ลุกกา (Lucca) เป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเขตทัสคานีของประเทศอิตาลี แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่อะไรนัก แต่ที่นี่ก็มีประวัติความเป็นมากว่าสองพันปี และมีศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่น นักท่องเที่ยวหลายคนประทับใจที่นี่มาก และเรียกที่นี่ว่าเป็น hidden gem ของทัสคานีเลยครับ
เนื่องจากลุกกาอยู่ไม่ไกลจากฟลอเรนซ์ ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่เหมาะมากสำหรับการมาเที่ยวแบบ day trip เช่นเดียวกับเซียน่าและปิซ่าครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักเมืองลุกกาอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของเมืองลุกกา (Lucca)
พื้นที่บริเวณเมืองลุกกานั้นมีผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยส่วนมากนั้นพลเมืองจะเป็นชาวอีทรัสกัน (Etruscan) แต่กว่าที่ลุกกาจะได้เป็นเมืองก็ล่วงเข้าสมัยโรมันในช่วงปี 89 ก่อนคริสตกาลครับ
ชาวโรมันได้วางผังเมืองเป็นอย่างดี ซึ่งนี่เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันของเมืองลุกกา แม้ว่าสิ่งก่อสร้างเดิมส่วนมากจะไม่อยู่แล้ว แต่โครงเมืองเดิมยังคงอยู่ครับ
ในปี 56 ก่อนคริสตกาล ลุกกามีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก เพราะสถานที่ที่เหล่านักการเมืองผู้เรืองอำนาจทั้งสามในสาธารณรัฐโรมันอย่างซีซาร์ ปอมปีย์ และครัสซุสทำสัญญาว่าจะเป็นพันธมิตรกัน หรือที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ว่า First Triumvirate ครับ
ตลอดช่วงยุคโรมัน ลุกกาได้พัฒนาขึ้นเป็นเมืองสำคัญและมีกำแพงล้อมเมืองที่แข็งแกร่ง ทำให้ลุกกาเป็นจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค ดังนั้นต้องเผชิญกับการรุกรานของกองทัพข้าศึกหลายต่อหลายครั้งครับ
ช่วงศตวรรษที่ 7 ชาว Lombard ได้เข้ามาปกครองทางตอนเหนือของอิตาลี พวกเขาได้สถาปนาลุกกาให้เป็นเมืองหลวงของดัชชีเล็กๆ ชื่อว่า Ducato di Tuscia ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทัสคานีในปัจจุบัน ช่วงนี้จึงถือว่าลุกกาเป็นเมืองอันดับ 1 ของภูมิภาคได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งครับ
หลังจากที่พวก Lombard พ่ายแพ้ไปแล้ว ลุกกาได้กลายเป็นเมืองหลวงของ March of Tuscany รัฐขนาดเล็กที่มีการปกครองตนเอง แต่อยู่ภายใต้อำนาจในนิตินัยของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ช่วงนี้ลุกกาได้พัฒนาเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นมีอยู่สองข้อ คือลุกกาเป็นเมืองทางผ่านของผู้แสวงบุญที่เดินทางไปยังกรุงโรม ส่วนอีกสาเหตุคือ ลุกกามีการผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงครับ ด้วยความที่เป็นเมืองที่ร่ำรวย ทำให้มีการซ่อมแซมมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่และสวยงามครับ
ปี ค.ศ.1180 เป็นปีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองลุกกา เพราะหลังจากที่ March of Tuscany ล่มสลายไป ตัวเมืองได้กลายเป็นสาธารณรัฐที่ปกครองตนเองในนามสาธารณรัฐลุกกา (Republic of Lucca)
ตัวสาธารณรัฐนั้นมีความรุ่งโรจน์ที่สูสีกับเมืองฟลอเรนซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยุคที่ Castruccio Castraceni ปกครองลุกกา แต่เมื่อ Castraceni ถึงแก่กรรม ตัวเมืองได้พบกับกลียุคครั้งใหญ่ จนสุดท้ายถึงกับถูกสาธารณรัฐปิซาปกครองเป็นเวลานานหลายสิบปี กว่าลุกกาจะกลับมีอิสรภาพอีกครั้งก็คือปี ค.ศ.1370
ช่วงกลียุคนั้นส่งผลให้บทบาทของลุกกาในหน้าประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าลุกกาจะยังร่ำรวย แต่อิทธิพลทางการเมืองด้อยกว่าเดิมมาก ถึงกระนั้นชาวลุกกาก็ยังรักษาอิสรภาพของตนเอาไว้ได้ แม้ว่าจะถูกรุกรานหลายต่อหลายครั้งก็ตาม
สาธารณรัฐลุกกาจบสิ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เพราะการรุกรานของกองทัพฝรั่งเศส นโปเลียนได้ยกเมืองแห่งนี้ให้เอลิซา โบนาปาร์ต (Elisa Bonaparte) น้องสาวของตนเป็นผู้ปกครอง ในช่วงนั้นเธอได้ปรับปรุงตัวเมืองอย่างขนานใหญ่ ตั้งแต่ซ่อมแซมกำแพงเมืองและอาคารต่างๆ รวมไปถึงสร้างสถาบันการศึกษา
อย่างไรก็ดีเอลิซาปกครองเมืองลุกกาไม่นานนัก โดยการปกครองของเธอจบสิ้นลงหลังจากที่นโปเลียนหมดอำนาจ หลังจากนั้นลุกกาได้ถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งจนสุดท้ายก็กลายเป็นเมืองแห่งหนึ่งภายใต้ประเทศอิตาลีในปี ค.ศ.1861
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวเมืองลุกกา (Lucca) ทำอย่างไร?
รถไฟ – วิธีการเดินทางไปลุกกาทำได้ง่ายที่สุดโดยใช้รถไฟ โดยคุณสามารถนั่งรถไฟไปยังลุกกาได้จากเมืองฟลอเรนซ์หรือปิซาครับ การจองตั๋วทำได้ผ่าน Trenitalia
รถบัส – รถบัสเป็นอีกพาหนะที่น่าสนใจที่นำคุณจากปิซาหรือฟลอเรนซ์ไปยังลุกกาได้ ผู้ให้บริการที่น่าสนใจได้แก่ Autolinee Toscane ครับ
เช่ารถ – คุณสามารถเช่ารถจากเมืองใหญ่อย่างเช่นฟลอเรนซ์หรือแม้กระทั่งโรม แล้วขับรถมาเที่ยวลุกกาได้ครับ แต่บริเวณเมืองเก่านั้นรถเข้าไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องจอดรถแล้วเดิน หรือว่าขี่จักรยานเท่านั้นครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Turismo.lucca.it ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวลุกกาครับ ผมแนะนำให้ตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้
การสัญจรในเมืองลุกกาทำอย่างไร?
เนื่องจากสถานที่เที่ยวในเมืองลุกกาทั้งหมดอยู่ในย่านเมืองเก่าที่รถผ่านไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องใช้การเดินเป็นส่วนใหญ่ครับ หรือว่าอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการเช่าจักรยานครับ
แต่ส่วนอื่นของเมืองนั้นจะมีรถบัสประจำทางให้บริการ แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวหน่อย คุณสามารถใช้บริการแท็กซี่ได้ครับ
1. กำแพงเมืองลุกกา
กำแพงเมืองลุกกา (Historic Walls of Lucca) เป็นกำแพงเมืองเก่าแก่ที่ล้อมรอบส่วนเมืองเก่าลุกกาไว้ในปัจจุบัน ตัวกำแพงเคยสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ก็พังทลายไปตามกาลเวลา โดยของปัจจุบันสร้างเสร็จสิ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ครับ และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก
อย่างไรก็ดีด้วยเทคโนโลยีการทำสงครามที่พัฒนาขึ้น ทำให้ประโยชน์ของตัวกำแพงเหลือน้อยไปทุกที สุดท้ายแล้วจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างที่วางแผนไว้เท่าไรนัก แต่ชาวเมืองก็ได้ใช้ตัวกำแพงป้องกันน้ำท่วมใหญ่ในปี ค.ศ.1812 ไว้ได้ครั้งหนึ่งครับ
ช่วงศตวรรษที่ 19 บริเวณกำแพงได้ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่สาธารณะให้กับชาวเมืองทั่วไป ปัจจุบันชาวเมืองก็ยังนิยมไปเดินเล่นหรือขี่จักรยานบนกำแพงในยามบ่าย เพราะว่าจะเห็นวิวสวยๆ ของเมืองอย่างงดงามมากครับ
2. Guinigi Tower
Guinigi Tower เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 14 โดยตระกูล Guinigi ซึ่งเคยเรืองอำนาจเหนือเมืองลุกกา รูปแบบการสร้างนั้นจะเป็นแบบ Gothic-Romanesque ของยุคกลางครับ
อย่างไรก็ดีจุดเด่นจริงๆ ของหอคอยแห่งนี้คือ บริเวณยอดจะมีสวนที่มีต้นโอ้คอยู่บนนั้น ซึ่งมีมานานหลายร้อยปีแล้ว จากสวนแห่งนี้คุณจะได้ชมตัวเมืองเก่าลุกกาที่สวยงามมากจากมุมสูงครับ
3. Piazza dell’Anfiteatro
Piazza dell’Anfiteatro เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองลุกกา โดยสร้างขึ้นเหนือพื้นที่ซึ่งเคยเป็น amphitheatre หรือสถานที่ซึ่งเหล่าแกลดิเอเตอร์เข้าต่อสู้กันในยุคโรมันครับ
ถ้าสังเกตดีๆ ตัวจัตุรัสนั้นจะมีความเป็นวงรีที่ตกทอดมาจากสนามต่อสู้ยุคโรมัน ล้อมรอบด้วยอาคารรูปทรงดั้งเดิมสีเหลืองที่ตกทอดมาจากช่วงศตวรรษที่ 19 หรือเก่ากว่า
แต่ละแห่งได้ถูกเปลี่ยนเป็นคาเฟ่และร้านอาหารนับสิบแห่งให้ชาวเมืองได้มาพบปะและดื่มด่ำบรรยากาศครับ
4. Piazza Napoleone
Piazza Napoleone หรือ Piazza Grande เป็นจัตุรัสใหญ่ที่สำคัญที่สุดในเมืองลุกกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แต่เมื่อเอลิซา โบนาปาร์ตได้ปกครองเมืองนี้ เธอได้สั่งให้ปรับปรุงจัตุรัสแห่งนี้ให้สวยงามยิ่งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นโปเลียน พี่ชายของเธอ ตัวจัตุรัสแห่งนี้จึงได้มีชื่อนโปเลียนปรากฏในชื่อสถานที่ครับ
จุดเด่นของตัวปราสาทคือจะมีต้น sycamore เรียงรายกันไปทั้งหมด 3 ด้าน (ขาดไปด้านหนึ่งที่ไม่มี) และมีอนุสาวรีย์ของดยุคหญิงอย่าง Maria Louisa Bourbon ซึ่งปกครองเมืองลุกกาในช่วงศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่
ในอดีตตรงนี้เคยเป็นมีอนุสาวรีย์นโปเลียนครับ แต่ถูกนำออกไปหลังจากที่นโปเลียนพ่ายแพ้ ดยุคมาเรียจึงได้โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ของตัวเธอเองมาวางไว้แทน
5. Palazzo Ducale
Palazzo Ducale เป็นพระราชวังที่ครองพื้นที่ด้านหนึ่งของ Piazza Napoleone (ด้านที่ไม่มีต้นไม้) ที่นี่เป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเมือง และที่ว่าการรัฐมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันที่นี่ก็ยังถูกใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่นอยู่ครับ
อย่างไรก็ดีบางส่วนของพระราชวังได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่คุณสามารถเข้าชมได้ โดยคุณจะได้ชมห้องที่ตบแต่งด้วยภาพเขียนสีอย่างสวยงามอย่างเช่น Throne Room และ Sala del Bosco ซึ่งได้รับการปรับปรุงในช่วงศตวรรษที่ 19
นอกจากนี้ยังมีลานสองแห่งที่ดูสวยงาม เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์เครื่องหอมที่เอลิซา โบนาปาร์ตได้โปรดให้นำเข้ามาตบแต่งเมืองลุกกาครับ
6. Church of San Michele in Foro
Church of San Michele in Foro เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 8 แต่ตัวโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันเป็นผลงานสมัยศตวรรษที่ 11 ครับ
จากการสร้างจะเห็นว่าเป็นแบบ Romanesque สายของเมืองปิซา ซึ่งจะมีด้านหน้า (Facade) ที่สูงใหญ่ และประดับประดาด้วยรูปปั้นอย่างอลังการ ด้านบนของตัวโบสถ์จะมีรูปปั้นของหัวหน้าเทวทูตนามว่าไมเคิลต่อสู้และมีชัยเหนือมังกรร้ายครับ
ส่วนด้านในโบสถ์นั้นถูกตบแต่งด้วยผลงานชั้นยอดของศิลปินในยุคกลางและฟื้นฟูศิลปวิทยา อย่างเช่น Madonna and Child ของ Luca della Robbia ไปจนถึงภาพเขียนสีของ Filippino Lippi ครับ
7. Lucca Cathedral
Lucca Cathedral หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Cathedral of San Martino เป็นมหาวิหารหลักของเมืองที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 และเป็นสถานที่พำนักของอาร์กบิชอปของเมืองมาทุกยุคทุกสมัยครับ
ด้านนอกของมหาวิหารสร้างขึ้นในสไตล์ Romanesque ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมหาวิหารปิซา (Pisa Cathedral) บริเวณประตูหลักได้มีภาพแกะสลักเหตุการณ์ในชีวิตของนักบุญมาร์ติน ซึ่งเป็นผลงานของบรมครูอย่าง Nicola Pisano ครับ
ส่วนด้านในมหาวิหารนั้นเต็มไปด้วยงานศิลปะที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของเมืองลุกกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Holy Face of Lucca หรือ Volto Santo รูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนซึ่งเชื่อกันว่าเจ้าของผลงานได้สร้างขึ้นตามใบหน้าที่แท้จริงขององค์พระคริสต์ครับ
รูปปั้นนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมือง และมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองมาทุกยุคทุกสมัยครับ
นอกเหนือจากนั้นด้านในยังมีผลงานศิลปะชิ้นเลิศอย่างเช่นภาพ The Last Supper ของ Jacopo Tintoretto และภาพ Madonna Enthroned with Child and Saints ของ Domenico Ghirlandaio ด้วยครับ
โดยรวมแล้วถ้าคุณชอบศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปูชนียสถาน ที่นี่ถือว่าห้ามพลาดครับ
8. San Frediano Church
San Frediano Church เป็นศาสนสถานในคริสตจักรแห่งแรกในเมืองลุกกา โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยเป็นผลงานของ Fridianus ผู้เป็นทั้งนักบุญในศาสนาคริสต์และ Bishop of Lucca ครับ แต่อาคารที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12
สิ่งที่ทำให้โบสถ์แห่งนี้โดดเด่นคือโมเสกสีทองอร่ามที่ประดับอยู่ที่ด้านหน้า (Facade) ของโบสถ์ ซึ่งโบสถ์ที่ตบแต่งด้วยโมเสกลักษณะนี้มีแค่ 2 แห่งเท่านั้นในทัสคานี อีกแห่งหนึ่งคือโบสถ์ San Miniato al Monte ในฟลอเรนซ์ครับ
ตัวโมเสกเป็นภาพของพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในเรื่องงานศิลป์นั้นจะเป็นแบบยุคไบแซนไทน์ คล้ายกับที่ราเวนนาแต่จะแทรกกลิ่นอายความเป็นอิตาเลียนเข้ามาด้วยครับ
ส่วนด้านในก็มีภาพเขียนสีและรูปปั้นที่งดงามเหมือนกับโบสถ์อื่นๆ เหมาะอย่างยิ่งต่อการเข้าชมครับ
9. Church and Baptistery of Santi Giovanni e Reparata
Church and Baptistery of Santi Giovanni e Reparata เป็นโบสถ์โบราณที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่จัดการแสดงต่างๆ ของเมือง
ด้านในโบสถ์มีภาพเขียนสีทางศาสนาให้ชมพอสมควร แต่ไม่ใช่ไฮไลท์ของที่นี่ สิ่งที่ทำให้ที่นี่โดดเด่นคือ เขตโบราณสถานที่อยู่ใต้ตัวโบสถ์ ซึ่งเก่าแก่ย้อนไปได้ถึงช่วงยุคโรมัน และหลักฐานแสดงถึงความเป็นมาของเมืองลุกกาได้เป็นอย่างดีครับ แน่นอนว่าคุณสามารถเดินไปชมได้
10. Palazzo Pfanner
Palazzo Pfanner เป็นคฤหาสน์สไตล์ Renaissance ในช่วงปี 1650 โดยเหล่าพ่อค้าผ้าไหมที่มีฐานะมั่งคั่ง แต่สุดท้ายก็ได้เปลี่ยนเจ้าของไปมา เจ้าของแต่ละคนได้สั่งให้ปรับปรุงตัวคฤหาสน์ให้สวยงามยิ่งขึ้นด้วยภาพเขียนสี ตลอดจนรูปปั้นต่างๆ ครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 18 ด้านนอกของคฤหาสน์ได้รับการเปลี่ยนโฉมให้เป็นสวนอิตาเลียนในสไตล์บารอคซึ่งโอ่อ่าและไม่ต่างอะไรกับพระราชวังชั้นนำในยุโรป
ต่อมาคฤหาสน์แห่งนี้ได้ตกเป็นของตระกูล Pfanner จากออสเตรีย และพวกเขาได้สร้างโรงเบียร์แห่งแรกของเมืองขึ้น ณ ที่แห่งนี้ครับ
ปัจจุบันตระกูล Pfanner ยังคงครอบครองคฤหาสน์แห่งนี้อยู่ แต่ก็ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ รวมไปถึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกันครับ
11. Torre delle Ore
ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ของเมือง ลุกกามีหอคอยมากกว่าร้อยแห่ง ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีหอคอยใดที่สูงกว่าหอคอย Torre delle Ore ที่สูง 50 เมตร และทำหน้าที่บอกเวลาให้กับชาวเมืองมาตั้งแต่ในอดีตครับ
คุณสามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนของหอคอยได้ ด้วยการขึ้นบันไดไป 207 ขั้น จากด้านบนนั้นคุณจะได้เห็นเมืองเก่าของลุกกาอย่างสวยงามมาก รวมไปถึงกลไกการทำงานของนาฬิกาโบราณด้วยครับ
12. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ในเมืองลุกกามีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง โดยแห่งที่น่าสนใจได้แก่
- Palazzo Mansi National Museum – คฤหาสน์ของชนชั้นสูงเดิมที่ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ตัวคฤหาสน์นั้นสวยงามด้วยตัวเองอยู่แล้วเพราะมีห้องจัดแสดงสำหรับวงออเครสตราที่ทั้งโอ่โถงและตระการตา ส่วนสิ่งของจัดแสดงคือภาพเขียนสมัยศตวรรษที่ 19-20 ครับ
- Villa Guinigi National Museum – คฤหาสน์ของตระกูล Guinigi ที่เคยมีอำนาจเหนือเมืองลุกกา แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงทั้งภาพเขียนและรูปปั้นจากยุคกลางถึงช่วงศตวรรษที่ 18 ครับ
13. Bagni di Lucca
Bagni di Lucca เป็นเมืองรีสอร์ทใกล้กับลุกกาที่มีชื่อเสียงเรื่องสปา และการผ่อนคลายมาตั้งแต่ยุคโรมัน ดังนั้นทุกยุคทุกสมัยที่นี่จึงดึงดูดนักเดินทางจากเมืองต่างๆ ในทัสคานีให้มาแช่น้ำอุ่น แช่โคลน นวด และทำทรีตเมนต์ต่างๆ ครับ
ปัจจุบันเมืองนี้ก็ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะที่ Bagno Bernabò Thermal Baths ที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำซึ่งช่วยบำบัดรักษาโรคต่างๆ ทำนองเดียวกับออนเซ็นในญี่ปุ่นครับ ถ้าสนใจก็สามารถไปลองกันได้
14. Ponte della Maddalena
Ponte della Maddalena เป็นสะพานโค้งข้ามแม่น้ำ Serchio ตัวสะพานอยู่ห่างจากเมืองลุกกาไปประมาณ 23 กิโลเมตร แต่มีรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี และสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและสถาปนิกจำนวนมากครับ
สะพานแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าสะพานของปีศาจ (Devil’s Bridge) เพราะตามตำนานเล่าว่านักบุญจูเลียนขอให้ปีศาจช่วยสร้างสะพาน โดยแลกกับดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตแรกที่ก้าวข้ามสะพานหลังสร้างเสร็จ ซึ่งปีศาจก็ยอมช่วยเหลือ
หากแต่ว่าเมื่อสะพานสร้างเสร็จแล้ว นักบุญจูเลียนได้ใช้ขนมปังโยนล่อให้สุนัขตัวหนึ่งขึ้นไปบนสะพาน ปีศาจจึงได้แต่นำดวงวิญญาณของสุนัขตัวนั้นไปแทน และไม่ได้ทำอันตรายแก่คนผู้ใดครับ แต่ในหน้าประวัติศาสตร์นั้นตัวสะพานสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11-12 ครับ
15. ลองอาหารพื้นเมือง
ลุกกาเป็นเมืองที่มีประวัติยาวนานกว่า 2 สหัสวรรษ เพราะฉะนั้นจึงมีอาหารชื่อดังของตนเองอย่างเช่น
- Tordelli Lucchese – พาสต้าที่มีรูปร่างคล้ายเกี๊ยว(ราวิโอลี่) ยัดไส้ด้วยเนื้อสัตว์และผักต่างๆ
- Rovelline lucchesi – เนื้อลูกวัวผัดกับซอสมะเขือเทศ
- Farro – ซุปถั่วและผัก
- Torta d’erbi – พายไส้ผักโรยหน้าด้วยถั่ว
References
- Visit Tuscany
- Turismo Lucca