มัตสึยามะ (Matsuyama) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเอฮิเมะบนเกาะชิโกกุ เช่นเดียวกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะแห่งนี้ด้วย ถึงกระนั้นมัตสึยามะก็ยังเป็นเมืองที่เงียบสงบและให้บรรยากาศสบายๆ ถ้าเปรียบกับเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างโตเกียว โอซาก้า หรือว่านาโกย่าครับ
ภายในเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย โดยเฉพาะทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีอายุเกินกว่าสหัสวรรษ ทำให้มัตสึยามะได้รับความนิยมไม่น้อยในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่นครับ
บทความนี้จึงจะนำคุณไปรู้จักกับเมืองมัตสึยามะโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักมัตสึยามะ (Matsuyama)
มัตสึยามะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะชิโกกุ ซึ่งถ้าดูตามสภาพทางภูมิศาสตร์แล้ว ตัวเมืองจะอยู่เกือบตรงข้ามกับเมืองฮิโรชิม่าบนเกาะฮอนชู และอยู่ระนาบเดียวกับเมืองคิตะคิวชูบนเกาะคิวชู ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีบริการเรือเฟอร์รี่เดินทางรับส่งระหว่างมัตสึยามะกับเมืองทั้งสองครับ
ในอดีตมัตสึยามะเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดอิโยะ (Iyo) จังหวัดโบราณของญี่ปุ่น ตัวเมืองเริ่มปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์เพราะโดโกออนเซ็น (Dogo Onsen) เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 6 ถึงขนาดที่เจ้าชายโชโตกุ (Prince Shotoku) บุคคลสำคัญในมีบทบาทในการเผยแผ่ศาสนาพุทธเคยเดินทางไปพักผ่อนที่นี่ด้วยครับ
ต่อมาในสมัยคามาคุระ พื้นที่บริเวณนี้ถูกยกให้กับตระกูลโคโนะไปปกครอง เพราะความดีความชอบที่ได้ช่วยเหลือมินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะมีชัยเหนือตระกูลไทระในสงครามกลางเมือง ตระกูลโคโนะได้สร้างปราสาทยุซุกิขึ้นเพื่อปกครองดินแดนเหล่านี้ครับ
ช่วงยุคเซ็นโกกุเป็นช่วงที่ตระกูลโคโนะได้เข้าไปร่วมแย่งชิงอำนาจ แต่ก็พ่ายแพ้ต่อฮิเดโยชิ ทำให้การปกครองของตระกูลโคโนะจบสิ้นลง เมื่อรัฐบาลโตกุกาวะถูกสถาปนาขึ้น พื้นที่ส่วนนี้ได้ถูกจัดระเบียบเป็นเขตการปกครองชื่ออิโยะ-มัตสึยามะ และมีไดเมียวตระกูลต่างๆ มาปกครอง โดยตระกูลที่ครอบครองเขตนี้ยาวนานที่สุดคือตระกูลมัตสึไดระ (Matsudaira) ครับ
รัฐบาลเมจิได้เข้าปกครองญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และได้มีการล้มเลิกระบอบไดเมียว เพราะฉะนั้นจึงมีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นเสียใหม่ เมืองมัตสึไดระจึงถูกรวมเข้ากับจังหวัดเอฮิเมะที่ตั้งใหม่ และได้รับสถานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดครับ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองมัตสึไดระได้รับความเสียหายยับเยิน เพราะตัวเมืองถูกทิ้งระเบิดอย่างรุนแรง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงหลังสงครามได้ทำให้มัตสึไดระกลับมารุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว การย้ายถิ่นสู่เมืองใหญ่มีส่วนสำคัญทำให้ขนาดเมืองใหญ่ขึ้น ทำให้ช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มัตสึไดระได้ควบรวมเมืองเล็กๆ ที่อยู่รายรอบเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เขตเมือง และได้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชิโกกุไปโดยปริยายครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปมัตสึยามะ (Matsuyama) ทำอย่างไร
สำหรับเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นนั้น (โตเกียว โอซาก้า ซัปโปโร หรือฟุกุโอกะ) การเดินทางไปมัตสึยามะทำได้ง่ายที่สุดด้วยการบินไปลงที่สนามบินมัตสึยามะ (Matsuyama Airport) โดยตรงครับ
ถึงกระนั้นถ้าคุณอยู่ที่โอคายาม่า คุณสามารถนั่งรถไฟของ JR Shikoku ไปลงที่มัตสึยามะได้ครับ (ถ้าอยู่เมืองอื่นในฮอนชูแล้วอยากใช้รถไฟ คุณจำเป็นต้องนั่งรถไฟหรือ San’yo Shinkansen ไปลงที่โอคายาม่าครับ
ส่วนถ้าคุณอยู่ที่ฮิโรชิม่าหรือเบปปุนั้นคุณจะมีตัวเลือกเพิ่มเติมนั่นคือนั่งเรือเฟอร์รี่ไปยังท่าเรือใกล้กับมัตสึยามะ หลังจากนั้นก็ต่อรถบัสเข้าเมืองครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวมัตสึยามะ โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ครับ
1. โดโกะออนเซ็น
โดโกะออนเซ็น (Dogo Onsen) เป็นหนึ่งในสามออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดญี่ปุ่น คู่กับอาริมะออนเซ็นใกล้กับโกเบ และชิราฮามะออนเซ็นในจังหวัดวากายาม่า เพราะว่าปรากฏในหลักฐานโบราณสมัยศตวรรษที่ 8 ครับ ตำนานปรัมปราเล่าว่าน้ำแร่ของที่นี่นั้นคือสุดยอดของการรักษาถึงขนาดที่ว่ารักษาอาการป่วยของเทพเจ้า Sukunabikona ได้ครับ
เพราะฉะนั้นตั้งแต่โบราณมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดโกะออนเซ็นจะได้รับความนิยมโดยชนชั้นสูง บุคคลสำคัญ ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ของญี่ปุ่นที่เดินทางไปพักผ่อนหรือรักษาร่างกายจากอาการเจ็บป่วย
ปัจจุบันความนิยมและชื่อเสียงของโดโกะออนเซ็นยังคงมิเสื่อมคลาย หนึ่งในสาเหตุก็คือนักเรียนญี่ปุ่นแทบทุกคนนั้นเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องบอทจัง (Botchan) ที่เขียนโดยนัตสึเมะ โซเซกิ เพราะอยู่ในแบบเรียน ซึ่งโดโกะออนเซ็นเป็นสถานที่ซึ่งตัวละครเอกชื่นชอบที่สุดครับ
เสน่ห์โดโกะออนเซ็นในปัจจุบันคืออาคารและโรงอาบน้ำที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ยังคงความสวยงามมิเสื่อมคลาย โดยอาคารเหล่านี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1894 หรือช่วงสมัยเมจิครับ โดยแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้แก่
Dogo Onsen Honkan – โรงอาบน้ำโบราณที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับอนิเมะเรื่อง Spirited Away โดยโครงสร้างอาคารนั้นประกอบด้วยจุดอาบน้ำย่อยที่ชั้น 1 (Kami no Yu) และชั้น 2 (Tama no Yu) รวมถึงมีห้องให้นั่งเล่นผ่อนคลายหลังจากแช่ออนเซ็นอีกด้วย อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน (ต้นปี 2024) ส่วนของโรงอาบน้ำเกือบทั้งหมดอยู่ในการซ่อมแซม โดยมีแค่ Tama no Yu ที่เปิดให้บริการเท่านั้นครับ โดยค่าใช้จ่ายในการแช่อยู่ที่ 460 เยนครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือ Yushinden ซึ่งเป็นส่วนของโรงอาบน้ำที่เปิดให้เชื้อพระวงศ์ญี่ปุ่นใช้บริการเท่านั้น แต่ละส่วนได้รับการตบแต่งอย่างงดงามมากในโทนสีทองเหลืองอร่าม ทั้งนี่คุณสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ครับ
Asuka no Yu – โรงอาบน้ำแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่สุด นั่นคือในยุคอาสุกะหรือในช่วงศตวรรษที่ 6 ที่โดโกะออนเซ็นเริ่มปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก โดยตัวโรงอาบน้ำจะมีโดมสูงสีแดงเป็นเอกลักษณ์ ส่วนลานบริเวณทางเข้าจะมีการปลูกดอก camellia เพื่อจำลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เจ้าชายโชโตกุเสด็จมาเยือนที่นี่ครับ
ด้านในโรงอาบน้ำมีออนเซ็นให้เลือกทั้งแบบในร่มและ open-air รวมไปถึงออนเซ็นแบบส่วนตัวที่เลียนแบบมาจาก Yushinden อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีห้องขนาดใหญ่ให้คุณนั่งพักผ่อนคลายหลังอาบน้ำเสร็จสิ้น (มีชาและของหวานให้บริการด้วย) ซึ่งห้องเหล่านี้ได้รับการตบแต่งตามสถาปัตยกรรมแบบเมื่อพันกว่าปีก่อนครับ
ค่าบริการที่นี่เริ่มต้นที่ 610 เยน (อาบห้องรวม ไม่เข้าห้องนั่งเล่นผ่อนคลาย) และ 1,280 เยน (อาบน้ำและเข้าห้องนั่งเล่น) ส่วนห้องพิเศษนั้นจะอยู่ที่ 2,040 เยนต่อคณะบวกด้วยอีก 1,690 เยนต่อคนครับ โดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้เลือกแบบ 2 ที่ได้ทั้งอาบน้ำและห้องนั่งเล่นเพื่อที่คุณจะได้รับประสบการณ์แบบ 100% ครับ
Tsubaki no Yu – โรงอาบน้ำที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวเมืองทั่วไป ส่วนหนึ่งเพราะตั้งอยู่ในย่านถนนคนเดินของโดโกะออนเซ็น ด้านในจะให้บรรยากาศของคุระยาชิกิหรืออาคารที่เป็นทั้งสถานที่ทำงาน ที่อยู่อาศัย และคลังสินค้า สัญลักษณ์ของที่นี่คือกาน้ำยุกามะ (Yugama Cauldron) ซึ่งป้อนน้ำแร่ออนเซ็นให้กับตัวสระครับ ค่าบริการอยู่ที่ 450 เยน
สำหรับน้ำแร่ที่มีให้แช่นั้นจะเป็นน้ำแร่ 100% จากน้ำพุร้อน เพราะฉะนั้นไม่มีการเติมน้ำหรือว่าปรับอุณหภูมิใดๆ ทั้งสิ้นครับ
นอกจากนี้แลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจอื่นๆในโดโกะออนเซ็นยังมีอยู่อีกหลายแห่ง อาทิเช่น
Botchan Kurakuri Clock – นาฬิกากลที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอายุของ Dogo Onsen Honkan ที่ครบ 100 ปีเต็ม โดยตัวนาฬิกาสร้างในสถาปัตยกรรมเดียวกันกับโรงอาบน้ำ และมีความพิเศษตรงที่ทุกๆ ชั่วโมงตั้งแต่ 8 โมงถึง 4 ทุ่ม นาฬิกาจะเปล่งแสงและส่งเสียงกลองไทโกะออกมา เช่นเดียวกับตัวละครจากนิยายบอทจังจะเผยโฉมมาให้เห็น และกล่าวคำต้อนรับนักเดินทางที่ไปเยือนโดโกะออนเซ็นครับ
Sora-no-Sanpomichi – จุดชมวิวมุมสูงของโดโกะออนเซ็นที่ดีที่สุด แถมยังมีบ่อแช่เท้าให้นั่งแช่ไปพร้อมๆ กับชมวิวอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสวนสวยๆ ให้ชมดอกไม้ทั้ง 4 ฤดูครับ
Hojo-en Plaza – ที่ตั้งของบ่อแช่เท้าที่ให้คุณใช้บริการได้ฟรี ในอดีตชาวบ้านมักจะซื้อปลามาปล่อยเป็นอภัยทานที่บ่อในสถานที่แห่งนี้ครับ
Hogon-ji Temple – วัดโบราณสมัยศตวรรษที่ 7 (แต่สร้างใหม่เมื่อไม่นานมานี้) ที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของเมืองครับ
Isaniwa-jinja Shrine – ศาลเจ้าที่มีเอกลักษณ์คือมีสีส้มแดง ตัวศาลเจ้าเป็นหนึ่งในอาคารที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบฮาจิมังสุคุริ (Hachiman zukuri) ที่สมบูรณ์ที่สุดในญี่ปุ่น (อีกสองแห่งอยู่ที่เกียวโตและโออิตะ) ศาลเจ้าตั้งอยู่บนภูเขา ดังนั้นคุณจะต้องขึ้นบันไดไป 135 ขั้นครับ บางวันชาวญี่ปุ่นจะมาจัดพิธีแต่งงานแบบพื้นเมือง หรือว่าพิธีรับขวัญทารกเกิดใหม่กันที่นี่ครับ
ท้ายที่สุดคุณสามารถไปช้อปปิ้งหรือหาอะไรรับประทานที่ถนนคนเดิน Dogo Shopping Arcade ซึ่งยาวประมาณ 250 เมตร และเชื่อมสถานีรถไฟ Dogo Onsen Station เข้ากับ Dogo Onsen Honkan ร้านค้าที่ถนนนี้มีประมาณ 60 แห่ง ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการหาเมนูพื้นเมืองรับประทานครับ
2. สวนโดโกะ
สวนโดโกะ (Dogo Park) หรือโดโกะโคเอ็นเป็นสวนที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทยุซุกิของตระกูลโคโนะที่เคยปกครองที่นี่ ภายในสวนประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของโดโกะออนเซ็น และวัฒนธรรมของเมือง รวมไปถึงมีบ้านซามูไรโบราณให้ได้ชมด้วย แต่ที่พลาดไม่ได้คือจุดชมวิวมุมสูงที่จะเห็นตัวเมืองโดโกะออนเซ็นได้แบบชัดเจนครับ
ทั้งนี้สวนแห่งนี้จะสวยพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีต้นซากุระจำนวนมาก รวมไปถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะมีใบไม้เปลี่ยนสีนั่นเองครับ
3. ปราสาทมัตสึยามะ
ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama) เป็นปราสาทที่มีความพิเศษ เพราะว่าเป็นหนึ่งในปราสาท 12 แห่งที่เป็นของเดิม และรอดพ้นจากการรื้อถอนในช่วงสมัยเมจิมาได้ (เช่นเดียวกับปราสาทฮิเมจิและปราสาทมัตสึโมโตะ แต่โดนอาคารรองๆ ที่อยู่รอบๆไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน)
ตัวปราสาทนั้นสร้างขึ้นโดยไดเมียวตระกูลคาโตะในช่วงต้นยุคเอโดะ แต่เรื่องกลับเป็นว่า ผู้สร้างปราสาทไม่เคยได้อยู่เลยแม้แต่วันเดียว เพราะถูกโชกุนสั่งย้ายไปที่ไอสึวากามัตสึเสียก่อน ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่พำนักของตระกูลกาโมะ และมัตสึไดระที่ปกครองที่นี่สืบต่อมาแทนครับ
ปัจจุบันปราสาทมัตสึยามะได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้คุณเข้าไปชมด้านใน รวมไปถึงเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่ยอดเยี่ยมของเมืองมัตสึยามะด้วย บริเวณปราสาทยังมีต้นซากุระอีก 200 ต้นที่จะบานสะพรั่งอย่างงดงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ไม่ควรพลาดเดินทางไปชมเลยครับ
ทั้งนี้ตัวปราสาทมัตสึยามะตั้งอยู่บนภูเขาคัตสุยามะ เพราะฉะนั้นคุณมีทางเลือกสองทางนั่นคือนั่งกระเช้าขึ้นไป (520 เยน) หรือว่าเดินเท้าขึ้นไปครับ
4. วัดอิชิเตจิ
วัดอิชิเตจิ (Ishiteji Temple) เป็นหนึ่งในวัดหลักในเส้นทางแสวงบุญชิโกกุ เฮนโร (Shikoku Henro) ที่ประกอบด้วยวัด 88 แห่งทั่วทั้งเกาะชิโกกุ ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นวัดที่เกี่ยวข้องกับพระคุไค (Kukai) ที่ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงในหมู่ชาวพุทธญี่ปุ่นครับ
ด้านในวัดมีอาคารที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมโบราณสมัยยุคคามาคุระอยู่หลายแห่ง เช่นเดียวกับเจดีย์ 3 ชั้น แต่ไฮไลท์ของที่นี่คือทางเดินคล้ายอุโมงค์ที่นำผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวเข้าไปสู่วัดชั้นในแห่งที่สอง ซึ่งประดิษฐานรูปปั้นของพระคุไคอยู่ครับ
5. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ภายในเมืองมัตสึยามะมีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจหลายแห่งที่แสดงถึงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และบุคคลสำคัญของเมือง อาทิเช่น
Shiki Museum – พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับมาซาโอกะ ชิกิ (Masaoka Shiki) กวีชื่อดังที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งไฮกุ และสร้างผลงานอันล้นเหลือให้กับวรรณกรรมญี่ปุ่น ตัวพิพิธภัณฑ์อยู่ไม่ไกลจากสวนโดโกะ และตั้งอยู่ในอาคารที่กวีผู้นี้อาศัยอยู่ตอนเด็กครับ
Dōgo Giyaman Glass Museum – พิพิธภัณฑ์แก้วที่รวบรวมแก้วชั้นเลิศจากยุคเอโดะ เมจิ และช่วงศตวรรษที่ 20
Seki Art Gallery – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานแนวโมเดิร์นของศิลปินชาวญี่ปุ่น รวมไปถึงผลงานของ Auguste Rodin ครับ
6. ชิมเมนูพื้นเมืองและช้อปปิ้ง
มัตสึยามะนั้นมีเมนูพื้นเมืองหลายแห่งที่คุณไม่ควรพลาด อาทิเช่น
- Taimeshi – ข้าวหน้าปลาไท (Tai หรือ Sea Bream) ปลามงคลที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่านำมาซึ่งโชคดี เมนูนี้อาจจะเสิร์ฟปลาแบบสุดหรือเป็นซาชิมิ ซึ่งอร่อยทั้งสองแบบครับ
- Nabeyaki udon – อุด้งแสนอร่อยที่ต้มในหม้ออะลูมิเนียม จุดเด่นคือน้ำซุปรสหวานแสนอร่อย
- Matsuyamazushi – ข้าวหน้าปลาดิบตามสูตรของมัตสึยามะ ข้าวซูชิจะหวานเพราะหมักในน้ำส้มสายชูสูตรหวานคู่กับน้ำต้มปลาตัวเล็กจากทะเลภายในเซโตะ
- Botchan Dango – ดังโงะสามสีที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง Botchan
- น้ำส้มมิคัง (Mikan Juice) นอกจากนี้ไอศกรีมที่ทำจากส้มชนิดนี้ยังมีให้ชิมเช่นกัน
- Goshiki somen – บะหมี่เย็นแบบห้าสี (แดง เหลือง ขาว เขียว น้ำตาล) ซึ่งชาวเมืองทานกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
สำหรับสถานที่ช้อปปิ้งนั้น จุดที่น่าสนใจนอกเหนือจากที่ผมแนะนำไปแล้วคือแห่งดังต่อไปนี้ครับ
- Ōkaidō Shopping Arcade – ถนนคนเดินที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่นี่มีทั้งร้านค้าและร้านอาหาร เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้าครับ
- Gintengai Shopping Arcade – ถนนสำหรับสายช้อปที่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทั้งใต้ดินและบนดิน ให้ช้อปกันได้ยาวๆ เลยครับ
References
- Matsuyama Official Tourism Site
- Japan Heritage Official Site
- Dogo Onsen Official Guide