เย็นสำหรับเก็บรักษาอาหารและผลิตน้ำแข็งครับ
ถ้ำที่สองหรือถ้ำนารุซาวะ (Narusawa Cave) หรือถ้ำน้ำแข็ง เป็นถ้ำที่อุณหภูมิในถ้ำเย็นจัดเหมือนกับถ้ำลม แต่มีความแตกต่างตรงที่ความสูงของถ้ำจะเตี้ยกว่า ทำให้คุณต้องคลานเข้าไปในบางจุด ในอดีตที่นี่เป็นตู้เย็นธรรมชาติให้กับชาวบ้านแถบนี้เช่นเดียวกับถ้ำลมครับ
ส่วนถ้ำสุดท้ายคือถ้ำค้างคาว (Bat Cave) ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาถ้ำทั้งสาม และเคยมีค้างคาวอาศัยอยู่ เพราะตัวถ้ำจะต่างกับอีกสองถ้ำนั่นคือค่อนข้างอุ่นในช่วงฤดูหนาวครับ
10. ทะเลสาบโชจิโกะ
ทะเลสาบโชจิโกะ (Lake Shojiko) เป็นทะเลสาบที่เล็กที่สุดในทะเลสาบทั้งห้า แต่เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมาก ทำให้ชาวตะวันตกที่มาเยี่ยมเยือนญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงกับขนานนามว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเชียตะวันออกเลยทีเดียว
ภูเขาไฟฟูจิที่เห็นจากบริเวณทะเลสาบนั้นจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะจะเห็นเป็นภูเขาขนาดใหญ่ (ภูเขาไฟฟูจิ) ที่ตั้งอยู่เหนือภูเขาขนาดเล็ก (ภูเขาโอมุโระ) แถมในวันที่น้ำนิ่ง ทัศนียภาพนี้ยังสะท้อนลงบนผืนน้ำด้วย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สวยงามอย่างมากเลยครับ
11. เจดีย์ชูเรโต
เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) เป็นเจดีย์ห้าชั้นที่ตั้งอยู่ในเมืองฟูจิโยชิดะใกล้กับทะเลสาบคาวากุจิโกะ (ห่างไปประมาณ 7 กิโลเมตร) ที่นี่เป็นสถานที่ชมภูเขาไฟฟูจิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยคุณจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิจากระยะไกล ควบคู่ไปกับตัวเมืองฟูจิโยชิดะ ซึ่งจะงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะต้นซากุระจะบานสะพรั่งสวยงามตรึงใจครับ
ที่นี่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งยวดในหมู่ช่างภาพ เพราะว่ารวมทั้งความสวยงามทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเอาไว้ในรูปเดียว ถ้าคุณชอบการถ่ายภาพ และอยากยกระดับ portfolio ของคุณ การมาเก็บภาพที่นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น a must ถ้าคุณได้ไปเยือนคาวากุจิโกะเลยก็ว่าได้ครับ
12. โอชิโนะ ฮักไก
โอชิโนะ ฮักไก (Oshino Hakkai) เป็นสระสวยแปดแห่งที่ตั้งอยู่ที่พื้นที่ซึ่งเคยเป็นทะเลสาบแห่งที่ 6 ของภูเขาไฟฟูจิ แต่ว่าแห้งเหือดไปแล้วเมื่อหลายศตวรรษก่อน ในอดีตที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ผู้แสวงบุญมักจะมาอาบน้ำชำระร่างกายก่อนที่จะเดินทางไปสักการะภูเขาไฟฟูจิครับ
ปัจจุบันบริเวณสระทั้งแปดนั้นมีบ้านโบราณแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ซึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้คุณได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ ซึ่งในใจกลางของพิพิธภัณฑ์เป็นที่ตั้งของสระวากุ (Waku Pond) ซึ่งมีน้ำที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ จนถึงขนาดที่ดื่มได้เลยครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดชมภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามยิ่งอีกด้วย
13. Fuji-Q Highland
Fuji-Q Highland เป็นสวนสนุกใกล้กับทะเลสาบคาวากุจิโกะ (ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร) และน่าจะเป็นสวนสนุกที่วิวสวยที่สุดในโลก เพราะมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง เวลาที่คุณเล่นรถไฟเหาะ หรือเครื่องเล่นนานาชนิดนั้น คุณก็จะได้สัมผัสกับความสวยงามไปด้วยครับ
อย่างไรก็ดีคุณภาพของเครื่องเล่นที่นี่ก็ไม่ใช่ธรรมดา เพราะหนึ่งในนั้นคือ Takabisha รถไฟเหาะที่ชันที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นที่ธีมอนิเมะเรื่องดังอีกมากมาย ทำให้ความสนุกของการเล่นอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าโตเกียวดิสนีย์แลนด์เลยครับ
สำหรับค่าเข้านั้นฟรี แต่ว่าจะไปเสียตามเครื่องเล่นที่คุณต้องการจะเล่น อย่างรถไฟเหาะ 4 แบบจะเล่นครั้งละ 2,000 เยนครับ ส่วนเครื่องเล่นอื่นๆ จะถูกลงมา โดยจะอยู่ที่ 800-1,500 เยน อ้างอิงจากเว็บของสวนสนุกครับ
อีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อ 1-Day Pass จากทาง Klook ซึ่งจะให้คุณเล่นเครื่องเล่นได้ทั้งหมดอย่างไม่จำกัด ยกเว้น Super Scary Labyrinth of Fear เท่านั้นที่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าจากราคาแล้ว พาสนี้จะเริ่มคุ้มก็ต่อเมื่อเล่นรถไฟเหาะครบทั้ง 4 แบบครับ หรือว่ารถไฟเหาะ 3 จาก 4 แบบและบวกเครื่องเล่นอื่นอีก 2-3 เครื่องครับ
14. ปีนภูเขาไฟฟูจิ
สำหรับใครที่รักการผจญภัย หรือว่ามีประสบการณ์การปีนเขามาแล้วอย่างช่ำชอง การชมวิวที่จุดชมวิวนั้นคงจะขาดความเร้าใจ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการปีนภูเขาไฟฟูจิเพื่อพิชิตจุดสูงสุดของญี่ปุ่นเลยครับ ซึ่งหนึ่งในเส้นทางขึ้นไปนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบคาวากุจิโกะ นั่นก็คือ Yoshida Trail ครับ
Yoshida Trail (สีเหลืองส้ม โปรดจำสีไว้ให้ดีเพราะถ้าไปผิดสี จะไปลงคนละด้านเลยครับ) จะเริ่มต้นจาก Fuji-Subaru Line 5th Station ครับ
เส้นทางนี้ได้ความนิยมมากที่สุดในบรรดาทุกเส้นทาง โดยจะใช้เวลาขึ้น 6 ชั่วโมงและลงประมาณ 4 ชั่วโมง ทั้งนี้ช่วงที่ปีนได้จะอยู่ในช่วงกรกฏาคมถึงต้นเดือนกันยายนเท่านั้น ช่วงอื่นไม่สามารถปีนได้ คนที่แอบขึ้นไปเคยประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตมาแล้วครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปีนภูเขาไฟฟูจิคือ คุณต้องตรวจสอบสภาพอากาศและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ผมแนะนำอย่างยิ่งให้อ่านที่เว็บทางการของการปีนภูเขาไฟฟูจิก่อนที่จะวางแผนเดินทางครับ
15. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ใกล้กับทะเลสาบคาวากุจิโกะนั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน อาทิเช่น
- Fujisan Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานและวัฒนธรรมโบราณที่เกี่ยวข้องกับภูเขาไฟฟูจิ
- Iyashi no Sato – พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมแบบ open-air ที่ให้คุณได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน และได้ลองสร้างผลงานศิลปะด้วยตนเอง
- Togawa Residence – พิพิธภัณฑ์ที่เคยเป็นบ้านพักของผู้แสวงบุญที่เดินทางมาสักการะภูเขาไฟฟูจิ
- Maglev Exhibition Center – พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงแบบ Maglev
16. แช่ออนเซ็น
กิจกรรมที่เหมาะสำหรับการปิดฉากวันที่ดีที่สุดก็คือการแช่ออนเซ็นนั่นเอง ซึ่งคุณสามารถแช่ได้ที่เรียวกังหรือโรงแรมที่พักหลายแห่งที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบทั้งห้าครับ
ทว่าถ้าโรงแรมที่พักในย่านคาวากุจิโกะของคุณมีออนเซ็นอยู่แล้ว การแช่ที่โรงแรมของคุณก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ
ตัวอย่างแพลนทริปคาวากุจิโกะ
สำหรับด้านล่างจะเป็น infographic ที่แสดงแพลนทริปคาวากุจิโกะ 2 ทริปที่ผมได้จัดทำขึ้นให้คุณนำไปใช้ได้เลยอย่างอิสระ ทั้งนี้ทริปนึงจะเป็นแบบขับรถเอง ส่วนอีกทริปหนึ่งจะใช้รถสาธารณะ ทั้งนี้คุณจะต้องตรวจสอบเรื่องวิธีการเดินทางอีกครั้งหนึ่ง (โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้ขับรถเอง) เพราะข้อมูลอาจจะเปลี่ยนได้ครับ
References
- Yamanashi Kankou
- Odakyu
- Mt.Fuji Ropeway Official Site
- Fuji Climb Official Site
- Fuji Q Highland Official Site