เกียวโต (Kyoto) เป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น โดยเป็นสถานที่พำนักขององค์พระจักรพรรดิญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานกว่าหนึ่งพันปี แม้ว่าเมืองหลวงโดยพฤตินัยในบางช่วงของประวัติศาสตร์จะย้ายไปอยู่ที่คามาคุระหรือว่าเอโดะ แต่ว่าตามนิตินัยแล้ว ถ้าเมืองหลวงของประเทศยังคงอยู่ที่เกียวโตครับ
ปัจจุบันเมืองเกียวโตเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่นักเดินทางนิยมไปเยี่ยมเยือนมากที่สุด บทความนี้จึงจะนำคุณไปรู้จักกับความเป็นมาของเมืองเกียวโตคร่าวๆ ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองเกียวโต (Kyoto)
เกียวโตตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศในเขตคันไซ และมีสถานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเกียวโตในปัจจุบัน พื้นที่บริเวณเมืองเกียวโตนั้นมีผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ แต่ในช่วงนั้นเกียวโตก็ยังไม่ได้มีสถานะเป็นเมืองแต่อย่างใดครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 8 ราชสำนักของพระจักรพรรดิเผชิญกับการท้าทายของนักบวชในพระพุทธศาสนาที่เรืองอำนาจขึ้นมาในเมืองหลวงของอาณาจักรในเวลานั้นซึ่งตั้งอยู่ที่นารา ทำให้จักรพรรดิคังมุ (Emperor Kanmu) ทรงปรารถนาที่จะสร้างเมืองหลวงใหม่เพื่อที่จะได้ไกลจากฐานที่มั่นของพวกนักบวชเหล่านี้
เมืองหลวงใหม่จึงถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากฉางอาน เมืองหลวงของราชวงศ์ถังของจีน และหลักฮวงจุ้ย เมื่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ตัวเมืองได้ปรากฏนามว่าเฮอันเคียว (Heian-Kyo) หลังจากนั้นจักรพรรดิญี่ปุ่นหลังจากนั้นก็เสด็จมาประทับที่นี่เป็นการถาวร
ตลอดสมัยเฮอันนั้น เมืองเฮอันเคียวได้เจริญรุ่งโรจน์ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศิลปะ แต่แล้วในช่วงปลายสมัยเฮอัน อำนาจของจักรพรรดินั้นค่อยๆ ลดลงตามลำดับ กลุ่มชนชั้นสูงและขุนศึกได้ขึ้นมามีอำนาจแทน โดยเฉพาะตระกูลฟูจิวาระในช่วงศตวรรษที่ 9-10 ช่วงปลายยุคเฮอันนั้น ตัวเมืองเริ่มถูกเรียกว่าเกียวโต (Kyoto) แทนที่เฮอันเคียวและได้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 12 อำนาจของจักรพรรดิได้ตกไปอยู่ในกำมือของชนชั้นนักรบหรือขุนศึกโดยสมบูรณ์หลังจากที่มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะมีชัยในสงครามกลางเมือง ตัวเขาเองได้สถาปนาขึ้นเป็นโชกุนและปกครองญี่ปุ่นภายใต้นามของจักรพรรดิ ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวอาจจะเรียกได้ว่าญี่ปุ่นมีเมืองหลวงสองแห่งนั่นคือเกียวโต (โดยนิตินัย เพราะเป็นที่พำนักของประมุขของประเทศ) และคามาคุระ (โดยพฤตินัย ที่พำนักของโชกุนผู้มีอำนาจแท้จริง)
ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 15 เกียวโตได้รับความเสียหายหนักมากจากสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าสงครามโอนิน (Onin War) สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหล่าชนชั้นนักรบและชนชั้นสูงในเฮอันเคียวได้สู้รบกันเองภายในเมือง และได้เผาทำลายแนวป้องกันและสิ่งก่อสร้างของอีกฝ่าย ความเสียหายครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนาที่สุดตั้งแต่เกียวโตได้สร้างเลยครับ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ฮิเดโยชิได้ขึ้นมามีอำนาจ และเขาได้มีคำสั่งให้ซ่อมแซมบูรณะตัวเมืองเกียวโต และสร้างแนวกำแพงดินล้อมรอบเมือง ซึ่งเป็นประโยชน์ยิ่งเพราะในสมัยเอโดะที่ตามมานั้น เกียวโตเป็นหนึ่งในสามเมืองเอกของญี่ปุ่นคู่กับเอโดะและโอซาก้าครับ)
ปี ค.ศ.1864 ตัวเมืองผจญกับหายนะครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเพราะได้เกิดกบฏครั้งใหญ่ที่ทำให้บ้านเรือนเกือบสามหมื่นหลังถูกทำลายเรียบ แถมในสมัยเมจิที่ตามมาหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญเพราะพระจักรพรรดิเสด็จไปประทับที่โตเกียว (เอโดะเดิมเป็นการถาวร) ทำให้เกียวโตสูญเสียสถานะเมืองหลวงของประเทศไปอย่างถาวรครับ
ด้วยเศรษฐกิจของเมืองที่ไม่ดีในสมัยเมจิ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตัวเมืองฟื้นคืนมาอย่างช้าๆ จนมีประชากรถึงหนึ่งล้านคนในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ครับ
หนึ่งในเกร็ดที่น่าสนใจของเมืองเกียวโตก็คือ ตัวเมืองเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกในการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ด้วย เพราะมีแนวคิดว่าความย่อยยับของเมืองจะทำให้ญี่ปุ่นเลือกที่จะยอมจำนน แต่เพราะการคัดค้านอย่างแข็งขันของเฮนรี่ สติมสัน รัฐมนตรีกระทรวงสงครามของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกียวโตและโบราณสถานนับพันแห่งในเมืองรอดพ้นความพินาศมาได้ (สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นากาซากิแทน)
ด้วยความที่แทบไม่ได้รับความเสียหายเลยจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เกียวโตหลงเหลือบ้านเรือนสมัยก่อนสงครามมากกว่าที่อื่นๆ (แต่ของเดิมที่เก่าแก่จริงๆ ก็เหลือไม่มากนัก เพราะการปรับปรุงตัวเมืองให้ทันสมัยหลังสงคราม และการเผาทำลายในการกบฏก่อนหน้านี้)
ปัจจุบันเกียวโตเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นอู่อารยธรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเยี่ยมเยือน ถ้าอยากจะสัมผัสวัฒนธรรมเก่าแก่ของดินแดนอาทิตย์อุทัยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองเกียวโตทำอย่างไร?
ชินคันเซนเป็นตัวเลือกยานพาหนะที่รวดเร็วและสะดวกสบายที่สุดในการเดินทางจากเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่นไปยังเกียวโต ทั้งนี้คุณสามารถนั่ง Tokaido Shinkansen (ทุกขบวนจอดที่เกียวโต) ได้จากหลายเมืองไม่ว่าจะเป็นโตเกียว โอซาก้า นาโกย่าและโยโกฮาม่า รวมไปถึงเมืองขนาดเล็กที่ชินคันเซนสายนี้ผ่านซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเช่นอาตามิและฮามามัตสึครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Kyoto Travel เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวเกียวโตซึ่งคุณสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างเช่นเวลาและขบวนรถนั้นอ่านได้จากเว็บของ JR West ครับ
การสัญจรในเมืองเกียวโตทำอย่างไร
โดยมากแล้วคุณจะเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในเมืองเกียวโตด้วยการใช้รถไฟใต้ดินและระบบรถไฟต่างๆ เช่นเดียวกับรถบัส และแน่นอนว่ามีแท็กซี่ให้บริการเช่นกัน (แต่ว่าราคาสูง)
อันที่จริงแล้วนั้นสถานที่เที่ยวสำคัญในเมืองล้วนแต่ห่างกันไม่มากนัก ทำให้เหมาะต่อการเดินชมอย่างยิ่ง สายชอบเดินอย่างเช่นตัวผมเองโปรดปรานมากเลยครับ
เพื่อความสะดวกสบาย การซื้อ Kansai One Pass ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ (โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะเที่ยวอยู่ในคันไซอีกหลายวัน) เพราะคุณไม่ต้องมาต่อคิวซื้อตั๋วให้น่าเบื่อน่ารำคาญ แต่บัตรนี้จะไม่ได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายครับ
ถ้าอยากลดค่าใช้จ่าย คุณจะต้องซื้อ Kansai Area Pass ซึ่งรวมการใช้บริการ Kyoto Subway, รถบัสในเกียวโต, Keihan Railway, Hankyu Railway ถ้าซื้อบัตรนี้แล้ว คุณจะใช้เดินทางไปเมืองอื่นๆ อย่างนารา, โกเบ หรือฮิเมจิก็ได้ (แต่นั่งชินคันเซนไม่ได้) โดยราคาบัตรเริ่มต้นที่ 2,800 เยนสำหรับ 1 วันครับ (ราคาใหม่สำหรับเดือนตุลาคม 2023 เป็นต้นไป)
แต่ถ้าคุณอยากประหยัดค่าเดินทางเฉพาะในเขตเมืองเกียวโต คุณสามารถซื้อ Subway, Bus One-Day Pass ได้ในราคา 1,100 เยนครับ
มีเวลาในเกียวโตน้อยทำอย่างไรดี?
เนื่องจากเกียวโตมีสถานที่ท่องเที่ยวระดับท็อปจำนวนมาก ดังนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะเที่ยวให้ครบภายในวันเดียว โดยเฉพาะถ้าคุณต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะอย่างรถไฟหรือรถบัสครับ
วิธีที่ดีที่สุดถ้าคุณมีเวลาน้อยคือการซื้อทัวร์ท้องถิ่นแบบ 1 วัน ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Klook หรือ GetYourGuide เพราะคุณจะได้เก็บสถานที่สำคัญทั้งหมดด้วยรถบัสหรือรถตู้ของทัวร์ ซึ่งจะประหยัดเวลามากกว่าการเดินทางด้วยตนเองครับ
1. ปราสาทนิโจ
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) หรือว่านิโจโจ เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นโดยโตกุกาวะ อิเอยาสึ โชกุนคนแรกของสมัยเอโดะ โดยปราสาทแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่พำนักระหว่างที่เขาเดินทางจากเอโดะไปยังเกียวโต และอีกนัยหนึ่งก็เป็นประกาศความยิ่งใหญ่ของคนให้ไดเมียวทั่วทั้งแผ่นดินเกรงขามด้วย เพราะเขาได้สั่งให้ไดเมียวฝั่งตะวันตกทั้งหมดซึ่งเป็นศัตรูกันมาก่อน เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและอำนวยการสร้างให้ครับ
อย่างไรก็ดีตลอดระยะเวลาสองร้อยกว่าปีของสมัยเอโดะ โชกุนโตกุกาวะแต่ละคนต่างไม่ได้เดินทางไปยังเกียวโตบ่อย ทำให้ที่นี่ไม่ค่อยได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ของการสร้างเท่าไรนัก
น่าเสียดายที่ตัวปราสาทหลักคือเทนชู (Tenshu) นั้นถูกไฟไหม้เสียหายไปแล้วทั้งหลังในช่วงศตวรรษที่ 18 ทำให้องค์ประกอบของทั้งปราสาทนั้นไม่ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นครับ แต่ว่าส่วนอื่นของปราสาทยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะรอดพ้นการรื้อถอนในช่วงสมัยเมจิตอนต้น และสงครามโลกครั้งที่สองมาได้
ปัจจุบันจุดที่น่าสนใจในปราสาทที่น่าไปเข้าชมได้แก่
ประตูฮิกาชิ-โอเตมง (Higashi-Otemon) หรือประตูตะวันออกเป็นประตูหลักของปราสาท ตัวประตูเป็นแบบสองชั้น แต่ในสมัยเมจิที่องค์จักรพรรดิใช้ที่นี่เป็นที่ประทับ ประตูแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นประตูชั้นเดียว เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมององค์จักรพรรดิลงมาจากด้านบนครับ
ประตูคารามง (Kara-mon) – ประตูซึ่งเป็นทางเข้าสู่ปราสาทนิโนะมารุ หน้าจั่วและหลังคาล้วนทำมาจากไม้อย่างดีแสดงให้เห็นถึงสถานะสูงสุดของผู้ผ่านประตูบานนี้ เสาทั้งสี่ต้นของประตูถูกแกะสลักอย่างประณีตเป็นรูปต้นไม้และดอกไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงชีวิตที่ยืนยาวครับ
พระราชวังนิโนะมารุ (Ninomaru Palace) หรือนิโนมารุโกเต็น ตัวปราสาทนั้นประกอบด้วยอาคารหกหลังที่เชื่อมต่อกัน ด้านนอกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโชนินสุคุริ (Shoin-zukuri) ส่วนในตบแต่งด้วยศิลปกรรมภาพเขียนแบบคาโนะ (Kano School) ปัจจุบันที่นี่ถือว่าเป็นพระราชวังในปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะเหลือเพียงแห่งเดียวแล้วครับ
แต่ละห้องจะประกอบด้วยห้องรับแขกที่โชกุนใช้ต้อนรับเหล่าไดเมียว รวมไปถึงห้องอาวุธ และห้องรับสาร แต่ละห้องนั้นเป็นสีทองเปล่งปลั่งและสวยงามมาก และมีภาพเขียนสีให้ชมมากมาย โดยเฉพาะมัตสึตากะสุ หรือภาพอินทรีเกาะต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดครับ
ในบริเวณพระราชวังก็จะมีสวนตั้งอยู่ด้วยชื่อว่าสวนนิโนะมารุ ตัวสวนเป็นแบบโชนินสุคุริ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงเซียนตามตำนานปรัมปราของจีน อย่างไรก็ดีตัวสวนในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากสมัยเอโดะพอสมควร เพราะว่ามีการเปลี่ยนโครงสร้างสวนอยู่หลายครั้งครับ แต่โดยรวมถือว่าเป็นสวนญี่ปุ่นที่’สวยงดงามมากครับ
ส่วนต่อมาที่น่าสนใจคือพระราชวังฮอนมารุ (Honmaru Palace) ในอดีตเคยมีพระราชวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่ถูกไฟไหม้เสียหายไปในช่วงศตวรรษที่ 18 และได้มีการสร้างใหม่ ทว่าก็ถูกรื้อถอนอีกในรัฐบาลเมจิในปี ค.ศ.1881
ปัจจุบันตัวพระราชวังเดิมเหลือแต่ส่วนที่เคยเป็นสถานที่พำนักของเจ้าชายหรือมงกุฏราชกุมารในสมัยเมจิเท่านั้นครับ ทั้งด้านในและด้านนอกจึงเทียบกับพระราชวังนิโนะมารุไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวอย่างวังเจ้าชายที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมสมัยเอโดะที่ยังหลงเหลืออยู่ครับ
สวนเซย์ริว (Seiryu Garden) หรือเซย์ริวเอ็น เป็นสวนลูกผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ด้านในมีโรงชาแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ ซึ่งมักจะใช้รองรับแขกบ้านแขกเมือง แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถเข้าไปดื่มชาและชมสวนได้เช่นกัน
ทั้งนี้ตัวปราสาทนั้นจะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เพราะมีดอกพลัมและซากุระ) และช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ใบไม้เปลี่ยนสี) ครับ
ค่าเข้าชม: 800 เยน (ปราสาทอย่างเดียว), 1,300 เยน (ปราสาทและวังนิโนะมารุ)
2. สวนเกียวโตเคียวเอ็น
สวนเกียวโตเคียวเอ็น หรือ Kyoto Imperial Park/Kyoto Gyoen เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเกียวโต ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกพลัมและซากุระเบ่งบานครับ
อย่างไรก็ดีที่นี่เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นหลายแห่ง อย่างเช่น
พระราชวังหลวงเกียวโต (Kyoto Imperial Palace) เป็นสถานที่พำนักขององค์พระจักรพรรดิญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานจนกระทั่งในปี ค.ศ.1868 ที่ได้มีการเสด็จไปประทับที่โตเกียวเป็นการถาวร อย่างไรก็ดีตัวพระราชวังหลวงนั้นสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1855 เพราะหลังก่อนๆ ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ครับ อาคารแต่ละแห่งในวังนั้นไม่ได้เปิดให้เข้าชม นักท่องเที่ยวสามารถชมได้จากด้านนอกได้เท่านั้นครับ
พระราชวังเซ็นโตะ (Sento Imperial Palace) – พระราชวังที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พำนักของจักรพรรดิญี่ปุ่นที่สละราชสมบัติ น่าเสียดายที่ตัววังของเดิมนั้นถูกเผาทำลายจนราบในปี ค.ศ.1854 และไม่ได้รับการสร้างใหม่ ปัจจุบันส่วนของพระราชวังที่เคยยิ่งใหญ่นั้นเลือกแต่เพียงสวนและโรงชาเท่านั้นครับ
ใกล้กับพระราชวังเซ็นโตะมีวังโอมิยะ (Omiya Palace) ซึ่งใช้เป็นสถานที่พำนักของพระมารดาของจักรพรรดิในช่วงสมัยเมจิ ในปัจจุบันวังแห่งนี้เป็นสถานที่ประทับของจักรพรรดิเวลาที่พระองค์เสด็จประพาสเกียวโตครับ
3. วัดฮอนกันจิ
วัดฮอนกันจินั้นประกอบด้วยวัดสองแห่งได้แก่วัดนิชิฮอนกันจิ (Nishi Honganji) หรือวัดฝั่งตะวันออก ที่นี่เป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายโจโด-ชินชู หรือนิกายสุขาวดีของญี่ปุ่น ด้านในมีพระพุทธรูปของพระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแห่งแสงสว่างผู้ปฏิญาณว่าจะนำศาสนิกผู้เอ่ยชื่อของพระองค์ด้วยความศรัทธาไปสู่ดินแดนสุขาวดีหลังจากที่ล่วงลับไปแล้วครับ
ส่วนอีกวัดหนึ่งคือฮิกาชิฮอนกันจิ (Higashi Honganji) หรือวัดฝั่งตะวันออก วัดนี้เป็นวัดของนิกายย่อยโอตานิซึ่งอยู่ในนิกายโจโด ชินชูอีกทีหนึ่ง ตัวอาคารของวัดแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ซึ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเกียวโตครับ
4. วัดคิโยมิสึเดระ
วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyamizudera Temple) เป็นแลนด์มาร์กที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งของเกียวโต ตัววัดมีระเบียงขนาดใหญ่ที่มีเสาไม้สูง 13 เมตรค้ำยันอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่นิยมมาถ่ายรูปชมวิวกันครับ ทั้งนี้ตัววัดนั้นสร้างอยู่บริเวณภูเขาที่มีน้ำตก ซึ่งศาสนิกมักจะรองน้ำจากลำธารไปดื่มกิน เพราะเชื่อกันว่าดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้สมองแล่นการเรียนแจ่มอีกด้วย (ความเชื่อนะครับ)
องค์พระหลักของวัดนี้คือมีพระโพธิสัตว์กวนอิม (หรือคันนงในภาษาญี่ปุ่น) แต่ที่ศาสนิกและนักท่องเที่ยวสนใจจริงๆ คือศาลเจ้าจิชู (Jishu Shrine) ซึ่งหนุ่มสาวที่ยังโสดมักจะมาทำพิธีขอคู่ครองที่เหมาะสมกันที่นี่
ตามพิธีกรรมก็แค่เดินผ่านระหว่างหินสองก้อน (ระยะทางประมาณ 18 เมตร) ถ้าเดินผ่านโดยไม่มีใครช่วยแสดงว่าคุณจะได้เจอคู่ได้ด้วยตนเอง ส่วนถ้าต้องให้คนอื่นช่วยแสดงว่าจะได้คู่ผ่านพ่อสื่อแม่ชักครับ ถือว่าน่าสนใจมากสำหรับใครที่เป็นสายมูและยังไม่มีแฟนครับ
5. ย่านฮิกาชิยาม่า
ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama District) เป็นย่านเมืองเก่าที่อยู่ใกล้กับวัดคิโยมิสึเดระ สองข้างทางของย่านนี้เป็นอาคารเก่าทรงญี่ปุ่นที่สวยงามและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้กลายเป็นโรงน้ำชา ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งคุณจะได้สัมผัสบรรยากาศสมัยเอโดะที่หาชมได้ยากครับ
เจดีย์ที่เห็นอยู่ไกลๆ จากย่านนี้คือเจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda) ด้านเจดีย์นั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ครับ
6. ย่านกิออน
กิออน (Gion) เป็นย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องเกอิชา หญิงสาวเหล่านี้ยังคงจัดแสดงแบบโบราณที่หาชมได้ยากแล้วในปัจจุบันอยู่ตามโรงน้้ำชา่ ซึ่งคุณจะได้รับประทานอาหารหรือของหวานพร้อมน้ำชา พร้อมกับรับชมการจัดแสดงไปพร้อมๆ กันครับ
สำหรับโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้น่าจะเป็นโรงน้ำชาอิชิริคิ (Ichiriki Ochaya) เพราะเคยเป็นสถานที่นัดพบของ 47 โรนินที่วางแผนล้างแค้นแทนเจ้านาย ซึ่งเป็นวีรกรรมที่มีชื่อเสียงไปทั้งประเทศญี่ปุ่นครับ
การจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้นั้นคงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณต้องจ่ายในราคาที่สูง ทว่าหนึ่งในจุดที่ไม่แพงนักในการเดินทางไปชมคือที่โรงละคร Gion Corner ครับ โดยราคาต่อหัวจะเริ่มที่ 4,400 เยนครับ
7. ศาลเจ้ายาซากะ
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเกียวโต โดยเฉพาะเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในการหาคู่ (โดยเฉพาะในหมู่เกอิชา) นอกจากนี้ชาวเมืองยังนิยมมาไหว้ที่นี่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายอีกด้วยครับ
ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาลกิออน (Gion Festival) หรือกิองมัตสึรึที่มีประวัติความเป็นมามากกว่าหนึ่งพันปี ซึ่งในปัจจุบันจะจัดกันในช่วงกรกฎาคม หัวใจของงานก็คือขับไล่ความชั่วร้าย โรคระบาด โดยจะมีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่อลังการ และมาพร้อมกับรถแห่และการแห่ศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่แพ้ที่ทาคายาม่าหรือจิจิบุเลยครับ
8. สวนมารุยามะ
สวนมารุยามะ (Maruyama Park) เป็นสถานที่ยอดนิยมในเกียวโตสำหรับการชมดอกซากุระเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ต้นเดือนเมษายน) โดยชาวญี่ปุ่นนิยมมานั่งปิกนิกและสัมผัสบรรยากาศอันสุดโรแมนติกกันที่นี่ครับ
นอกจากดอกซากุระแล้ว ด้านในสวนมารุยามะยังมีสวนย่อย ที่นั่งเล่น ตลอดจนถึงร้านอาหารญี่ปุ่น ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างที่อยู่ที่ย่านฮิกาชิยาม่า คุณสามารถมาปลีกวิเวกที่นี่ได้ครับ
9. เท็ตสึกาคุ โนะ มิจิ
เท็ตสึกาคุ โนะ มิจิ (Tetsugaku no michi) เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดของเมือง โดยเป็นเส้นทางความยาว 2 กิโลเมตรที่มีชื่อแปลเป็นไทยเท่ๆ ว่าเส้นทางของนักปราชญ์ เพราะมีเรื่องเล่าว่านักปราชญ์มีชื่อของญี่ปุ่นอย่างนิชิดะ คิทาโร่เดินทำสมาธิระหว่างที่เดินผ่านเส้นทางนี้ไปยังมหาวิทยาลัยเกียวโตครับ
โดยเส้นทางนี้จะเริ่มต้นที่วัดคินคะคุจิ ตลอดตัวเส้นทางนั้นจะตั้งอยู่ริมคลองที่มีการปลูกต้นซากุระไว้อย่างหนาแน่น ทำให้ในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นสวยงามเป็นที่สุด
นอกจากที่นี่แล้วเมืองเกียวโตยังมีจุดชมดอกซากุระอีกหลายสิบแห่ง ถ้าคุณอยากทราบว่าแหล่งอื่นๆ มีที่ไหนบ้าง และสถานะการบานเป็นอย่างไร คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับ
9. วัดชิอนอิน
วัดชิอนอิน (Chion-in Temple) เป็นวัดเอกของนิกายโจโด-ชู หนึ่งในนิกายสุขาวตีของญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับโจโด-ชินชู แต่ว่ามีผู้ก่อตั้งคนละคนกัน) ด้วยความที่นิกายนี้มีผู้นับถือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่แสวงบุญที่เต็มไปด้วยศาสนิกตลอดทั้งปีครับ
ด้านในตัววัดนั้นมีอาคารที่ใหญ่โตมากมาย แต่ที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆ แน่นอนว่าคือประตูซันมง (Sanmon Gate) ประตูไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น รวมไปถึงหอมิเอโดะ (Miedo Hall) ที่วางรูปปั้นของพระโฮเน็นผู้ก่อตั้งนิกายนี้ และหออมิดาโดะ (Amidado Hall) ที่มีพระพุทธรูปของพระอมิตาภพระพุทธเจ้าครับ
แต่ที่น่าตื่นตาที่สุดน่าจะเป็นหอไดโชะโระ (Daishoro Hall) ที่เก็บรักษาระฆังขนาดใหญ่ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศครับ น้ำหนักของระฆังนั้นหนักกว่ารถบัสหลายคันรวมกันเสียอีกครับ โดยในช่วงพิธีกรรมในเดือนเมษายน ทีมตีระฆังทั้งหมด 17 คนจะได้รับหน้าที่ให้ตีระฆังนี้เพื่อให้เสียงดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณครับ
10. ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ
ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเกียวโตที่คนไทยจำนวนมากไปเยี่ยมเยือนและถ่ายรูป เพราะที่นี่มีประตูโทริอิสีส้มแดงเรียงรายกันไปหลายพันต้น แต่ละต้นล้วนแต่สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคจากศาสนิกผู้เปี่ยมไปด้วยศรัทธาครับ
ทางเดินประตูโทริอินี้เรียกว่าเซนบนโทริอิ (Senbon Torii) ซึ่งจะขึ้นไปสู่ภูเขาอินาริที่สูง 233 เมตรอันเป็นที่สถิตของเทพเจ้าอินาริโอคามิ หรือเทพเจ้าแห่งรวงข้าว และเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์มั่งคั่ง ตั้งแต่ในอดีตศาสนิกนิยมเดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะและขอพรต่อเทพเจ้าองค์นี้ครับ
บริเวณศาลเจ้าแห่งนี้จะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกจำนวนมาก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะสุนัขจิ้งจอกถือว่าเป็นเทวทูตของเทพเจ้าอินาริโอคามินั่นเองครับ
11. วัดคินคะคุจิ
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) หรือโรคุอนจิ (Rokuon-ji) เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองและประเทศ ตัววัดสร้างขึ้นเพื่อเก็บพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าครับ
แต่ในเวลาต่อมาพื้นที่ส่วนนี้ได้กลายเป็นบริเวณซึ่งเหล่าชนชั้นสูงใช้เป็นบ้านพัก ในช่วงศตวรรษที่ 14 โชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึได้ใช้ที่นี่เป็นสถานที่พำนักของตน โดยได้มีบัญชาให้สร้างสวนและสิ่งก่อสร้างแต่งเติม ทำให้บริเวณโดยรอบสวยงามมากจนเมืองกับดินแดนสุขาวดีบนโลกมนุษย์ ทว่าก่อนที่โชกุนจะได้ล่วงลับก็ได้สั่งให้ว่าถ้าตนจากไปแล้วก็ขอให้เปลี่ยนที่นี่กลับเป็นวัดเช่นเดิม ซึ่งก็ได้เป็นไปตามคำสั่งครับ
จุดเด่นของวัดคินคะคุจิคือตัววัดทองคำที่มีสีทองเหลืองอร่ามสวยงาม ซึ่งอยู่ติดกับสระน้ำขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดีตัวอาคารที่คุณเห็นอยู่นั้นเป็นของใหม่ที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1955 เพราะของเดิมถูกเผาทำลายโดยพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีปัญหาทางจิตในปี ค.ศ.1950 ซึ่งน่าเสียดายมากเพราะของเดิมนั้นรอดพ้นมาได้ทั้งสงครามกลางเมืองและสงครามโลกครั้งที่สองครับ
ใกล้กับตัววัดจะมีโรงชา ร้านขายของที่ระลึก และสวนชา ซึ่งคุณสามารถซื้อของหวานมาทานคู่กับชาเขียวได้ครับ
12. ศาลเจ้าคิตาโนะ-เท็นมันงุ
ศาลเจ้าคิตาโนะ-เท็นมันงุ (Kitano-Tenmangu Shrine) เป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าเท็นมันงุที่มีทั่วทั้งญี่ปุ่นกว่า 120,000 แห่ง โดยเป็นที่สถิตของซุกาวาระ โนะ มิชิซาเนะ ซึ่งชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษา ดังนั้นนักเรียนจำนวนมากมักจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขอให้ตนประสบความสำเร็จในการเรียนครับ ถ้าคุณกำลังจะเตรียมสอบก็สามารถไปไหว้ได้เช่นกัน
ตัวศาลเจ้าจะสวยมากในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ต้นพลัมออกดอกอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับฤดูใบไม้ร่วงที่ต้นไม้ในศาลเจ้าจะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอย่างพร้อมเพรียงอย่างงามยิ่ง
13. อาราชิยาม่า
อาราชิยาม่าเป็นเขตที่อยู่ทิศตะวันตกของเกียวโต สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือป่าไผ่อาราชิยาม่า (Arashiyama Bamboo Grove) ที่มีต้นไผ่เรียงรายกันไปอย่างสวยงาม และด้วยการจัดทางเดินและแสงที่สุดแสนจะลงตัว ที่นี่จึงให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยครับ
อีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือสะพานโทเกสึเคียว (Togetsukyo Bridge) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของอาราชิยาม่า ซึ่งจากจุดนี้คุณสามารถล่องเรือไปตามสายน้ำเพื่อชมความงามของธรรมชาติที่จะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงครับ
ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้อาราชิยาม่าเป็นหนึ่งในย่านยอดนิยมของนักท่องเที่ยวสำหรับการเลือกที่พัก ถ้าคุณสนใจผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อช่วยคุณเลือกที่พักที่เหมาะสมครับ
14. ชมวัดและศาลเจ้าอื่นๆ
เกียวโตนั้นเป็นเมืองแห่งวัดและศาลเจ้า ในอดีตที่นี่เคยมีวัดและศาลเจ้านับพันแห่ง แม้แต่ที่หลงเหลือมาก็มีจำนวนมากกว่าที่จะไปในทริปเดียวได้หมด ทั้งนี้นอกเหนือจากที่ผมได้แนะนำไปแล้ว วัดอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่
- Enkoji Temple – วัดนิกายเซนที่มีชื่อเสียงเรื่องจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม เพราะในวัดมีต้นเมเปิ้ลจำนวนไม่น้อยเลยครับ
- Tenryuji Temple – หนึ่งในวัดเซนที่สำคัญที่สุดในเกียวโต ด้านในมีสวนญี่ปุ่นที่งามยิ่ง
- Hirano Shrine – ศาลเจ้าชินโตที่มีสวนสวยๆ ซึ่งคุณชมซากุระอันบานสะพรั่งได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
15. หาความรู้ที่พิพิธภัณฑ์ต่างๆ
เกียวโตเป็นอีกเมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Kyoto Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ หรือว่า Kyoto Railway Museum ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับระบบรางที่ประเทศที่ใช้รถไฟเป็นพาหนะหลักอย่างญี่ปุ่นครับ
สำหรับสายประวัติศาสตร์และศิลปะนั้น สถานที่ที่ดีที่สุดย่อมเป้น Kyoto National Museum ซึ่งเก็บโบราณวัตถุมีค่าไว้จำนวนมากไม่แพ้ที่โตเกียวหรือนารา ส่วนใครที่หลงรักมังงะ แน่นอนว่า Kyoto Manga Museum เป็นสถานที่ซึ่งคุณไม่ควรพลาดครับ
16. ช้อปปิ้ง กิน และดื่ม
เกียวโตนั้นมีหลายจุดที่คุณสามารถทั้งช้อปปิ้งของฝาก รวมไปถึงหาอะไรอร่อยๆ รับประทาน อย่างเช่น
ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) – ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเกียวโต ตัวตลาดมีประวัติความเป็นมากว่า 400 ปีและได้สมญาว่าเป็นโรงครัวของเกียวโต ที่นี่มีร้านขายอาหาร ร้านขายผักผลไม้ และร้านขายของที่ระลึก กว่า 100 ร้านตลอดระยะทางเกือบ 400 เมตร
พอนโตโช (Pontocho) – โซนร้านอาหารริมน้ำที่ได้รับความนิยม ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกมากมายตั้งแต่โรงน้ำชาไปจนถึงร้านอาหารขนาดใหญ่
ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงปลายเดือนตุลาคม ร้านอาหารบางแห่งจะมีบริการแบบคาวาโดโกะ (Kawadoko) หรืออีกชื่อหนึ่งว่าโนเรียวยุกะ (Noryo-Yuka) ซึ่งคุณจะได้รับประทานอาหารบนระเบียงที่มีสายน้ำของแม่น้ำคาโมกาวะไหลผ่านเบื้องล่างครับ ดูชื่อร้านอาหารที่มีบริการดังกล่าวได้ที่นี่
Otesuji/Nayamachi/Ryomadori Shopping Street – ถนนคนเดินที่มีต้นกำเนิดย้อนไปได้กว่า 400 ปี ในปัจจุบันทั้งสามถนนเป็นย่านช้อปปิ้งสไตล์ retro ที่มีร้านอาหารและบาร์ให้เลือกจำนวนมากครับ
Shijo Street/JR Kyoto Station – ถนนคนเดินที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่อาจจะเรียกได้ว่าได้รับความนิยมมากที่สุดในเมือง โดยมีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าอีกมากมายครับ นอกจากนี้บริเวณสถานีรถไฟเกียวโตก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งที่มีร้านอาหารให้เลือกจำนวนมากครับ
ตัวอย่างแพลนทริปเกียวโต
ทั้งนี้ผมได้จัดทำ infographic แพลนทริปเกียวโตไว้แล้ว คุณสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้เลยครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดมีอยู่อย่างเดียว นั่นคือต้องตรวจสอบวิธีการเดินทางให้ดี เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ตลอดจากฝั่งผู้ให้บริการครับ
References
- Nijo Castle Official Site
- Kyoto Gyoen Official Site
- Kyoto City Official Travel Guide
- Yasaka Jinja Official Site
- Chion-in Temple
- Fushimi Inari Taisha
- Imperial Household Agency