โกเบ (Kobe) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเฮียวโกะในภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่น ตัวเมืองเป็นเมืองท่าที่สำคัญโดยใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ หลายคนรู้จักเมืองโกเบ เพราะสุดยอดเนื้ออย่างเนื้อโกเบ (Kobe Beef) เนื้อวากิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อชั้นดีอันดับต้นๆ ของโลกครับ
สำหรับบทความนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับความเป็นมาของเมืองโกเบ และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองโกเบ (Kobe)
เมืองโกเบตั้งอยู่ในพื้นที่อ่าวโอซาก้าในเขตคันไซ โดยตัวเมืองอยู่ห่างจากโอซาก้าประมาณ 35 กิโลเมตร สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองนั้นเป็นพื้นที่หุบเขาที่หันหน้าออกทะเล ดังนั้นตัวเมืองจึงหน้าแคบและยาวครับ
ปูมหลังของเมืองโกเบนั้นย้อนไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 โดยศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine) ได้ถูกสร้างขึ้นที่บริเวณเมือง และหลังจากนั้นที่นี่ก็ได้เป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในสมัยนารา เฮอัน และคามาคุระ โดยได้รองรับพ่อค้าโพ้นทะเลจำนวนมากจากจีนและดินแดนอื่นๆ ครับ
ต่อมาในสมัยเอโดะ รัฐบาลโตกุกาวะได้แบ่งพื้นที่บริเวณเมืองเป็นสามส่วน ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกนั้นให้พวกฟุไดไดเมียวที่ใกล้ชิดกับพวกตนไปปกครอง ส่วนพื้นที่ตรงกลางนั้นถูกปกครองโดยตรงโดยรัฐบาลโชกุน ในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากชาติตะวันตก รัฐบาลโชกุนก็ได้เปิดพื้นที่เมืองโกเบให้เป็นเมืองท่าเปิดที่รองรับการค้าขายได้ครับ
หลังจากเปิดเมืองท่าไม่นานก็เกิดการปฏิวัติเมจิที่ล้มเลิกระบบโชกุนและไดเมียว ญี่ปุ่นได้มีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาปกครอง เมืองโกเบก็ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญต่อไป แต่ในปี ค.ศ.1868 ก็เกิดเหตุการณ์ชื่อ Kobe Incident ที่เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างชาวญี่ปุ่นและชาวตะวันตกทำให้เกิดเป็นวิกฤตการณ์ทางการทูตครั้งสำคัญของประเทศครับ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โกเบเป็นเมืองแห่งแรกๆ ในญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพสหรัฐ โดยการโจมตีอย่าง Doolittle’s Raid นั้นสร้างความเสียหายเล็กน้อยต่อเมืองโกเบ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสงครามนั้นเข้ามาใกล้แผ่นดินแม่เข้ามาทุกที อีกสามปีต่อมาเมืองโกเบก็เสียหายยับเยิน เพราะโดนเครื่องบิน B-29 ทิ้งระเบิดเข้าใส่อย่างหนักหน่วง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คนครับ
หลังจากนั้นเมืองโกเบก็ได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูบูรณะ และกลายเป็นเมืองท่าในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเจริญรุ่งโรจน์ ในช่วงเวลา 40 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั้น โกเบเป็นเมืองท่าที่คับคั่งที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
แต่แล้วในปี ค.ศ.1995 ก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีจุดศูนย์กลางห่างจากเมืองโกเบเพียงแค่ 20 กิโลเมตร แม้ว่าแผ่นดินไหวจะนานเพียงแค่ 20 วินาที พลเมืองกลับเสียชีวิตไปมากกว่าหกพันคน และอีกสองแสนกว่าคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย มิเพียงเท่านั้นโครงสร้างพื้นฐานของเมืองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย
หลังจากนั้นเมืองโกเบก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา แต่ยังไม่ได้ความยิ่งใหญ่ในอดีตกลับคืนมาแต่อย่างใด ปัจจุบันโกเบเป็นเมืองท่าอันดับ 4 ของประเทศญี่ปุ่นครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองโกเบ (Kobe) ทำอย่างไร?
เมืองโกเบสามารถเดินทางไปได้อย่างง่ายดายจากโอซาก้า ด้วยรถไฟ San’yo Shinkansen ทุกขบวน ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ JR West หรือว่า Feel Kobe (เว็บของการท่องเที่ยวเมืองโกเบ) ครับ
สำหรับใครที่เช่ารถที่โอซาก้ามาแล้ว คุณสามารถขับมายังโกเบโดยใช้เวลาไม่มากนัก เพราะโกเบห่างจากโอซาก้าไปแค่ 35 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ
การสัญจรในเมืองโกเบทำอย่างไร?
เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่น เมืองโกเบมีทั้งรถบัส และรถไฟใต้ดินให้บริการพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเมืองอย่างทั่วถึง ทำให้การเดินทางสะดวกสบายครับ
ทั้งนี้คุณสามารถซื้อ Kobe City Bus & Subway 1-Day Pass หรือพาสอื่นๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทาง และ Kobe Smart Passport (เริ่มต้นที่ 2,500 เยน) เพื่อประหยัดค่าเข้าชมครับ
1. Kobe Port Tower
Kobe Port Tower เป็นหอคอยสูง 108 เมตรที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโกเบ ตรงหอคอยนั้นรูปร่างเหมือนไปป์ แต่บ้างก็ว่าเหมือนกับกลองญี่ปุ่น ทั้งนี้คุณสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศาจากจุดชมวิวด้านบนได้ครับ ซึ่งจะเห็นตั้งแต่ยอดเขาโรกโกะ เช่นเดียวกับบริเวณปากอ่าวครับ
อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน (กรกฎาคม 2023) ด้านบนหอคอยกำลังปิดซ่อมอยู่ ผมแนะนำให้ตรวจสอบสถานะการเปิดปิดที่เว็บนี้ก่อนที่จะเดินทางไปครับ
2. วัดโนฟุคุจิ
วัดโนฟุคุจิ (Nofukuji Temple) เป็นวัดใหญ่ของศาสนาพุทธที่มีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยต้นศตวรรษที่ 9 และในปัจจุบันอาคารหลังเดิมได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ตัวอาคารในวัดนั้นล้วนแต่เป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1997 ครับ
ด้านในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของญี่ปุ่น (ตามหลังที่นาราและคามาคุระ) นามว่าเฮียวโกะไดบุทสึ (Hyogo Daibutsu) องค์พระนี้ก็เป็นของใหม่เช่นกัน เพราะองค์เดิมที่สร้างขึ้นในยุคเมจินั้นถูกหลอมในช่วงสงคราม รัฐบาลญี่ปุ่นได้สร้างขึ้นมาใหม่ช่วงปี ค.ศ.1991 ครับ
นอกเหนือจากองค์พระใหญ่แล้ว ในวัดยังมีพระพุทธรูปของพระอมิตาภพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งศาสนิกไปขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ด้วยครับ
3. สวนโซระคุเอ็น
สวนโซระคุเอ็น (Sorakuen) เป็นสวนญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ด้านในสวนมีการปลูกต้นไม้อย่างร่มรื่น เช่นเดียวกับสระน้ำที่สวยงามพร้อมด้วยสะพานหิน นอกจากนี้ยังมีโรงน้ำชาแบบของเดิมให้ได้ชมและเข้าไปดื่มชาอีกด้วยครับ
ด้านในสวนจะสวยเป็นพิเศษในช่วงที่ดอก azalea บานสะพรั่งและช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ถ้าได้มาในช่วงนั้น ไม่ควรพลาดมาเยี่ยมชมที่นี่ครับ
4. กระเช้านุโนะบิคิ
กระเช้านุโนะบิคิ (Nunobiki Ropeway) เป็นกระเช้าที่พานักเดินทางจากเมืองโกเบไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ บนทางตอนใต้ของแนวภูเขารกโค ซึ่งจากสถานีสุดท้ายของกระเช้านั้นจะมีจุดชมวิวและคาเฟ่ชื่อ The Veranda at Kobe ตั้งอยู่ ซึ่งคุณจะได้ชมวิวมุมสูงของเมืองโกเบอย่างสวยงามมากครับ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสวนกุหลาบให้ได้ชมด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้กระเช้ายังผ่านน้ำตกขนาดเล็กกะทัดรัดแต่ก็สวยงามไม่เบาอย่างน้ำตกนุโนะบิคิ (Nunobiki Waterfall) และ สวนสมุนไพรนุโนะบิคิ (Nunobiki Herb Garden) เป็นสวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีสมุนไพรถึง 75,000 ต้นและดอกไม้อีกกว่า 200 ชนิดครับ
สำหรับค่ากระเช้านั้นจะอยู่ที่ 1,800 เยน ซึ่งจะรวมกระเช้าไปกลับและค่าเข้าชมสวนสมุนไพรครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บทางการของสวนครับ
5. ถนนโกเบโมโตมาจิ
ถนนโกเบโมโตมาจิ (Kobe Motomachi Shopping Street) เป็นถนนคนเดินที่มีร้านรวงและร้านอาหารต่างๆ ถึง 300 ร้านตลอดระยะทางมากกว่า 1.2 กิโลเมตร โดยถนนแห่งนี้นั้นเป็นย่านเก่าแก่ของเมืองที่ย้อนไปได้ถึงสมัยเมจิ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่บางร้านนั้นมีประวัตินับร้อยปีและผ่านพ้นทั้งสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวใหญ่มาได้ด้วยครับ
ปัจจุบันถนนแห่งนี้ก็ยังคับคั่งไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการจัดเทศกาล Music Week ในช่วงเดือนกรกฎาคม และฮัลโลวีนในช่วงเดือนพฤศจิกายนครับ
6. Kobe Harbourland Umie
ห่างไปจากถนนโกโบโมโตมาจิไปไม่ไกลนักคือ Kobe Harbourland Umie หรือเรียกสั้นๆ ว่า Umie ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ริมทะเลที่มีร้านค้าและร้านอาหารอีก 225 ร้านด้วยกัน ทำให้เป็นอีกแหล่งช้อปที่คุณสามารถมาละลายเงินเยนในเมืองโกเบครับ
ตัวห้างแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ Mosaic, North Mall และ South Mall โดยส่วน Mosaic น่าสนใจที่สุด เพราะตั้งอยู่ริมทะเลและมีร้านอาหารมากมาย ซึ่งคุณสามารถหาอะไรอร่อยๆ รับประทานพร้อมกับชมวิวสวยๆ ของปากอ่าวได้ครับ
นอกจากนี้ในโซนนี้ยังมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่กับอาคารอิฐสีแดงที่เคยเป็นคลังสินค้ามาก่อน (เหมือนกับที่โยโกฮาม่า) แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นร้านค้าไปแล้วครับ
ระหว่างโซน Mosaic กับส่วนอื่นนั้นคือ Kobe Gaslight Street ที่เป็นถนนที่มีโคมไฟแบบโบราณเรียงรายกันไป ในช่วงเย็นจะมีการเปิดไฟทำให้บรรยากาศโรแมนติกทีเดียวครับ
7. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
โกเบเป็นอีกเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นที่มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น
Kobe City Museum – พิพิธภัณฑ์ที่มีคอลเล็คชันโบราณวัตถุว่า 70,000 ชิ้นโดยเฉพาะผลงานศิลปะนันบัน (Nanban Art) ซึ่งเป็นงานศิลปะที่จิตรกรชาวญี่ปุ่นรังสรรค์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16-17 โดยได้แรงบันดาลใจจากศิลปะตะวันตก ทำให้มีความโดดเด่นสวยงาม ต่างจากผลงานศิลปะพื้นเมืองครับ
Kobe Earthquake Memorial Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้เมืองโกเบได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีผู้เสียชีวิตมากมาย นอกจากนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว และวิธีการป้องกันภัยพิบัติที่ญี่ปุ่นได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ดังกล่าว
Hyogo Museum of Art – พิพิธภัณฑ์ศิลปะแบบร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น ด้านในจัดแสดงผลงานของจิตรกรที่มีบ้านเกิดในจังหวัดเฮียวโกะครับ
Sawanotsuru Sake Museum – พิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตสาเกแบบโบราณของญี่ปุ่น รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ
8. ศาลเจ้าอิคุตะ
ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine) เป็นศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นส่วนสำคัญที่ก่อกำเนิดเมืองโกเบแห่งนี้ ด้วยความที่มีอายุกว่า 1,800 ปี ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เก่าแก่เป็นลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ในอดีตที่นี่เคยเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่มาก แต่อาคารของเดิมพังทลายไปหมดแล้ว และการสร้างใหม่ไม่อาจเทียบของเดิมได้ครับ
ด้านในศาลเจ้าสถิตเทพเจ้าแห่งการแต่งงาน ทำให้มีศาสนิกมากมายเดินทางมาขอความรัก และชีวิตการแต่งงานที่ยืดยาวอยู่เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่าครับ
9. ไชน่าทาวน์
ไชน่าทาวน์หรือนันคินมาจิ (Nankinmachi) เป็นหนึ่งในสามไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งชื่อนันคินมาจินั้นได้มาจากหนานจิง หนึ่งในเมืองหลวงเก่าของจีนครับ (ในช่วงยุคสาธารณรัฐจีนที่ชาวจีนมากมายอพยพมาอยู่ที่โกเบ เมืองหลวงของจีนก็ตั้งอยู่ที่หนานจิงครับ)
ส่วนด้านในก็มีร้านอาหารจีนและร้านค้าที่ขายสินค้าจากจีนต่างๆ และมีจัดเทศกาลตรุษจีนและเทศกาลอื่นๆ ของจีนด้วย แต่สิ่งที่ต่างจากไชน่าทาวน์ทั่วไปคือมีความสะอาดและเป็นระเบียบแบบญี่ปุ่นครับ
10. ยอดเขารกโค
ยอดเขารกโค (Mt.Rokko) หรือโรกโกะซังเป็นภูเขาสูง 931 เมตรที่ให้พื้นที่สีเขียวกับตัวเมือง และเป็นจุดชมวิวมุมสูงของตัวเมืองที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งในวันฟ้าใสนั้นคุณอาจจะเห็นได้ทั้งเมืองโกเบและโอซาก้าเลยทีเดียว แต่ช่วงที่สวยที่สุดนั้นเห็นจะเป็นช่วงเย็น เพราะคุณจะได้ชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเหนือแนวภูเขาครับ
ใกล้กับจุดชมวิวมีพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีตั้งอยู่ ซึ่งจัดแสดงกล่องดนตรีอายุมากกว่า 100 ปีของช่วงสมัยศตวรรษที่ 19 และ 20 ครับ
11. จุดชมวิวคิคุเซอิได
คิคุเซอิได (Kikuseidai) เป็นจุดชมวิวที่มีวิวตอนกลางคืนที่สวยเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น โดยการชมวิวที่นี่จะเริ่มต้นตั้งแต่ตะวันตกดินในช่วงเย็นไปจนถึงช่วงกลางคืนที่คุณจะได้เห็นเมืองโกเบ โอซาก้า หรือแม้กระทั่งจังหวัดวากายาม่า ไปพร้อมๆ กับท้องฟ้าอันกระจ่างเต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้าครับ
นักเดินทางส่วนมากจะขึ้นไปจุดชมวิวโดยใช้กระเช้าจาก Maya Cable Station แต่ถ้าใครสภาพร่างกายพร้อม อาจจะเลือกเดินขึ้นไปก็ได้ครับ
12. ย่านคิตาโนะ
ย่านคิตาโนะ (Kitano District) เป็นย่านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายที่เมืองโกเบ หลังจากที่รัฐบาลโชกุนเปิดให้โกเบเป็นเมืองเปิดสำหรับการค้าขายได้ในช่วงศตวรรษที่ 19
บริเวณนี้จึงมีอาคารทรงตะวันตกที่สวยงามหลายหลัง ซึ่งได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสถึงบรรยากาศเมื่อวันวานของเมืองโกเบ เช่นเดียวกับร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ครับ
13. วัดสุมะ
วัดสุมะ หรือสุมะเดระ (Sumadera) เป็นวัดในศาสนาพุทธของนิกายสุมะชินงอน ด้านในวัดจะมีโบราณวัตถุและสถานที่สำคัญที่เกี่ยวกับยุคสงครามเกนเป (Genpei War) ระหว่างตระกูลไทระ และมินาโมโตะ ซึ่งใครที่เคยอ่านวรรณกรรมคลาสสิคของญี่ปุ่นอย่าง Tale of the Heike จะคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ
นอกเหนือจากสถานที่สำคัญแล้ว ในวัดยังมีซากุระให้ชมด้วยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสวยไม่เบาเลยครับ
14. สะพานอาคาชิไคเคียว
สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge) เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 4 กิโลเมตรด้วยกัน และเชื่อมเมืองโกเบกับเกาะอาวาจิ (Awaji Island) ครับ
ทั้งนี้บนสะพานมีทางเดินที่ให้คุณได้ชมวิวสวยๆ บนสะพานจากระยะทางกว่า 4 กิโลเมตรด้วย และยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่เล่าเรื่องราวและข้อมูลต่างๆ ของสะพานแห่งนี้ด้วยครับ
15. อาริมะออนเซ็น
อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นตั้งอยู่ใกล้กับเมืองโกเบ ตัวออนเซ็นมีประวัติยาวนานมากกว่าหนึ่งพันปี และรองรับจักรพรรดิ ชนชั้นสูงไปจนถึงพ่อค้าทั่วไปที่เดินทางมาพักผ่อนที่แห่งนี้ทุกยุคทุกสมัยครับ อาคารบ้านเรือนที่สร้างจากไม้นั้นยังคงพอมีให้ได้สัมผัสบรรยากาศแบบเดิมๆ ได้อยู่บ้าง แม้ว่าอาคารส่วนมากจะเป็นแบบโมเดิร์นหมดแล้วก็ตาม
น้ำพุร้อนที่อาริมะออนเซ็นมีอยู่ด้วยกันสองแบบ แบบแรกเรียกว่าคินเซ็น (Kinsen) น้ำสีแดงอมน้ำตาลที่มีธาตุเหล็กจำนวนมาก เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคผิวหนังและปวดกล้ามเนื้อ ส่วนแบบที่สองคือกินเซ็น (Ginsen) น้ำไร้สีที่มีเรเดียม เชื่อกันว่าช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและไขข้อ
ในอาริมะออนเซ็นมีโรงอาบน้ำสาธารณะให้คุณไปใช้บริการได้ แต่ถ้าคุณเลือกพักที่นี่ แน่นอนว่าคุณไปอาบที่เรียวกังของคุณก็ได้เช่นกันครับ
16. เข้าร่วมเทศกาลต่างๆ
KOBE Luminarie – เทศกาลประดับประดาดวงไฟในช่วงกลางคืนเพื่อระลีกเพื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในปี ค.ศ.1995 งานจะจัดในช่วงเดือนธันวาคม และรูปแบบจะเปลี่ยนไปทุกปี ทำให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันครับ
17. ลิ้มลองเนื้อโกเบ
เนื้อโกเบ (Kobe Beef) เป็นสุดยอดวัตถุดิบที่ทำให้เมืองโกเบเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก แน่นอนว่าคุณสามารถลิ้มลองสุดยอดเนื้อชนิดนี้ที่เมืองโกเบได้เช่นกัน ผมแนะนำให้เลือกร้านอาหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ Kobe Beef Association ตามนี้ครับ
ตัวอย่างแพลนทริปโกเบ
ด้านล่างจะเป็นตัวอย่างแพลนทริปเมืองโกเบที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ แต่โปรดตรวจสอบวิธีการเดินทางอีกครั้งเพราะข้อมูลอาจจะเปลี่ยนไปได้ครับ
References
- Feel Kobe
- Kobe Motomachi Official Site
- Kobe Port Tower Official Site
- Nofukuji.jp
- Kobe Nunobiki Herb Gardens & Ropeway