มิลาน (Milan) หรือ Milano ในภาษาอิตาเลียนเป็นเมืองหลวงของเขตลอมบาร์ดี (Lombardy) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ตัวเมืองมีชื่อเสียงในฐานะเมืองหลวงแห่งแฟชั่นของโลก เช่นเดียวกับเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ คมนาคม ไปจนถึงเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศอีกด้วย
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับมิลานโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักมิลาน (Milan)
สภาพภูมิศาสตร์ของมิลานนั้นเป็นที่ราบตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของหุบเขาโป (Po Valley) โดยทางตอนเหนือเป็นเทือกเขาแอลป์ที่สวยงาม ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นปราการธรรมชาติป้องกันเมือง นอกจากนี้ตัวเมืองยังมีแม่น้ำสองสายอย่าง Ticino และ Adda ไหลผ่าน ทำให้พื้นที่โดยรอบอุดมสมบูรณ์ครับ
ตัวเมืองมิลานนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 590 ก่อนคริสตกาลโดยชาวเซลต์ ความเก่าแก่ของมิลานนั้นจึงสูสีกับกรุงโรมที่ตั้งก่อนหน้านั้นไม่นานนัก หรือในช่วงที่โรมยังคงปกครองโดยระบบกษัตริย์ครับ
ชาวเซลต์ได้ครอบครองมิลานเป็นเวลาหลายศตวรรษ จนกระทั่งในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล ชาวโรมันได้ทำศึกมีชัยเหนือชาวเซลต์ และได้ผนวกเมืองมิลานและบริเวณโดยรอบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโรมัน โดยชาวโรมันได้ตั้งชื่อให้เมืองแห่งนี้ว่า Mediolanum แทนที่ชื่อเดิม “Medhelano” ของชาวเซลต์ และเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดที่ตั้งใหม่นามว่า ‘Cisalpine Gaul’ ครับ
เมืองมิลานได้เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของชาวโรมัน ส่วนหนึ่งเพราะเป็นศูนย์รวมของถนนสายหลักที่ชาวโรมันสร้างขึ้นทางตอนเหนือของอิตาลี เพราะฉะนั้นตัวเมืองจึงมั่งคั่งจากการค้าที่รุ่งโรจน์ ชาวโรมันได้สร้างกำแพงสูงใหญ่ โรงละคร โรงเรียน และบ้านเรือนอีกมากมายทำให้มิลานได้กลายเป็นเมืองเอกแห่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน
ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิไดโอคลีเชียน (Diocletian) ได้ทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันเป็นสองส่วน โดยฝั่งตะวันตกนั้นให้ย้านเมืองหลวงจากโรมไปที่มิลาน และได้สถาปนาจักรพรรดิอีกองค์นามว่า Maximian ขึ้นปกครอง ตัวเมืองจึงกลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิโรมันตะวันตกไปโดยปริยาย
เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชทรงขึ้นปกครองจักรวรรดิฝั่งตะวันตก พระองค์ได้โปรดออกกฎบัตรนามว่า Edict of Milan ในปี ค.ศ.313 ที่มิลาน โดยกฎบัตรนี้มีความสำคัญมากต่อการเผยแผ่และประวัติศาสตร์ของคริสตจักร เนื่องจากทำให้การปราบปรามและกดขี่ศาสนาคริสต์ของรัฐบาลโรมันจบสิ้นลง ทำให้ศาสนาคริสต์เผยแผ่ได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง และได้กลายเป็นศาสนาหลักของโลกในเวลาต่อมา
ช่วงศตวรรษที่ 5-6 นั้นเป็นช่วงวิปโยคของเมือง เพราะตัวเมืองโดนเหล่าอนารยชนคุกคามอยู่หลายครั้ง ทำให้จักรพรรดิโรมันต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองราเวนนา (Ravenna) หลังจากนั้นตัวเมืองได้โดนปล้นสะดมอย่างหนักหลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 5-6 ทำให้ประชากรล้มตายเป็นอันมาก หลังจากนั้นเมืองจึงเริ่มเสื่อมถอยลง และกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ปกครองโดยอาร์คบิชอปในช่วงต้นยุคกลางครับ
มิลานได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ในช่วงศตวรรษที่ 8 และอีกสามศตวรรษหลังจากนั้นตัวเมืองเป็นเมืองเล็กที่ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนในอดีต จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 11 เมืองต่างๆ ในอิตาลีได้ต่อต้านอำนาจของจักรพรรดิ และเริ่มระบบการปกครองตนเองแบบนครรัฐขึ้น ซึ่งมิลานก็ได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นโดยมีนามว่า Commune of Milan ครับ
หลังจากที่ได้ปกครองตนเองแล้ว มิลานได้กลับรุ่งเรืองขึ้นมาโดยได้ประโยชน์จากเส้นทางค้าขายที่เชื่อมอิตาลีกับส่วนอื่นของยุโรป ช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 12-15 จึงเป็นช่วงที่ตัวเมืองพลิกฟื้นกลับมาเป็นเมืองชั้นนำของอิตาลี
แต่ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหา เพราะมิลานเผชิญกับปัญหาภายในระหว่างสองสายตระกูลใหญ่อย่าง Guelphs และ Ghibellines จนสุดท้ายตระกูล Visconti ที่อยู่ฝั่ง Ghibellines ได้รับชัยชนะเด็ดขาด และปกครองมิลานในฐานะดยุคจนกระทั่งสิ้นสุดทายาทสืบทอดในช่วงศตวรรษที่ 15
ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา (Renaissance) มิลานอยู่ในการปกครองของตระกูล Sforza ช่วงนี้เป็ชช่วงที่มิลานเจริญรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และเป็นเมืองระดับท็อปของยุคเคียงคู่กับฟลอเรนซ์หรือเวนิส ทว่าตัวเมืองได้ถูกแย่งชิงไปมาในช่วงศตวรรษที่ 16-19 โดยอาณาจักรใหญ่อย่างฝรั่งเศสและออสเตรียที่ต้องการมีอิทธิพลเหนืออิตาลี ทำให้ชาวมิลานต้องถูกปกครองจากต่างชาติ และสูญเสียการปกครองตนเองไปจนสิ้น
ช่วงปี ค.ศ.1848 ชาวมิลานลุกฮือครั้งใหญ่ต่อต้านการปกครองของออสเตรีย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสถาปนาประเทศอิตาลีในเวลาต่อมา ภายหลังมิลานได้กลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและเศรษฐกิจของประเทศที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ และได้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วอีกด้วย
สมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มิลานมีบทบาทสำคัญในการเมืองอิตาลี เพราะเป็นเมืองที่เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) จอมเผด็จการเริ่มมีบทบาททางการเมือง ซึ่งจบลงด้วยการขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในเวลาต่อมา แต่ก็เป็นเมืองที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยเช่นกันเมื่ออิตาลีแพ้สงครามโลกครั้งที่สองครับ
มิลานได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงคราม แต่ก็ได้รับการบูรณะกลับมาสวยเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว อาคารแบบ modernist ได้เข้าแทนที่อาคารเก่าที่ถูกทำลายไป เศรษฐกิจของเมืองก็กลับมารุ่งเรืองตามลำดับ
ช่วงทศวรรษ 1980 แบรนด์แฟชั่นจากมิลานประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Prada, Armani หรือ Versace ทำให้มิลานได้รับสถานะเป็นเมืองหลวงทางด้านแฟชั่นของโลก ซึ่งได้ส่งผลอย่างมากให้นักเดินทางจำนวนมากอยากไปสัมผัสบรรยากาศที่นี่สักครั้งหนึ่ง ดังนั้นมิลานจึงได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของอิตาลีตราบจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองมิลานทำอย่างไร?
มิลานนั้นเป็นประตูสู่ประเทศอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือของประเทศ นักเดินทางจำนวนมากจึงเลือกจะบินจากประเทศไทยไปลงที่มิลานครับ ส่วนตัวแล้วผมแนะนำ Qatar Airways เพราะว่าเป็นสายการบินคุณภาพ ราคาเหมาะสม และใช้เวลาเดินทางไม่นานครับ
แต่สำหรับเมืองอื่นๆ อย่างเช่นฟลอเรนซ์ เวนิส กรุงโรม หรือเจนัว คุณสามารถใช้บริการรถไฟในประเทศได้ ซึ่งการจองและตรวจสอบรอบสามารถทำได้สบายๆ ด้วยการใช้เว็บ Omio ครับ
การเดินทางในเมืองมิลานทำอย่างไร?
การเดินทางในเมืองมิลานนั้นค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะมีพาหนะให้เลือกทั้งรถบัส รถไฟใต้ดิน และรถราง ซึ่งคุณใช้ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ส่วนแท็กซี่นั้นจะมีเช่นกัน แต่ว่าคุณจะต้องใช้โทรศัพท์หรือแอพในการเรียก (ส่วนมากจะรับไม่การโบก) ทั้งนี้แท็กซี่ที่ถูกกฎหมายจะมีสีขาวครับ
1. ชมภาพ The Last Supper
ภาพ The Last Supper ของเลโอนาร์โด ดาวินชีนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง และน่าจะเป็นหนึ่งในภาพวาดที่เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดภาพหนึ่ง ตัวภาพนั้นเป็นภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะถูกทหารโรมันจับไปตรึงกางเขน
ในเชิงศิลปกรรมแล้วนั้น ภาพนี้ถือเป็นสุดยอดของการใช้เทคนิคอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านมุมมอง (perspective) การแสดงอารมณ์อันซับซ้อน ดังนั้นเป็นหนึ่งในภาพที่ควรค่าต่อการไปชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชอบชมผลงานศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ
ปัจจุบันตัวภาพนั้นตั้งอยู่ที่ผนังฝั่งหนึ่งของ Chiesa di Santa Maria delle Grazie ที่อยู่ในเมืองมิลาน ปัจจุบันคุณสามารถเข้าชมได้ แต่ต้องจองเวลาล่วงหน้าเท่านั้น เพราะรัฐบาลอิตาลีได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวันครับ นอกจากนี้ถ้าไปสายก็จะหมดสิทธิ์ทันที
ถ้าอยากเข้าชมได้แน่ๆ ผมแนะนำให้จองบริการผ่านกับ GetYourGuide หรือ Viator ครับ ซึ่งคุณจะได้ไกด์มาให้ความรู้อย่างละเอียดด้วย แต่ถ้าไม่ต้องการไกด์ คุณสามารถซื้อได้ผ่าน Tiqets ครับ
2. Duomo di Milano
Duomo di Milano หรืออีกชื่อว่า Il Duomo หรือ Milan Cathedral เป็นมหาวิหารประจำเมืองมิลาน และแน่นอนว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองมาหลายศตวรรษด้วยกัน ตัวมหาวิหารนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 โดยดยุคแห่งมิลานสายตระกูล Visconti ซึ่งหลังจากสร้างเสร็จ มหาวิหารอันยิ่งใหญ่สไตล์โกธิคแห่งนี้ก็ได้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปโดยปริยายครับ
จุดเด่นของมหาวิหารแห่งนี้คือด้านหน้า (Facade) ที่สุดจะอลังการงานสร้าง เพราะสร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวอมชมพูโดยตลอด และยังมียอดแหลม (Spire) หลายยอด ซึ่งยอดที่สูงที่สุดนั้นสูงจากพื้นถึง 157 เมตร และประดิษฐานรูปปั้นสีทองนามว่า Madonnina ครับ
ส่วนด้านในนั้นก็ได้รับการตบแต่งอย่างอลังการเช่นกัน โดยมีรูปปั้นหินอ่อนเรียงรายกันไปมากกว่าสองพันตัว เช่นเดียวกับหน้าต่างกระจกสีสวย (Stained Glass) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และผลงานศิลปะอีกมากมายครับ แต่ที่พิเศษที่สุดคือ คุณสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองมิลานได้จากส่วน Terrace ของตัววิหารอีกด้วยครับ
หลังจากที่เข้าชมด้านในจนเต็มอิ่มแล้ว คุณสามารถไปเข้าชม Museo del Duomo พิพิธภัณฑ์ของมหาวิหารที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งจัดแสดงปูชนียสถานและผลงานศิลปะมากมายของมหาวิหารครับ
3. Galleria Vittorio Emanuele II
Galleria Vittorio Emanuele II เป็นสถานที่ถูกเปรียบว่าเป็น “ห้องนั่งเล่น” ของชาวเมืองมิลานที่ใช้ต้อนรับแขกเวลามาเยือนที่บ้าน
ตัวอาคารนั้นเป็นห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี (ใหญ่ที่สุดในยุโรปเมื่อครั้งที่สร้างเสร็จในช่วงศตวรรษที่ 19) โดยมีลักษณะเป็นโดม (สูงจากพื้นถึง 48 เมตร) ครอบคลุมพื้นที่ในร่มระหว่างมหาวิหารมิลานกับ Teatro alla Scala บริเวณด้านในได้รับการตบแต่งด้วยพื้นโมเสกและรูปปั้นสตรี (caryatids) ที่สวยงามและอลังการเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
ปัจจุบันที่นี่ยังคงเป็นห้างสุดหรูที่มี shop ของแบรนด์เครื่องแต่งกายระดับ luxury เช่นเดียวกับร้านอาหารและคาเฟ่ระดับ high-end เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากสัมผัสบรรยากาศชนชั้นสูงสมัยศตวรรษที่ 19 การมาเดินเล่น ช้อปปิ้ง และจิบกาแฟที่นี่เป็นกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
4. Castello Sforzesco
Castello Sforzesco หรือ Sforza Castle เป็นปราสาทที่ครั้งหนึ่งเคยใหญ่ที่สุดของยุโรป โดยเริ่มแรกนั้นใช้เป็นสถานที่พำนักของตระกูล Visconti ที่ปกครองมิลาน ก่อนที่จะกลายเป็นป้อมปราการ
ทั้งนี้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ดาวินชีเคยทำงานอยู่ที่นี่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ Ludovico il Moro แห่งตระกูล Sforza ครับ และได้รังสรรค์ผลงานในอาคารชื่อ Sala delle Asse ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการบูรณะครับ นอกจากนี้ด้านในปราสาทแห่งนี้ยังมีผลงานของไมเคิลแองเจโลด้วย โดยเป็นรูปปั้นหินอ่อนชื่อ Pietà Rondanini อันเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้ายก่อนทีเขาจะล่วงลับครับ
ปัจจุบันส่วนต่างๆ ของปราสาทแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง อย่างเช่น Museum of Ancient Art ที่จัดแสดงผลงานศิลปะโบราณที่เกี่ยวข้องเมืองมิลาน, Egyptian Museum พิพิธภัณฑ์อียิปต์โบราณที่ไม่ได้อลังเท่ากับที่เมืองตูรินแต่ก็ควรค่าต่อการเข้าชม หรือว่า Pinacoteca ที่จัดแสดงผลงานของจิตรกรชาวอิตาเลียนจำนวนมากครับ
ในช่วงกลางคืน ปราสาทแห่งนี้จะมีการเปิดไฟ ทำให้สวยงามอาจจะยิ่งกว่ากลางวันเสียอีก ไม่ควรพลาดชมทุกประการเลยครับ
บริเวณด้านหน้าของปราสาทนั้นคือสวนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองมิลานชื่อ Parco Sempione ตัวสวนนั้นเป็นแบบอังกฤษที่มีความร่มรื่นน่าพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้เป็นสถานที่ยอดนิยมของชาวเมือง นอกจากนี้ยังเป็นจุดจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลต่างๆ ด้วยครับ
5. Teatro Alla Scala
Teatro Alla Scala เป็นโรงละครโอเปร่า (Opera House) ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักแสดงที่ได้แสดงในสถานที่แห่งนี้ครับ ด้านในอาคารได้รับการสร้างอย่างอลังการในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่สีแดงขลิบทองที่ได้สร้างแรงบันดาลใจกับโรงละครอื่นมากมายครับ
ปัจจุบันคุณสามารถซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมด้านในของโรงละครได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด คงไม่มีอะไรดีกว่าการเข้าชมโอเปร่าสักครั้งที่นี่ เพราะบรรยากาศและโครงสร้างตัวอาคารที่ทำให้เสียงจากผู้แสดงไพเราะและดังกังวาน และให้ประสบการณ์ที่โดดเด่นต่างจากโรงละครทั่วไปครับ
ใกล้กับโรงละครมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกแล้วประวัติศาสตร์ของที่นี่ตลอดจนจัดแสดงเครื่องแต่งกาย ของตบแต่ง ภาพเขียนที่เกี่ยวข้องกับการแสดงโอเปร่า สำหรับใครที่ชอบศิลปะแขนงนี้ แน่นอนว่าไม่ควรพลาดครับ
6. Quadrilatero della Moda
Quadrilatero della Moda หรือ Fashion District เป็นย่านช้อปปิ้งสุดหรูของเมืองมิลานซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ตัวย่านประกอบด้วยถนนสี่สายได้แก่
- Corso Venezia – ถนนที่เชื่อมระหว่าง Piazza San Babila และ Corso Buenos Aires ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งทั้งสองแห่ง จุดเด่นของถนนเส้นนี้คือมีอาคารสไตล์ Art Nouveau ที่สวยงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดให้ชมอย่าง Piazza del Quadrilatero ที่มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งใช้จัดเทศกาลต่างๆ
- Via Montenapoleone – ถนนสายหลักที่เป็นที่โปรดปรานของเหล่าเซเลปจากทั่วโลก เพราะอุดมไปด้วยร้านค้าต่างๆ ที่ขายสินค้าเกรดดีที่สุด ร้านที่อยู่ในย่านนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดของเหล่าสินค้า Made in Italy ครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ใช้จัดแฟชั่นโชว์ระดับโลกที่ดารานักแสดงจากทั่วโลกเดินทางไปเดินพรมแดงครับ
- Via Manzoni – ถนนช้อปปิ้งที่มีความเป็นมิลานมากที่สุด ที่นี่จะมีแต่ร้านค้าระดับ upmarket จำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่เดินเล่นที่ดีทีเดียว เพราะว่ามีอาคารที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งครับ
- Via della Spiga – ถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านเครื่องแต่งกายของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งแฟชั่นครับ
ถนนทั้งสี่สายนี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสุดยอดของย่านช้อปปิ้งเคียงคู่กับ Fifth Avenue ที่มหานครนิวยอร์ก และ Champs Elysees ในกรุงปารีส เพราะฉะนั้นย่านช้อปปิ้งนี้จึงอุดมไปด้วยร้านของแบรนด์ดังเช่น Prada หรือ Armani ควบคู่กับร้านเครื่องแต่งกายแบบ boutique store ครับ
สำหรับใครที่ไม่ได้ชื่นชอบการช้อปปิ้งมากนัก แต่อยากเรียนรู้ความเป็นมาของย่านการค้าอันดับโลกแห่งนี้ คุณสามารถไปเรียนรู้ประวัติของย่านนี้ได้ที่ Bagatti Valsecchi Museum หรือ Palazao Morando ครับ
ช่วงเวลาที่ย่านนี้ครึกครื้นที่สุดย่อมเป็นช่วง Milan Fashion Week หรือ Milano Moda Donna ที่เหล่าดีไซเนอร์และแบรนด์ต่างๆ จะนำเสนอสินค้าตัวใหม่ กิจกรรมต่างๆ จะมีจัดขึ้นทั่วเมือง วันเวลาที่จัดนั้นจะไม่ตรงกันในแต่ละปี แต่จะจัดทุกปี ปีละสองครั้ง ครั้งหนึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์/มีนาคม ส่วนอีกครั้งหนึ่งในช่วงเดือนกันยายน/ตุลาคมครับ
7. Navigli District
Navigli District หรือ Naviglio เป็นย่านริมคลองที่หนุ่มสาวชาวมิลานโปรดปราน และเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการรับประทานอาหาร หรือว่าสังสรรค์ ปัจจุบันย่านนี้อุดมไปด้วยร้านอาหาร คลับ และบาร์ รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของตลาดหลายแห่ง โดยเฉพาะตลาดของเก่าในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนครับ
ในอดีตคลองเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ขนส่งชาวเมืองและสิ่งของโดยใช้เส้นทางทางน้ำ และจำนวนคลองนั้นมีมากมายจนเรียกได้ว่าสูสีไม่แพ้เวนิส แต่ในยุคหลังนั้น คลองเหล่านี้ถูกถมไปเมื่อการใช้รถยนต์แพร่หลาย เหลือแต่เพียงบางส่วนที่ย่าน Navigli District ครับ
จุดที่น่าสนใจในย่านแห่งนี้มีอยู่หลายจุด อาทิเช่น Darsena ที่เคยเป็นท่าเรือริมคลองมาก่อน แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของแสงสีในยามค่ำคืนของมิลาน หรือ Vicolo Dei Lavandai จุดที่คนงานเคยใช้น้ำในลำคลองมาซักผ้า และบริเวณรอบๆ ยังรักษาบรรยากาศเดิมๆ ไว้ได้
แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดย่อมเป็นสะพาน Ponte Alda Merini ที่พาดผ่อนเหนือคลองใหญ่ Naviglio Grande จุดนี้เป็นจุดที่คู่รักชาวอิตาเลียนมักจะมาเดทและแสดงความรักที่มีต่อกันอย่างหวานชื่น จุดนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในช่วงตะวันตกดิน เพราะตะวันทอแสงเหนือตัวย่านและน้ำในลำคลองนั้นช่างแสนจะโรแมนติกครับ
8. Sant’Ambrogio
Sant’Ambrogio เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่มากเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 4 หรือว่าตั้งแต่สมัยโรมัน แต่โบสถ์ก็เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 12-13 ได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ตามสถาปัตยกรรมแบบ Romanesque ครับ และด้วยความงดงามและสภาพที่สมบูรณ์มาก ทำให้ที่นี่ได้รับการยกย่องบ่อยครั้งว่าเป็นสุดยอดสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมดังกล่าว
โบสถ์แห่งนี้อุทิศให้กับนักบุญ St. Ambrose นักบุญผู้อุปถัมภ์ที่ได้รับการสักการะเป็นนักบุญประจำเมืองมิลาน ปัจจุบันร่างของนักบุญองค์ดังกล่าวก็ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่นี่ครับ
ไฮไลท์ด้านในโบสถ์แห่งนี้มีอยู่หลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาทองคำ (Golden Altar) จากศตวรรษที่ 9 ที่ได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนอ้างอิงจากชีวิตของพระเยซูคริสต์ทางด้านหน้า และนักบุญ St.Ambrose ทางด้านหลัง
นอกจากนี้ยังมีโลงศพจากสมัยโรมันอย่าง Sarcophagus of Stilicho ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะบรรจุร่างของชายที่เคยเรืองอำนาจสูงสุดในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงโมเสกอันสวยงามที่จารึกเรื่องราวของมรณสักขี St. Gervasio และ Protasio ครับ
บริเวณด้านหน้า (ส่วน Nave) ของโบสถ์นั้นมีรูปปั้นทองแดงรูปงูตัวหนึ่ง ซึ่งชาวเมืองมิลานได้รับมาจากอาณาจักรไบแซนไทน์ ตามตำนานเล่าว่างูตัวนี้สร้างขึ้นโดยโมเสสเพื่อป้องกันไม่ให้งูในทะเลทรายไปทำร้ายผู้คนของเขา และถ้าใครที่ถูกกัดมองไปที่งูตัวนี้จะหายจากพิษของมันอย่างปลิดทิ้ง หลังจากที่รูปปั้นงูได้มาอยู่ที่นี่ ชาวมิลานในยุคนั้นต่างเชื่อว่ามันมีพลังพิเศษที่ช่วยเหลือให้ผู้มองพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บครับ
9. San Maurizio
San Maurizio เป็นโบสถ์ที่มักถูกเปรียบว่าเป็น Sistine Chapel ของนครมิลาน เพราะว่าด้านในได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอย่างสวยงามมาก ซึ้งจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ในคริสตศาสนาอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าทุกส่วนของโบสถ์นั้นครอบคลุมไปด้วยผลงานศิลปะทั้งหมดเลยครับ
เจ้าของผลงานเหล่านี้คือจิตรกรชาว Lombard ในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่ใช้เวลานานหลายปีในการรังสรรค์ผลงานอันสุดอลังการเช่นนี้ครับ
นอกเหนือจากภาพเขียนสีแล้ว ตัวโบสถ์ยังมีหอคอยโรมันอยู่สองแห่งที่ตั้งคู่กัน ซึ่งก็เพราะโบสถ์แห่งนี้สร้างทับกำแพงเมืองยุคโรมัน รวมไปถึงจุดที่เคยเป็นลานสำหรับแข่งรถ ปัจจุบันพื้นที่ด้านในหอคอยได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่เล่าประวัติศาสตร์ของเมืองอย่างละเอียด และจัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องครับ
10. ชมโบสถ์และมหาวิหารอื่นๆ
นอกเหนือจากมหาวิหารมิลาน และโบสถ์ที่ผมได้แนะนำไปแล้วด้านบนนั้น ในเมืองมิลานยังมีศาสนสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งอาทิเช่น
- Chiesa di Santa Maria della Passione – มหาวิหารที่ใหญ่กว่าทุกแห่งในเมืองมิลานยกเว้นแต่เพียงดูโอโมแห่งเดียวเท่านั้น ด้านในใหญ่โตอลังการและมีภาพเขียนสีเฟรสโกที่สวยงามยิ่ง
- Sant’Eustorgio – หนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง และสร้างขึ้นในจุดที่ชาวเมืองมิลานกลุ่มแรกเข้ารีตเป็นชาวคริสต์ครับ ตัวโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19
- Basilica di San Lorenzo Maggiore – มหาวิหารเก่าที่มีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 โดยมีไฮไลท์อยู่ที่เสาแบบโครินเทียนส์ที่เรียงรายกันไป แสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองโรมันที่ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตที่นี่เคยเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของชาวเมืองในสมัยโบราณครับ
11. Brera District
Brera District เป็นย่านในเมืองมิลานที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านแห่งศิลปะ เพราะเป็นที่ตั้งของ Brera Academy โรงเรียนศิลปะแบบ Fine Arts ชั้นนำของประเทศ และยังเป็นสถานที่พักใจยอดนิยมของชาวเมืองด้วย เพราะบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่าส่วนอื่นในเมืองนั่นเองครับ
ภายในย่านมีร้านให้นั่งจิบเครื่องดื่มเงียบๆ อยู่ไม่น้อย ทำให้เป็นสถานที่สุดโปรดของเหล่านักเขียน และศิลปินที่รังสรรค์ผลงานต่างๆ ครับ ส่วนในช่วงเย็นนั้น ย่านนี้อาจจะพลุกพล่านทีเดียว เพราะว่าชาวเมืองจะมาใช้บริการร้านอาหารต่างๆ ครับ
ร้านค้าในย่านนี้จะอุดมไปด้วยร้านขายของเก่าและงานศิลปะ ซึ่งใครที่ชอบของเก่าไม่ควรพลาดไปเยือน นอกจากนี้ในย่านนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะชั้นยอดอย่าง Pinacoteca di Brera ด้วย ด้านในจัดแสดงผลงานระดับมาสเตอร์พีซของจิตรกรชาวอิตาเลียนหลายชิ้น อาทิเช่น Marriage of the Virgin ของราฟาเอล หรือ Discovery of the body of Saint Mark ของ Tintoretto ครับ
12. ย่านเมืองใหม่ของมิลาน
นอกเหนือจากย่านเมืองเก่าแล้วนั้น ปัจจุบันมิลานได้มีส่วนของเมืองที่สร้างขึ้นแบบร่วมสมัยที่มีแลนด์มาร์กใหม่ๆ ที่เริ่มปรากฏโฉมแก่สายตาชาวโลก โดยมีคอนเซปต์เป็นเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ยกตัวอย่างเช่น Bosco Verticale อาคารที่อยู่อาศัยแบบ high-rise ที่มีเอกลักษณ์เหมือนกับตึกระฟ้าที่มีความเป็นป่า โดยบนตัวตึกนั้นมีต้นไม้ 800 ต้น และพุ่มไม้อีก 4,500 กอ และพืชพรรณอื่นๆ อีกมากมาย หรือว่า Piazza Gae Aulenti สถานที่นัดพบแห่งใหม่ด้วยปรัชญา eco-sustainability ครับ
13. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่ของอิตาลีแล้วย่อมไม่เคยขาดพิพิธภัณฑ์ มิลานเองก็เช่นกัน นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์ที่ผมแนะนำไปแล้ว ยังมีอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ อาทิเช่น
- Pinacoteca Ambrosiana – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาผลงานศิลปะและงานเขียนของเลโอนาร์โด ดาวินชีไว้มากที่สุดในโลก
- Poldi-Pezzoli Museum – พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของเก่าที่เก็บรักษาโดยตระกูลชนชั้นสูงของมิลาน โดยมีทั้งผลงานศิลปะ อาวุธและชุดเกราะ ไปจนถึงของใช้อื่นๆ อายุหลายศตวรรษครับ
- Leonardo da Vinci National Museum of Science and Technology – พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีไฮไลท์อยู่ที่ผลงานของดาวินชี โดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ
- Pirelli Hangar Bicocca – อดีตโรงงานผลิตรถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์งานศิลปะแบบร่วมสมัยครับ
- Fondazione Prada – อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแนวร่วมสมัย ตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์ในย่าน Porta Romana
- Cimitero Monumentale – ที่นี่เป็นสุสานของเศรษฐีและผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองมิลาน แต่สร้างขึ้นอย่างสวยงามโดยมีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง โดยเป็นผลงานของช่างฝีมือชั้นยอดของช่วงศตวรรษที่ 20 ครับ ซึ่ง theme หลักก็คือเรื่องของความตายที่ศิลปินรังสรรค์ของออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ปัจจุบันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คุณสามารถเข้าชมได้ครับ
14. ชมสนามฟุตบอล
เมืองมิลานนั้นมีทีมฟุตบอลใหญ่ถึงสองทีมได้แก่ เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน ซึ่งทั้งสองล้วนแต่เป็นสโมสรชั้นนำของประเทศ ปัจจุบันทั้งสองสโมสรนั้นใช้สนามเหย้าร่วมกัน แต่ทีมปีศาจแดงดำจะเรียกสนามนี้ว่าซาน ซิโร (San Siro) ส่วนทีมงูใหญ่จะเรียกว่า Stadio Giuseppe Meazza ครับ
สนามฟุตบอลแห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในอิตาลี และใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป ปัจจุบันคุณสามารถเข้าไปชมห้องแต่งตัวของนักฟุตบอลได้ เช่นเดียวกับตัวสนาม และ stand เชียร์ที่มีความร้อนแรงและดุเดือดด้วยการซื้อทัวร์ผ่าน GetYourGuide ครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจมากก็คือร้านขายสินค้าไม่ว่าจะเป็นเสื้อฟุตบอลหรือว่าสินค้าอื่นๆ นอกจากนี้ยังมี San Siro Museum ที่ให้คุณเข้าไปศึกษาประวัติความเป็นมาของตัวสนามด้วยครับ
แต่ถ้าคุณอยากได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคุณไม่ควรพลาดเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลด้วยตนเอง ทั้งนี้คุณสามารถจองตั๋วได้ผ่านลิงค์ด้านล่างครับ
15. ชิมอาหารพื้นเมือง
มิลานนั้นมีอาหารพื้นเมืองที่หลากหลาย และควรค่าต่อการรับประทานไม่แพ้เมืองที่เด่นเรื่องอาหารอย่างโบโลญญ่า หรือปาร์มา เมนูที่ไม่ควรพลาดได้แก่
- Risotto Alla Milanese – รีซอตโต้สูตรเมืองมิลานที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง ทีเด็ดอยู่ที่การใส่เครื่องเทศอย่าง saffron ลงไปด้วย ทำให้รีซอตโต้มีสีเหลืองน่ารับประทาน ต้นกำเนิดของเมนูนี้มีเรื่องเล่าว่าเกิดจากจิตรกรผู้หนึ่งที่อยากทราบว่า ถ้าเขาใช้เครื่องเทศลงสีในภาพวาดอยู่เป็นประจำใส่ลงไปในเมนูอาหารจะเป็นอย่างไรครับ
- Cotoletta alla Milanese – เมนูลูกวัวทอดเนยละลายที่เสิร์ฟมาพร้อมกระดูก ประวัติของเมนูนี้ย้อนกลับไปได้ถึงอย่างน้อยศตวรรษที่ 12 เพราะปรากฏในเอกสารโบราณครับ ลักษณะของเมนูนี้คล้ายกับ Wienerschnitzel ของออสเตรีย ทำให้มีการโต้เถียงกันว่าต้นกำเนิดของเมนูแบบนี้มาจากไหน ซึ่งชาวมิลานมักจะว่า ชาวออสเตรียนำเมนูนี้ไปดัดแปลงตอนที่ออสเตรียได้ครอบครองมิลานครับ
- Cassöeula – เมนูหมูต้มกระหล่ำปลี ได้รับความนิยมมากในช่วงฤดูหนาว
- Ossobuco – เมนูเนื้อลูกวัวที่มักเสิร์ฟคู่กับ Risotto Alla Milanese
- Barbajada – เครื่องดื่มช็อคโกแลตแสนอร่อย ต้นกำเนิดมาจากคาเฟ่หน้าโรงละคร La Scala ครับ
- Panettone – เมนูของหวานที่หน้าตาคล้ายโดม ซึ่งชาวเมืองทำประจำสำหรับวันคริสตมาส
References
- YesMilano (Official Travel Guide)