คุชิโระ (Kushiro, 釧路) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอกไกโด และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในพื้นที่แถบนี้ ตัวเมืองมีความโดดเด่นในเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงทะเลสาบอันสวยงามที่เป็นสถานที่ตกปลาใต้น้ำแข็งชื่อดังครับ
ในบทความนี้ ผมจะแนะนำความเป็นมาของเมืองนี้คร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของเมืองคุชิโระ (Kushiro)
คุชิโระไม่ต่างอะไรกับเมืองอื่นๆ ในเกาะฮอกไกโด นั่นคือไม่ได้มีประวัติความเป็นมายาวนานเท่าไรนัก เพราะว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งเข้าผนวกเกาะแห่งนี้ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เท่านั้นเองครับ
อย่างไรก็ดีคุชิโระได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 สาเหตุสำคัญก็เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเมืองท่าแห่งนี้ให้ชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเข้ามาค้าขายได้ ซึ่งเหล่าพ่อค้าก็ชอบเมืองนี้เสียด้วย เพราะสามารถค้าขายได้ตลอดปีจากการที่น้ำทะเลแทบจะไม่แข็งตัวเลยครับ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเมืองคุชิโระ เพราะนอกจากจะโดนทิ้งระเบิดจนได้รับความเสียหายอย่างมากแล้ว สหภาพโซเวียตที่ชนะสงครามและยึดครองหมู่เกาะคูริลไปได้แล้วต้องการเมืองแห่งนี้ แต่ด้วยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา ทำให้เมืองนี้ยังอยู่ในการครอบครองของญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันคุชิโระยังคงเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจผูกพันกับการประมงเหมือนกับครั้งอดีต แต่ก็เพิ่มเติมด้วยการท่องเที่ยว เพราะคุชิโระติดกับอุทยานแห่งชาติถึงสองแห่ง แม่น้ำสามแห่ง และทะเลสาบอีกห้าแห่ง ทำให้เป็นแดนสวรรค์ของใครที่รักการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเลยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังเมืองคุชิโระทำอย่างไร?
ในกรณีที่คุณต้องการเดินทางไปยังเมืองคุชิโระโดยตรงจากเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นนอกเกาะฮอกไกโด อย่างเช่น โตเกียวหรือโอซาก้า คุณสามารถบินมาลงสนามบิน Kushiro Airport ได้โดยตรง หลังจากนั้นก็ต่อรถบัส (Akan Bus) เข้าเมือง วิธีนี้ถือว่าเร็วและซับซ้อนน้อยที่สุดครับ
แต่ถ้าคุณอยู่ในฮอกไกโดอยู่แล้ว คุณมีทางเลือกดังต่อไปนี้
จากซัปโปโรหรือเมืองอื่นๆ ที่อยู่รายรอบ (เช่นโอตารุ หรือโนโบริเบทสึ)
- บิน + รถบัส – คุณสามารถเดินทางไปยังสนามบิน New Chitose Airport หรือ Okadama Airport แล้วบินไปยัง Kushiro Airport แล้วต่อรถบัสเข้าคุชิโระได้ครับ
- รถไฟ – อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและประหยัดลงมาคือ ใช้บริการรถไฟ Limited Express Super Ozora ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงไปยังสถานี JR Kushiro Station ครับ รถไฟผ่านทั้งสถานีกลางซัปโปโร และสถานี Minami-Chitose (เชื่อมกับสนามบิน New Chitose Airport) ดูเวลารถได้ที่ JR Hokkaido ครับ
- รถบัส – ตัวเลือกที่ใช้เวลามากกว่ารถไฟ แต่ถูกกว่า คุณสามารถนั่งรถบัสได้จากซัปโปโรไปยังคุชิโระได้โดยตรงครับ เวลาที่ใช้จะอยู่ที่ 5.30-6 ชั่วโมง
จากอาซาฮิคาวะ และสถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่อยู่รายรอบ (เช่นโซอุนเคียวออนเซ็น หรืออาซาฮิดาเกะ)
- รถบัส – มีรถบัสบริการจากอาซาฮิคาวะไปยังคุชิโระโดยตรง ทำให้การเดินทางสะดวกสบายครับ
นอกเหนือจากวิธีการเหล่านี้แล้ว คุณสามารถเช่ารถที่เมืองใหญ่อย่างเช่นซัปโปโร และอาซาฮิคาวะและขับมาเที่ยวคุชิโระได้เช่นกัน วิธีนี้มีข้อดีคือทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีรถไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ที่ส่วนใหญ่อยู่นอกเมือง และยังสามารถไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ อย่างเช่น อาบาชิริ หรือ ชิเรโตโกะอีกด้วย
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวคุชิโระ ก่อนออกเดินทางหรือจองตั่ว โปรดตรวจสอบอีกครั้งเพราะมีบางเคสที่เส้นทางรถไฟเปลี่ยนไปทั้งหมดครับ
ไปเที่ยวคุชิโระช่วงไหนดี?
คุชิโระเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ละช่วงจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงของการชมนกกระเรียนและการตกปลาในทะเลสาบน้ำแข็ง หรือกิจกรรมฤดูหนาวอื่นๆ ส่วนช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงของเทศกาล และการชมพื้นที่ชุ่มน้ำอันเขียวชอุ่มครับ
ที่พัก
ถ้าคุณยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักคุชิโระน่าจองของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. พื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระ
พื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระ (Kushiro Wetland) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ขนาดของมันสามารถบรรจุกรุงโตเกียวได้ทั้งหมดอย่างสบายๆ ครับ ดังนั้นที่นี่จึงมีระบบนิเวศที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ โดยเฉพาะนกกระเรียนมงกุฏแดง หรืออีกชื่อว่านกกระเรียนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสัตว์สงวนหายากครับ
วิธีการชมพื้นที่แห่งนี้มีหลายแบบด้วยกัน แต่ที่ง่ายและได้รับความนิยมคือ การไปชมที่จุดชมวิวอย่าง Hosooka Obseravatory เพราะเวลาคุณมองออกไป คุณจะเห็นเป็นพื้นที่ราบลุ่มอันเขียวชอุ่มแบบสุดลูกลูกตา ซึ่งสวยงามมากเลยครับ
อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมคือนั่งรถไฟ ซึ่งในช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคมจะมีรถไฟชมวิวอย่าง Norokko Train ให้บริการ แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวนั้น คุณจะได้นั่งรถจักรไอน้ำอย่าง Fuyu-no-Shitsugen และชมทุ่งราบที่เต็มไปด้วยหิมะอันขาวโพลนครับ
แต่ถ้าคุณอยากลงไปชมใกล้ๆอย่างใกล้ชิด คุณสามารถล่องเรือแคนู (หรือจะพายเองก็ได้ แต่ต้องมีผู้นำทาง) เข้าไปชมสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามริมน้ำ ซึ่งให้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่งเลยครับ
ในช่วงฤดูหนาวนั้น พื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระจะมีกิจกรรมเพิ่มเติม อย่างเช่นการเล่นสเก็ตหรือใส่ Snowshoe และท่องไปตามทุ่งราบที่เต็มไปด้วยหิมะ
แต่กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ในช่วงนี้คือการชมนกกระเรียนครับ ซึ่งคุณสามารถไปชมตามจุดให้อาหารได้ (ต้องให้อาหารเพราะช่วงนี้อาหารตามธรรมชาติจะน้อยมาก) อย่างเช่นที่ Tsuruimidai/Tsurui-ito Sanctuary ครับ
อีกหนึ่งจุดที่นิยมไปชมกันก็คือที่สะพานโอโตวะ (Otowa Bridge) อันเป็นจุดที่นกกระเรียนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่นี่ในช่วงเช้าครับ
ข้อควรทราบ
บางจุดในเขตพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นไม่มีรถสาธารณะเข้าไป ทางเดียวที่มีอยู่คือขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปครับ
2. ชมตะวันตกดิน
ในอดีตเหล่ากลาสีที่ล่องเรือไปทั่วโลกนั้นขนานนามว่าคุชิโระเป็นหนึ่งในจุดที่ชมตะวันตกดินได้อย่างสวยงามที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้เดินทางมาที่นี่ กิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่คุณห้ามพลาดเลยครับ
จุดชมตะวันตกดินอันดับ 1 แน่นอนว่าคือที่สะพานนุซะไม (Nusamai Bridge) ซึ่งในช่วงเย็นนั้นผืนน้ำจะกลายเป็นสีโทนส้มไปทั่วอาณาบริเวณ รับรองว่าสวยจนไม่มีวันลืมเลยครับ
อีกหนึ่งจุดยอดนิยมก็คือตามจุดชมวิวในเขตพื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระครับ บรรยากาศที่ได้จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าลงไปในผืนป่าลำเนาไพรนั่นเองครับ
3. ทะเลสาบอะคัง
ทะเลสาบอะคัง (Lake Akan) เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของคุชิโระ เพราะมีทัศนียภาพที่สวยงามตลอดปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างๆ ให้มาทำกิจกรรมสายลุยต่างๆ ครับ
ตัวทะเลสาบเกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟในช่วง 150,000 ปีก่อน และได้กลายเป็นถิ่นอาศัยของพืชและสัตว์จำนวนมาก โดยเฉพาะมาริโมะ (Marimo) หรือ Moss Balls มอสทรงกลมสีเขียวขนาดใหญ่ที่มีเพียงสองแห่งในโลกเท่านั้นครับ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ชาวไอนุจะมีเทศกาลมาริโมะ (Marimo Festival) โดยชาวไอนุจะนำมาริโมะจากทะเลสาบกลับคืนไปสู่ทะเลครับ
สำหรับใครที่เน้นชมวิวเป็นหลัก ที่นี่มีหลายวิธีให้เลือกชมตั้งแต่ไปที่จุดชมวิว Akanhokan Viewpoint หรือว่าจองทัวร์ล่องเรือ ซึ่งอย่างหลังจะใช้เวลาชม 85 นาที ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2000 เยนครับ ถ้าสนใจติดต่อได้ที่ Akan Sightseeing Cruise Company
ในช่วงฤดูหนาวนั้นทัศนียภาพของที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะช่วงนี้จะมีโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหายากอย่างดอกไม้น้ำแข็ง (Frozen Flowers) หรือพูดง่ายๆ คือไอน้ำในอากาศทำปฏิกิริยากับน้ำในทะเลสาบจนเกิดเป็นรูปร่างต่างๆ ที่ดูเหมือนกับดอกไม้ช่อเล็กเรียงรายตามกันไปครับ
แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนชอบมาที่นี่คือการตกปลาครับ ซึ่งจะตกได้ทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว แต่ที่พิเศษจริงๆ คือตกปลาวาคาซากิ (Japanese Smelt) ในทะเลสาบน้ำแข็งครับ
ผู้ที่สนใจจะมาตั้งเต้นท์บนทะเลสาบอะคัง แล้วเจาะรูบนผืนน้ำแข็งด้วยสว่าน และหย่อนเบ็ดพร้อมเหยื่อลงไป หลังจากที่ได้ปลามาแล้ว คุณสามารถนำไปทอดได้ในกระท่อมใกล้ๆ ซึ่งปลาวากาซากิในทะเลสาบนั้นคุณภาพดีมาก เพราะฉะนั้นรสชาติยอดเยี่ยมสุดๆ ครับ
ท้ายที่สุดใกล้กับทะเลสาบนั้นมีสกีรีสอร์ทอยู่ด้วย (Akankohan Ski Area) ซึ่งรองรับได้ตั้งแต่นักสกีหน้าใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ จุดเด่นของที่นี่คือระหว่างเล่น คุณจะได้ชมวิวสวยๆ ของทะเลสาบอะคังและภูเขาไฟต่างๆ ได้ไปพร้อมๆกันครับ
4. หมู่บ้านไอนุ
ใกล้กับทะเลสาบอะคังนั้นมีหมู่บ้านไอนุ (Akanko Ainu Kotan) ที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ ชาวไอนุเป็นชาวพื้นเมืองของฮอกไกโดที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่โบราณ พวกเขามีภาษา วัฒนธรรม ประเพณี เป็นของตนเองครับ
ที่หมู่บ้านแห่งนี้คุณจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม ผ่านบ้านเรือนแบบไอนุที่จำลองมาจากบ้านโบราณของพวกเขา
นอกจากนี้ยังด้านในยังมีโรงละครขนาดใหญ่ที่มีการแสดงเต้นรำ ซึ่งสะท้อนความเชื่อ ศาสนา และวัฒนธรรมของชาวไอนุที่สืบทอดมาหลายสิบชั่วคน ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้สัมผัสอีกด้วย ประสบการณ์แบบนี้ยากจะหาได้ ณ ที่อื่นๆ แม้ว่าจะเป็นในฮอกไกโดก็ตามครับ
ใครที่สนใจหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Akanko Ainu Kotan ครับ
5. อาคังโคะออนเซ็น
อาคังโคะออนเซ็น (Akanko Onsen) เป็นออนเซ็นที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของฮอกไกโด ซึ่งหลังจากที่คุณเที่ยวทะเลสาบหรือตกปลาเสร็จแล้ว คุณสามารถมาเข้าพักในโรงแรมในหมู่บ้านออนเซ็นแห่งนี้ได้
ที่โรงแรมแต่ละแห่งมักจะมีออนเซ็นให้บริการอีกด้วย ซึ่งการแช่น้ำร้อนไปพร้อมๆ กับสัมผัสลมหนาวไปพร้อมๆกันนั้นเป็นประสบการณ์ที่ฟินสุดๆ ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเลยครับ
สำหรับใครที่ไม่อยากจะแช่ทั้งตัว คุณสามารถเลือกแช่เท้าหรือแช่มือก็ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแช่มือที่เชื่อกันว่าเริ่มต้นที่ออนเซ็นแห่งนี้นี่เอง
6. ชมตลาดปลา
ตลาดวาโช (Washo Market) เป็นตลาดที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 สุดยอดตลาดแห่งฮอกไกโดเคียงคู่กับตลาดนิโจแห่งซัปโปโร และตลาดเช้าแห่งฮาโกดาเตะครับ
ภายใต้ตลาดมีขายอาหารทะเลมากมาย ซึ่งคุณสามารถลิ้มรสความอร่อยได้ไม่ว่าจะเป็นซูชิ หรือซาชิมิ แต่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเห็นจะเป็นคัตเตะด้ง ข้าวหน้าปลาดิบแสนอร่อยที่มีชื่อเสียงระบือไกลครับ
7. ลองชิมอาหารพื้นเมือง
คุณจะไปไม่ถึงคุชิโระถ้าไม่ได้ลองชิมอาหารพื้นเมืองครับ เมนูที่น่าสนใจประกอบด้วย
- โรโบตะยากิ (Robo tayaki) – ซีฟู้ดสดๆ จากทะเลย่างบนเตาถ่าน เหมือนกับ BBQ ครับ ด้วยความที่คุชิโระมีชื่อเสียงมากเรื่องอาหารทะเล ทำให้นี่เป็นสิ่งที่คุณพลาดไม่ลิ้มลองไม่ได้เลยครับ
- คัตเตะด้ง (Kattedon) – ไคเซนด้งแบบของคุชิโระ
- เส้นโซบะคุชิโระ (Kushiro Soba) – โซบะที่มีสีเขียวเป็นเอกลักษณ์ เพราะใส่สาหร่ายคลอเรลล่าเข้าไป เมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูที่ชาวเมืองภาคภูมิใจครับ
- คุชิโระราเมง (Kushiro Ramen) – ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 4 ราเมงแห่งฮอกไกโด เส้นของที่นี่เป็นเส้นบางและเสิร์ฟในน้ำซุปที่ทำจากโชยุ พร้อมๆกับหมูชาชูแสนอร่อยครับ
- ซุปะคัตสึ (Supakatsu) – เส้นสปาเกตตี้โปะหน้าด้วยทงคัตสึราดซอสแบบฉ่ำๆ
- คุชิโระซันกิ (Kushiro Zangi) – ไก่ทอดแบบ deep-fried สไตล์คุชิโระ
ตัวอย่างแพลนทริปคุชิโระ
ด้านล่างคือ infographic ที่ผมจัดทำไว้แล้ว ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ได้เลยอย่างอิสระ และปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ข้อควรระวังมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือต้องตรวจสอบวิธีการเดินทางให้เรียบร้อยด้วยครับ
References
- Kushiro – Lake Akan Travel Guide
- Akanko Ainu Kotan