คุมาโนะโคโด (Kumano-Kodo) เป็นเส้นทางแสวงบุญโบราณที่ครอบคลุมพื้นที่เหนือคาบสมุทรคิอิในจังหวัดวากายามะ นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 เส้นทางแสวงบุญและสถานที่ศาสนาที่เกี่ยวข้องได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะฉะนั้นใครที่สนใจในศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนศาสนาพุทธและชินโตของญี่ปุ่นไม่ควรพลาดมาเยี่ยมเยือนครับ
สำหรับบทความนี้นั้นผมจะนำคุณไปรู้จักกับความเป็นมาของเส้นทางแสวงบุญนี้คร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักคุมาโนะโคโด (Kumano-Kodo)
ตามตำนานตั้งแต่โบราณนั้นเชื่อกันว่าพื้นที่คุมาโนะเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พำนักของเทพเจ้า เพราะฉะนั้นสถานะความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จึงมานานนับสหัสวรรษก่อนการเข้ามาของศาสนาพุทธเสียอีก และไม่ว่าจะจักรพรรดิหรือชนชั้นล่างล้วนแต่ศรัทธาในพื้นที่คุมาโนะทั้งสิ้นครับ
ศูนย์กลางของการสักการะบูชาในเส้นทางแสวงบุญคุมาโนะโคโด คือ คุมาโนะซันซัง (Kumano Sanzan) หรือศาลเจ้าคุมาโนะทั้งสาม ทั้งสามศาลเจ้านั้นเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางเดินเท้า ซึ่งเส้นทางนี้เองได้พัฒนาไปเป็นคุมาโนะโคโดครับ
นับตั้งแต่สมัยเฮอันถึงปัจจุบันเป็นเวลาพันกว่าปี เส้นทางคุมาโนะโคโดไม่เคยร้างผู้แสวงบุญ เหล่าผู้ศรัทธาต่างเดินทางมาที่นี่ด้วยใจ และหวังว่าตนเองจะได้เข้าถึงมรรคผลทางศาสนา หรืออย่างน้อยก็ชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากโรคภัยครับ
คุมาโนะโคโดประกอบด้วยเส้นทางทั้งหมด 7 เส้นด้วยกัน แต่เส้นทางหลักนั้นมี 4 เส้นด้วยกันประกอบด้วย
- นากาเฮจิ (Nakahechi) – เส้นทางหลักของคุมาโนะโคโด ซึ่งเริ่มต้นที่เมืองทานาเบะ (Tanabe) และสิ้นสุดที่ศาลเจ้าคุมาโนะทั้งสาม เส้นทางนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้แสวงบุญ เพราะในอดีตเป็นเส้นทางที่องค์พระจักรพรรดิของญี่ปุ่นทรงใช้ครับ
- โคเฮจิ (Kohechi) – เส้นทางที่เชื่อมเส้นทางแสวงบุญที่สำคัญที่สุดทั้งสองเส้น นั่นคือโคยะซัง (Koyasan) และคุมาโนะโคโด ตัวเส้นทางเริ่มใช้ในหมู่ผู้แสวงบุญตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันตัวเส้นทางยังได้รับความนิยมอยู่ เพราะว่ามีธรรมชาติที่สวยงามและหมู่บ้านออนเซ็นน่าแวะหลายแห่ง แต่ต้องผ่านภูเขาสูงที่เดินยากกว่าเส้นทางอื่นๆ
- โอเฮจิ (Ohechi) – เส้นทางแสวงบุญริมฝั่งทะเลที่เลียบชายฝั่งทะเลระหว่างเมืองทานาเบะและนาจิ ตลอดเส้นทางจะมีวิวชายฝั่งทะเลและคาบสมุทรให้ชมอยู่ตลอดครับ
- อิเซจิ (Iseji) – เส้นทางยาวกวา 170 กิโลเมตร และเลียบชายฝั่งทะเล เชื่อมศาลเจ้าอิเซะเข้ากับศาลเจ้าคุมาโนะทั้งสามแห่งครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเยือนคุมาโนะโคโดทำอย่างไร?
เนื่องจากคุมาโนะโคโดมีเส้นทางถึง 4 เส้นหลัก ทำให้มีวิธีการอันหลากหลายในการเดินทางมาที่นี่ครับ
การไปเริ่มที่เมืองทานาเบะ (Tanabe) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะคุณสามารถนั่งรถไฟ Limited Express Kuroshio จากโอซาก้าไปยังสถานี Kii-Tanabe Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครับ หลังจากนั้นคุณก็สามารถเริ่มต้นท่องเที่ยวได้โดยตรง
แต่ในกรณีที่คุณอยากไปชมแลนด์มาร์กสำคัญอย่างน้ำตกนาจิ (Nachi Falls) คุณสามารถนั่งไปรถไฟจากนาโกย่าหรือโอซาก้าไปลงที่ Kii-Katsuura ของเมืองนาจิคัตสึอุระได้เลยครับ หาข้อมูลรอบรถได้ที่เว็บไซต์ของ JR West
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวทานาเบะ และเว็บทางการของนาจิคัตสึอุระ โปรดตรวจสอบเพิ่มเติมที่ต้นทางก่อนที่ออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ
สำหรับอีกตัวเลือกที่น่าสนใจคือการเช่ารถขับ เพราะจะตัดปัญหาเรื่องการเดินทางภายในคุมาโนะโคโดไปมากเลยครับ
การเดินทางภายในคุมาโนะโคโดทำอย่างไร
สถานที่เที่ยวหลักในคุมาโนะโคโดนั้นห่างกันค่อนข้างมาก วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการเช่ารถขับเอง แต่ถ้าตัวเลือกนี้ไม่สามารถเป็นไปได้สำหรับคุณ รถไฟที่เลียบคาบสมุทรคิอินั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับรถบัสต่างๆ ครับ สำหรับเส้นทางรถบัสนั้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ได้เดินแสวงบุญนั้น คุณอาจจะเลือกพักที่เมืองตามเส้นทางคุมาโนะโคโด โดยหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือนาจิคัตสึอุระ (Nachikatsuura) ที่อยู่ใกล้กับน้ำตกนาจิ ถ้าสนใจจะพักที่เมืองนี้ ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ศาลเจ้าคุมาโนะทั้งสาม
ศาลเจ้าคุมาโนะทั้งสาม หรือ คุมาโนะซันซัง (Kumano Sanzan) เป็นหัวใจของการแสวงบุญที่คุมาโนะโคโดครับ ตามความเชื่อก็คือเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ได้เสด็จลงมายังพื้นโลกที่ยอดเขาในบริเวณนี้ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ศักดิ์สิทธิ์ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บริเวณนี้โดดเด่นก็คือเปิดรับสตรีให้เข้าถึงเขตศาลเจ้าได้ ซึ่งส่วนมากแล้วศาลเจ้าในญี่ปุ่นจะไม่ให้ครับ
ทั้งสามแห่งประกอบด้วยดังต่อไปนี้ครับ
1. ศาลเจ้าคุมาโนะฮอนกุไทฉะ (Kumano Hongu Taisha) – ศาลเจ้าที่สร้างขึ้นด้วยไม้ Cypress อย่างสวยงามใกล้กับเมืองทานาเบะ ที่นี่ถือว่ายอดของสถาปัตยกรรมศาลเจ้าของญี่ปุ่น ปัจจุบันตัวศาลเจ้าอาจจะไม่ใช่ของเดิม แต่ก็ได้รับการสร้างใหม่และบูรณะอย่างสวยงามครับ
เกร็ดที่น่าสนใจของศาลเจ้าแห่งนี้คือ ในอดีตนั้นศาลเจ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ที่สันทรายโอยุโนะฮาระครับ สาเหตุที่ถูกย้ายมาตรงนี้ก็เพราะน้ำท่วมบริเวณนั้นหลายครั้ง ทำให้ในปี ค.ศ.1891 รัฐบาลญี่ปุ่นได้รื้อศาลเจ้าจากตำแหน่งเดิม และนำมาก่อใหม่ที่จุดนี้ครับ
2. ศาลเจ้าคุมาโนะฮายาทามะไทฉะ (Kumano Hayatama Taisha) – ตั้งอยู่ที่เมืองชินงุ (Shingu) ตัวศาลเจ้านั้นถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ไฮไลท์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือต้น conifer ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งศาสนิกเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ครับ
3. ศาลเจ้าคุมาโนะนาจิ (Kumano Nachi Taisha) – ตั้งอยู่ที่เมืองนาจิคัตสึอุระ (Nachikatsuura) และล้อมไปด้วยต้นสน Cedar อันสวยงาม ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาลไฟ Nachi-no-Ogi Matsuri ครับ
ที่ศาลเจ้าแต่ละแห่งจะมีของที่ระลึกที่มีสัญลักษณ์นกสามขา หรือ ยาตากะราสุ (Yatagarasu) ซึ่งถือว่าเป็นทูตสวรรค์ที่เคยช่วยเหลือจักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จผ่านเทือกเขาคุมาโนะอันทรงพลังครับ ผู้แสวงบุญมักจะซื้อติดตัวเพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ชั่วร้ายครับ
2. ประตูโอยุโนฮาระ
ประตูโอยุโนฮาระ (Oyunohara Gate) เป็นประตูโทริอิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ในอดีตที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าคุมาโนะฮอนกุไทฉะ แต่ด้วยปัญหาอุทกภัยที่เรื้อรัง ทำให้อาคารในศาลเจ้าได้รับความเสียหายมาก รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้นำศาลเจ้าไปก่อใหม่ที่อื่นครับ แต่ตัวประตูแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในสถานที่เดิม
ปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปกับความใหญ่โตของประตูแห่งนี้ครับ
3. วัดเซอิกันโตจิ
วัดเซอิกันโตจิ (Seiganto-ji Temple) เป็นวัดที่เป็นแลนด์มาร์กอันดับ 1 ของจังหวัดวากายามะ โดยตัววัดเป็นวัดพุทธที่มีเจดีย์สามชั้นที่มีน้ำตกนาจิอันงดงามเป็นฉากหลัง และมีอายุหลายร้อยปีด้วยกัน
อย่างไรก็ดีของเดิมนั้นสูญสลายไปแล้วเพราะไฟสงครามในช่วงยุคเซ็นโกกุ กว่าเจดีย์หลังใหม่จะได้รับการสร้างขึ้นก็เป็นปี ค.ศ.1972 แล้วครับ แต่พอสร้างเสร็จแล้วก็ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทันที เพราะว่าเข้าคู๋กับน้ำตกนาจิได้ดีเหลือเกิน
แต่ละชั้นนั้นประดิษฐานองค์พระที่ต่างกัน อย่างชั้นแรกนั้นมีองค์พระฟุโดะเมียวโอะ ส่วนชั้นที่สองเป็นพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธเจ้า ส่วนชั้นบนสุดมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ (คันนงในภาษาญี่ปุ่น) และจุดชมวิวน้ำตกนาจิครับ
4. น้ำตกนาจิ
น้ำตกนาจิ (Nachi Waterfall) เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ด้านหลังของวัดเซอิกันโตจิ หลังจากที่คุณเดินเข้าประตูโทริอิไป คุณจะเห็นน้ำตกสูง 133 เมตรตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งจัดว่าเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นที่มีน้ำไหลผ่านตลอดปี (น้ำตกอื่นที่สูงกว่านี้จะแข็งในช่วงฤดูหนาวครับ)
สองข้างของน้ำตกจะมีต้นไม้สูงๆ เรียบรายกันไป ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญเพียรใต้น้ำตกของเหล่าศาสนิกครับ แต่ในปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของจังหวัดวากายามะเลยก็ได้
5. เดินตามเส้นทางแสวงบุญต่างๆ
สำหรับนักเดินทางที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง และอยากสัมผัสประสบการณ์การแสวงบุญเหมือนกับในอดีตสักครั้ง การเดินตามเส้นทางแสวงบุญ อย่างเช่นนากาเฮจิเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะคุณจะได้สัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นซึ่งมีความโดดเด่น และไม่จำเจกับที่อื่นครับ
อย่างไรก็ดีตลอดเส้นทางไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย บางจุดของคุมาโนะโคโดนั้นเป็นช่องเขาที่มีมอสจำนวนมาก เพราะฉะนั้นทำให้ลื่นมากถึงมากที่สุด รวมไปถึงยังมีสัตว์มีพิษอีกด้วย ผมแนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในเว็บไซต์ทางการอย่างเคร่งครัดครับ
6. เทศกาลไฟนาจิ
ในช่วงวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ที่ศาลเจ้าคุมาโนะนาจิไทฉะจะมีจัดเทศกาลไฟนาจิ (Nachi Fire Festival) ซึ่งผู้เข้าร่วมจะแต่งกายขุดสีขาว และเดินนำโคมไฟจากศาลเจ้าไปที่น้ำตกนาจิ ตัวโคมไฟนั้นหนักถึง 50 กิโลกรัม และตามด้วยขบวนแห่ตามขนบธรรมเนียมโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยชะล้างสิ่งไมดีจากศาลเจ้าต่างๆ ในบริเวณโดยรอบครับ
เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้ไปเที่ยวน้ำตกนาจิในช่วงวันดังกล่าว เทศกาลนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดชมทุกประการเลยครับ
7. ไดมงซากะ
ทางขึ้นสู่น้ำตกนาจิชื่อไดมงซากะ (Daimonzaka) นั้นมีชื่อเสียงมาตั้งแต่โบราณ เพราะเป็นทางเดินหินที่นำผู้แสวงบุญขึ้นไปสู่วัดเซอิกันโตจิ และน้ำตกนาจิครับ สองข้างทางมีผืนป่าอุดมสมบูรณ์อายุหลายร้อยปีที่ให้ความสดชื่นและร่มรื่นมาทุกยุคทุกสมัยครับ
ทั้งนี้คุณสามารถเช่าชุดโบราณแบบเฮอันเพื่อสวมใส่ แล้วไปถ่ายรูปตามเส้นทางไดมงซากะได้ที่โรงน้ำชาใกล้ๆ ได้ครับ ซึ่งจะให้ความรู้สึกว่าคุณเป็นชนชั้นสูงสมัยโบราณที่เดินทางมาแสวงบุญที่นี่ด้วยความเคารพและศรัทธา เปิดโอกาสให้คุณได้รูปสวยๆ ไปลงใน social network ที่ไม่ซ้ำใครแน่นอนครับ
สำหรับค่าบริการนั้นจะอยู่ที่ 3,000 เยนต่อ 2 ชั่วโมงครับ
8. แช่ออนเซ็น
ตลอดเส้นทางคุมาโนะโคโดนั้นมีออนเซ็นที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่งด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถไปพักผ่อนและบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ อาทิเช่น
คาวายุออนเซ็น (Kawayu Onsen) – ออนเซ็นที่ไม่เหมือนใคร เพราะในช่วงฤดูหนาว (ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) มีจุดแช่น้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ กล่าวคือน้ำจากน้ำพุร้อนจะไหลลงมาสู่สายน้ำเย็นๆ ของแม่น้ำ ทำให้น้ำในบริเวณนั้นเหลือเพียงประมาณ 40 องศา รองรับผู้แช่ได้พร้อมๆ กันกว่าหนึ่งพันคน แต่ถ้ามาช่วงอื่นก็สามารถมาแช่ออนเซ็นได้เหมือนกับที่อื่นๆ ครับ
ยุโนมิเนะออนเซ็น (Yunomine Onsen) – ออนเซ็นโบราณที่มีตำนานว่าน้ำจะเปลี่ยนสีถึง 7 ครั้งตลอดช่วงเวลาหนึ่งวัน ผู้แสวงบุญมักจะมาทำพิธีกันที่นี่ก่อนที่จะเดินทางไปสักการะศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ครับ
ริวจินออนเซ็น (Ryujin Onsen) – ออนเซ็นเก่าแก่ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำของที่นี่ช่วงให้ผิวพรรณของผู้แช่สวยงามเปล่งปลั่ง
References
- Tb Kumano
- Nachi Katsuura Official Site
- Kumano Hongu Tourist Association
- Visit Wakayama