หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวยุโรป15 ที่เที่ยวมิวนิค (Munich) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

15 ที่เที่ยวมิวนิค (Munich) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

-

มิวนิค (Munich) หรือ München ในภาษาเยอรมันเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย รัฐสำคัญทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี และยังมีประชากรเป็นลำดับที่สามของประเทศอีกด้วย เมืองแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า คมนาคม เช่นเดียวกับวัฒนธรรมของภูมิภาค เช่นเดียวกับเป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในเยอรมนี และออสเตรียเลยครับ

สำหรับตัวผมแล้ว น่าจะเหมือนกับหลายๆ ท่านนั่นคือรู้จักเมืองแห่งนี้เพราะสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเมืองแห่งนี้ร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ทำให้ในเมืองเองก็มีสิ่งที่น่าสนใจจำนวนมากทีเดียว บทความนี้จึงจะแนะนำให้คุณรู้จักกับเมืองนี้คร่าวๆ ก่อนที่จะไปแนะนำจุดที่ควรไปเป็นลำดับต่อไปครับ

Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ

รู้จักเมืองมิวนิค (Munich)

สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองมิวนิคเป็นพื้นที่ราบลุ่มที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ ตัวเมืองมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านนั่นคือ Isar และ Würm ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบอุดมสมบูรณ์ครับ

อารยธรรมของมนุษย์ได้ปรากฏให้เห็นบริเวณโดยรอบตัวเมืองมาตั้งแต่ยุคสำริดและยุคเหล็ก โดยส่วนมากจะเป็นผลงานของชาวเซลต์ (Celts) และมีอายุประมาณ 4,000 ปี ต่อมาในช่วงโรมัน มิวนิคได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ เพราะเป็นทางผ่านของถนนหลวงชื่อ Via Julia ที่เชื่อมเมืองอย่างซาลซ์บูร์ก (Salzburg, ปัจจุบันอยู่ในออสเตรีย) และเอาก์สบวร์ก (Augsburg) ครับ

หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย ชาวบาวาเรียนได้เข้ามาครอบครองพื้นที่แถบนี้ และได้เริ่มนับถือศาสนาคริสต์ โดยได้มีการสร้างโบสถ์หลังแรกในช่วงศตวรรษที่ 9 ทว่ามิวนิคก็ยังเป็นแค่เมืองหรือว่านิคมขนาดเล็กเท่านั้น

Photo by Daniel Seßler on Unsplash

จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 12 ดยุค Henry the Lion ได้ครองตำแหน่งเป็นประมุขของดยุคแห่งแซ็กโซนีและบาวาเรีย พระองค์โปรดให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่พื้นที่ส่วนที่เป็นเมืองมิวนิคในปัจจุบัน โดยหมายพระทัยที่จะครอบครองการค้าเกลือ ซึ่งเมืองแห่งนี้เองที่จะเป็นรากฐานของตัวเมืองในปัจจุบันครับ

หลังจากนั้นมิวนิคได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะได้คุมการค้าสำคัญทางภาคใต้ของเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ดยุคหลุยส์ที่ 4 ที่เกิดที่นี่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในช่วงศตวรรษที่ 14 พระองค์ได้สิทธิการค้าแบบผูกขาดกับเมืองแห่งนี้ ทำให้มิวนิคยิ่งมั่งคั่งยิ่งขึ้นไปอีก

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานมิวนิคก็ได้เผชิญกับอุบัติภัยครั้งใหญ่ นั่นคือกาฬโรคที่คร่าชีวิตผู้คนในเมืองจำนวนมากมาย เช่นเดียวกับไฟไหม้ใหญ่ที่ทำลายตัวเมืองเดิมไปถึง 1 ใน 3 ด้วยกันครับ

เมืองเก่ามิวนิค
Image by Michael Siebert from Pixabay

ในช่วงศตวรรษที่ 16 ชาวบาวาเรียได้รวมเป็นหนึ่งและสถาปนารัฐของตนเอง (อยู่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกทีหนึ่ง) โดยมีมิวนิคเป็นเมืองหลวง กษัตริย์บาวาเรียได้ทรงเปลี่ยนตัวเมืองให้เป็นศูนย์กลางของยุค Renaissance ในทางภาคใต้ของเยอรมนี ช่วงนี้ตัวเมืองจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเรื่องดนตรีครับ

ช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่มิวนิคเผชิญกับไฟสงครามจากสงครามสามสิบปีที่เป็นสงครามศาสนาระหว่างสองนิกาย ทำให้น่าจะได้รับความเสียหายไปพอสมควร แต่เมื่อสงครามสงบ มิวนิคได้กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม baroque ที่เน้นความโอ่อ่าหรูหรา และรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก

หลังจากนโปเลียนเรืองอำนาจในยุโรป รัฐบาวาเรียได้ถูกยกสถานะขึ้นเป็นอาณาจักร และมีกษัตริย์ขึ้นปกครอง (แทนที่ดยุค) ช่วงนี้เองที่มิวนิคเป็นเมืองเอกของภูมิภาคอย่างแท้จริง ตัวเมืองได้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรม และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเช่นทางรถไฟ ทำให้มิวนิคเป็นฮับของการเดินทางไปโดยปริยาย

Nymphenburg Palace
Image by Duernsteiner from Pixabay

ในเวลาเดียวกันวัฒนธรรมของเมืองก็รุ่งโรจน์ไปด้วย เพราะกษัตริย์บาวาเรียทรงโปรดให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่สวยงามหลายแห่ง โดยเฉพาะกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 (Ludwig I) ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ทว่ากษัตริย์องค์ต่อมาอย่างลุดวิกที่ 2 นั้นทรงไม่ค่อยจะประทับอยู่ที่มิวนิคเท่าใดนัก เพราะพระองค์โปรดปรานการสร้างปราสาทตามพื้นที่ชนบทของบาวาเรียมากกว่าครับ

มิวนิคได้เป็นส่วนของประเทศเยอรมนีที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็ยังคงมีกษัตริย์ราชวงศ์ Wittelsbach ปกครองภายใต้ไกเซอร์แห่งเยอรมนีอีกทีหนึ่ง ทว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 การประท้วงใหญ่ได้ทำให้การปกครองรูปแบบดังกล่าวจบสิ้นลง และเปลี่ยนสถานะเป็นเมืองหลวงของรัฐพิเศษในเยอรมนีชื่อว่า Free State of Bavaria ครับ

Marienplatz
by Andrew Mayovskyy/ShutterStock

ช่วงทศวรรษ 1920-1930 มิวนิคเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการขึ้นสู่อำนาจของ “ท่านผู้นำหนวดจิ๋ม” โดยเขาได้พยายามยึดอำนาจรัฐเป็นครั้งแรกด้วยการลุกฮือขึ้นที่โรงเบียร์ในมิวนิค ซึ่งมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ว่า “Beer Hall Putsch” แม้ว่าในครั้งนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ใจชาวเมืองไม่น้อย ซึ่งได้เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในเวลาต่อมา

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มิวนิคอุดมไปด้วยค่ายกักกันและค่ายแรงงาน และเป็นกำลังสำคัญในการผลิตยุทธปัจจัยของเยอรมนี ดังนั้นตัวเมืองจึงโดนทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วงโดยกองทัพพันธมิตร ทำให้เมืองได้รับความเสียหายไม่น้อยครับ

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มอบเงินทุนจำนวนมากเพื่อบูรณะเมืองมิวนิคหลังจากสงคราม โดยใช้โครงสร้างเดิมในการบูรณะ มิวนิคจึงกลับมาสวยงามเหมือนเดิมดังเช่นก่อนสงคราม หลังจากนั้นมิวนิคได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว และได้รับโอกาสในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิก บอลยูโร ฯลฯ เช่นเดียวกับเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปมิวนิคทำอย่างไร?

มิวนิคเป็นประตูสู่เมืองอื่นๆในภูมิภาค ดังนั้นนักท่องเที่ยวนิยมบินจากกรุงเทพไปลงที่มิวนิคโดยตรง โดยสายการบินที่น่าสนใจได้แก่สายการบินไทย, Lufthansa หรือสายการบินจากตะวันออกกลางอย่าง Qatar Airways ครับ

แต่ถ้าคุณอยู่ในเยอรมนีนั้น คุณสามารถเดินทางด้วยรถไฟไปยังมิวนิคจากเมืองต่างๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ผมแนะนำให้ใช้แอพ Omio เพื่อความสะดวกสบายครับ

มีวิธีลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในเมืองมิวนิคอย่างไร

มิวนิคมีพาสสองแบบที่คุณสามารถซื้อได้นั่นคือ Munich Card (เริ่มต้นที่ 5.9 ยูโร) และ Munich City Pass (เร่ิมต้นที่ 39.9 ยูโร) โดยใบแรกจะให้ส่วนลดค่าเข้าชมในสถานที่มากกว่า 100 แห่งในเมือง ส่วนใบที่สองจะให้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวจำนวน 45 แห่งได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

นอกจากนี้ทั้งสองใบยังสามารถอัพเกรดให้รวมค่าเดินทางด้วยรถสาธารณะทุกประเภทในเมืองได้อีกด้วยครับ (แต่แน่นอนว่าราคาจะสูงกว่าที่ผมได้ระบุไปด้านบนครับ

ในแง่ของความคุ้มค่าแล้ว ถ้าคุณมีแผนการที่แน่นอนจะเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมือง ผมมองว่ายัง Munich City Pass ก็คุ้มค่ากว่าครับ ทั้งนี้คุณสามารถซื้อพาสทั้งสองได้ที่นี่

การสัญจรในเมืองมิวนิคทำอย่างไร?

รถไฟอย่าง S-Bahn และ U-Bahn จะเป็นขนส่งสาธารณะที่คุณจะได้ใช้งานเป็นลำดับต้นๆ ในเมือง เพราะเส้นทางต่างๆ ค่อนข้างครอบคลุม นอกจากนี้ยังมีรถบัสและรถรางให้บริการอีกด้วย ทำให้การเดินทางง่ายดายและสะดวกครับ

1. Frauenkirche

Frauenkirche เป็นมหาวิหารที่มีหอคอยคู่ที่มีโดมสีเขียว ซึ่งเห็นเป็นสง่าจากระยะไกล ทั้งนี้หอคอยทั้งสองสูง 98.57 เมตรและเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมือง เพราะในปี ค.ศ.2004 ชาวเมืองได้ลงประชามติไม่ให้มีการสร้างอาคารใดๆ ที่สูงกว่าหอคอยทั้งสองในเมืองครับ ปัจจุบันคุณสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงที่หอคอยฝั่งใต้ได้ แต่อย่าไปช้ากว่าสี่โมงครึ่งที่เป็นรอบสุดท้ายที่เปิดให้ขึ้นครับ

ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic ในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยวัสดุที่ใช้สร้างจะเป็นอิฐ ซึ่งจะแตกต่างกับมหาวิหารทั่วไป เนื่องด้วยช่วงเวลาที่สร้างขาดแคลนหิน แต่โดมบนหอคอยนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยเลียนแบบมาจาก Dome of the Rock ที่เมืองเยรูซาเลมครับ หลังจากนั้นที่นี่ก็เป็นสถานที่พำนักของอาร์คบิชอปแห่งมิวนิคตลอดมาครับ

Frauenkirche
Photo by Joshua Kettle on Unsplash

ส่วนตัวด้านในนั้นเป็นโลงศพทำจากหินอ่อนสีดำของจักรพรรดิ Ludwig the Bavarian ผู้เป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนมิวนิคให้เป็นเมืองใหญ่ของภูมิภาค เช่นเดียวกับแท่นบูชาจากศตวรรษที่ 17 ที่สวยงามยิ่ง

อนึ่งมหาวิหารแห่งนี้มีตำนานแปลกๆ ด้วย นั่นคือมีเรื่องเล่าว่าปีศาจหรือซาตานได้ฝากรองเท้าไว้ที่พื้นของสถานที่แห่งนี้ เพราะมันได้เข้ามาด้านในด้วยความขุ่นเคืองเพราะเห็นว่ามีศาสนสถานหลังใหม่ที่อุทิศให้กับพระเจ้า

ทว่าปีศาจกลับเข้าใจผิดว่า ในมหาวิหารนั้นไม่มีหน้าต่างสักใบ (อันที่จริงเพราะถูกเสาและแท่นทำพิธีบังไว้) มันจึงหัวเราะโลดเต้นหัวเราะว่าสถาปนิกผู้สร้างช่างโง่สิ้นดี เกิดเป็นรองเท้าบนพื้นมหาวิหาร (ยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน)

หลังจากนั้นพอปีศาจลองมองดีๆ มันเห็นว่าจริงๆ แล้วมหาวิหารก็มีหน้าต่าง ทำให้มันบังเกิดความโมโหโกรธา ปีศาจได้จำแลงกายเป็นพายุใหญ่เพื่อพังที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวครับ ชาวเมืองว่านี่ทำให้ใกล้กับมหาวิหารแห่งนี้จะมีลมแรงเป็นพิเศษ

2. Marienplatz

Marienplatz เป็นจัตุรัสที่เป็นศูนย์กลางของเมืองมิวนิคมาตั้งแต่ช่วงสร้างเมือง (ประมาณศตวรรษที่ 12) และน่าจะเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศเยอรมนี อีกด้วย ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาลสำคัญๆ อย่างเช่นตลาดคริสตมาส ไปจนถึงการฉลองแชมป์ของสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิคครับ

Marienplatz
by f11photo/ShutterStock

ปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่นัดพบของชาวเมือง บริเวณโดยรอบจึงอุดมไปด้วยร้านอาหารและย่านช้อปปิ้ง อาทิเช่น Viktualienmarkt ที่มีร้านค้ามากกว่า 100 ร้านที่ขายอาหารพื้นเมือง วัตถุดิบชั้นเลิศ ไปจนถึงของฝาก หรือว่า Fussgängerzone ย่านถนนคนเดินที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ไปจนถึงร้านค้าขนาดเล็กให้คุณได้ช้อปปิ้ง และเลือกสรรของคุณภาพดีไปฝากคนที่คุณรักครับ

อาคารที่เป็นแลนด์มาร์กของจัตุรัสแห่งนี้คือ Neues Rathaus (New Town Hall) หรือสถานที่ว่าการเมืองแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Neo-Gothic เพื่อทดแทนหลังเดิมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

Marienplatz
by f11photo/ShutterStock

ทั้งนี้ในช่วง 11 โมงบริเวณหอคอยของอาคารที่ว่าการเมืองจะมีการแสดง Glockenspiel หรือหุ่นเครื่องกลจะมาเต้นรำ ดวลกันบนหลังม้า (jousting) ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นได้ชมครับ นอกจากนี้หอคอยแห่งนี้ยังมีระฆังถึง 43 ใบที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของยุโรปด้วยครับ และถ้ามีเวลา คุณสามารถเข้าไปชมวิวมุมสูงของเมืองจากด้านในได้ด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่น่าสนใจคือ Peterskirche หรือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในเมืองมิวนิค และสร้างขึ้นในสไตล์ Gothic ตัวโบสถ์มีหอคอยสูง 91 เมตรที่ให้คุณขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของ Marienplatz ได้อย่างใกล้ชิด แต่จะไม่มีลิฟต์ คุณจะต้องเดินตามบันไดขึ้นไปประมาณ 300 ขั้นครับ

3. ตลาดคริสตมาส

ตลาดคริสตมาส (Christkindlmarkt) เป็นเทศกาลสำคัญที่จัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงวันคริสตมาสอีฟ (24 ธันวาคม) เทศกาลนี้ถือว่าเป็นเทศกาลสำคัญของเมือง และน่าจะเป็นตลาคริสตมาสที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บริเวณจัตุรัส Marienplatz จะมีต้นคริสตมาสขนาดใหญ่ที่ประดับประดาด้วยดวงไฟถึง 2,500 ดวงครับ

ตลาดคริสตมาสเมืองมิวนิค
by Dunk, Flickr, CC by SA 2.0 DEED

ร้านรวงที่อยู่ในตลาดนั้นจะนำสินค้าพื้นเมืองมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็น ginger bread ไส้กรอกเยอรมัน เค้กและขนมพื้นบ้าน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเมนูพื้นเมืองหายากอีกไม่น้อยเลยครับ

4. Nymphenburg Palace

Nymphenburg Palace หรือ Schloss Nymphenburg เป็นพระราชวังสไตล์ Baroque ที่เป็นสร้างขึ้นเป็นสถานที่พำนักช่วงฤดูร้อนของดยุคและกษัตริย์แห่งบาวาเรียในช่วงศตวรรษที่ 17 และได้รับการแต่งเติมอย่างต่อเนื่อง (ในช่วงหลังจะใช้เป็นแนว Rococo และ Neoclassical) ทำให้ขนาดพระราชวังแห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเยอรมนีเลยครับ

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เยอรมันจำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นที่นี่ อาทิเช่นเป็นสถานที่ซึ่งลุดวิกที่ 2 กษัตริย์นักฝันแห่งบาวาเรียทรงมีพระราชสมภพเป็นต้นครับ

Nymphenburg Palace
Image by Jürgen from Pixabay

ในส่วนของที่ตั้งนั้น ตัวเมืองจะอยู่ออกไปที่ชานเมืองมิวนิค ดังนั้นคุณจะต้องนั่งรถไฟ รถบัส หรือว่ารถรางออกไปจากใจกลางเมืองครับ

ไฮไลท์อันดับ 1 ที่ต้องไปเยือนคือ Steinerner Saal ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอย่างสวยงามและประณีต ซึ่งห้องโถงแห่งนี้เป็นทางเข้าไปสู่สถานที่พำนักขององค์กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ต่างๆ ครับ สำหรับสายประวัติศาสตร์ คุณสามารถไปชมห้องที่ลุดวิกที่ 2 เกิดได้เช่นกันครับ

จุดต่อมาที่น่าสนใจคือ Schönheitengalerie หรือ Gallery of Beauties ที่จิตรกรนามว่า Joseph Stieler ให้วาดภาพหญิงงาม 36 ภาพ ซึ่งแต่ละนางจะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป (อาทิเช่นคนหนึ่งจะเป็นคนทำรองเท้าครับ) นอกจากนี้ยังมี Hubertus Hall ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทุกวันนี้มักจะใช้จัดคอนเสิร์ตดนตรีต่างๆ ครับ

Nymphenburg Palace ในช่วงฤดูหนาว
Image by Michael Siebert from Pixabay

ส่วนหนึ่งของพระราชวังได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ Marstallmuseum ที่เก็บรถม้าและรถพระที่นั่งของกษัตริย์แห่งบาวาเรีย ซึ่งแต่ละคันนั้นยิ่งใหญ่สมพระเกียรติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคันที่จักรพรรดิ Karl VII ทรงใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก และคันส่วนพระองค์ของลุดวิกที่ 2 ครับ

นอกจากนี้ในพระราชวังยังมีพิพิธภัณฑ์อื่นๆ อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ Mensch und Natur Museum ที่จัดแสดงสัตว์ต่างๆ หรือ Nymphenburg Porcelain Museum ที่จัดแสดงเครื่องถ้วยโบราณกว่า 1,000 ชนิดครับ

Nymphenburg Palace
Image by Jürgen from Pixabay

ท้ายที่สุดการไปเยือนพระราชวังแห่งนี้ไม่อาจจะครบถ้วนได้ ถ้าปราศจากการเดินเล่นในสวนของพระราชวังอันงดงามยิ่ง ในอดีตที่นี่เป็นสวนสไตล์ baroque แต่ได้รับการปรับภูมิทัศน์ในช่วงศตวรรษที่ 19 ให้กลายเป็นสวนป่าแบบธรรมชาติ (ส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ในการล่าสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมของชนชั้นสูงยุคนั้น)

ปัจจุบันที่นี่จึงมีทะเลสาบและลำธาร และแน่นอนว่ายังหลงเหลือสัตว์อย่างเช่นกวางอีกจำนวนไม่น้อยด้วยครับ แต่แน่นอนว่ารูปปั้นกรีก น้ำพุ และสะพานตามแบบสวนอื่นๆ ก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน แต่ไฮไลท์ของสวนแห่งนี้คือ วังขนาดเล็กต่างๆ ที่ใช้เป็นสถานที่ประทับยามล่าสัตว์ อาทิเช่น Amalienburg หรือ Pagodenburg ที่ได้รับการตบแต่งภายในอย่างวิจิตร ชนิดที่ไม่ได้ด้อยกว่าตัววังหลักเลยครับ

ค่าเข้าชม: 15 ยูโรในช่วงฤดูร้อน, 12 ยูโรในช่วงฤดูหนาว

5. The Residenz

The Residenz หรือ Munich Residenz เป็นพระราชวังหลวงของกษัตริย์แห่งบาวาเรียที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิวนิค โดยดยุคและกษัตริย์แห่งบาวาเรียทรงประทับอยู่ที่นี่ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานกว่า 4 ศตวรรษ จนกระทั่งราชวงศ์จบสิ้นลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งนี้ที่นี่จัดว่าเป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีครับ

ไฮไลท์อันดับ 1 ของที่นี่คือ Antiquarium ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ยาวถึง 66 เมตรซึ่งสร้างขึ้นด้วยสไตล์ Renaissance ในช่วงศตวรรษที่ 16 ทำให้ห้องนี้จัดว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาทุกห้อง แต่ละส่วนของห้องได้รับการตบแต่งด้วยรูปปั้นและภาพเขียนสีอย่างสวยงามยิ่ง ห้องนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่รับรองแขกเหรื่อของราชวงศ์ครับ

Antiquarium
Image by blizniak from Pixabay

ใกล้กับห้อง Antiquarium มีลานชื่อ Grottenhof ซึ่งสร้างขึ้นในเวลาไม่ห่างจากกันมากนัก ตรงกลางลานมีน้ำพุที่สวยงามตั้งอยู่ ทั้งนี้ชื่อลานได้มาจากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักครับ

จุดอื่นที่น่าสนใจได้แก่ Baroque Imperial Hall ห้องโถงสไตล์บารอค, เช่นเดียวกับห้องส่วนพระองค์สไตล์ Neoclassical ของกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 เช่นเดียวกับ Schatzkammer หรือท้องพระคลังที่ใช้เก็บรักษาของมีค่าต่างๆ ของกษัตริย์บาวาเรียที่ได้สะสมสืบทอดกันมาหลายชั่วคนครับ

ส่วนใครที่ชอบประวัติศาสตร์ ผมแนะนำให้ไล่ชมห้องหับต่างๆ ที่สวยงามซึ่งเคยเป็นห้องที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ใช้ประทับ ซึ่งมีรวมแล้วทั้งหมดถึง 150 ห้องด้วยกันครับ ส่วนใครที่ชอบโรงละครการแสดงต่างๆ ในวังจะมี Cuvilliés Theatre โรงละครสไตล์ Rococo สุดอลังการที่เคยใช้ต้อนรับนโปเลียนครับ

ค่าเข้าชมแบบรวมทั้งหมด: 20 ยูโร อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

ติดกับพระราชวังแห่งนี้มีสวนสไตล์ Italian Renaissance ชื่อว่า Hofgarten ที่สวยงามซึ่งคุณสามารถเดินชมได้ แถมในช่วงฤดูร้อนอาจจะมีดอกไม้อันสวยงามให้ชมด้วยครับ

6. Englischer Garten

Englischer Garten เป็นสวนสไตล์อังกฤษขนาดยักษ์ ซึ่งมีขนาดถึง 910 เอเคอร์หรือใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล 640 สนามด้วยกัน! ทำให้ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนีไปโดยปริยายครับ

สวนแหงนี้เกิดขึ้นได้เพราะวิสัยทัศน์ของดยุค Karl Theodor เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน พระองค์ต้องการสร้างสถานที่พักหย่อนใจให้กับชาวเมือง แต่ด้วยความที่พระองค์ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนนัก ทำให้ในช่วงแรกชาวเมืองไม่ค่อยจะมาพักผ่อนที่นี่เท่าไร

Englischer Garten
Image by Michael Siebert from Pixabay

แต่ทุกวันนี้นั้นตรงกันข้าม เพราะชาวเมืองมิวนิคแทบทุกคนชอบมาเดินเล่น และขี่จักรยานกันที่นี่ โดยเส้นทางเดินในสวนนั้นรวมแล้วมากถึง 78 กิโลเมตรด้วยกันครับ

ไฮไลท์ของสถานที่น่าสนใจในสวนประกอบด้วย

  • Monopteros – วัดสไตล์กรีกที่สูงถึง 16 เมตร โดยกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อยอพระเกียรติของกษัตริย์บาวาเรียองค์ก่อนหน้าพระองค์ครับ หลังจากนั้นที่นี่ก็ได้เป็นสถานที่นัดพบของชาวเมืองหลายกลุ่ม อาทิเช่นนักปรัชญาหรือว่าศิลปินครับ
  • Eisbachwelle – แม่น้ำ Eisbach ที่ไหลผ่านบริเวณด้านหน้าของสวน Englischer Garten นั่นมีคลื่นแรงพอที่จะเล่นกระดานโต้คลื่นได้ (ในอดีตจะเล่นได้แค่บางช่วงของปี แต่ได้มีการปรับโครงสร้างทำให้เล่นได้ทุกปี) ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นจุดโต้คลื่นกลางเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกครับ
  • สวนและโรงน้ำชาแบบญี่ปุ่น
  • ทะเลสาบ Kleinhesseloher See

7. OlympiaPark

OlympiaPark หรือ Olympic Park เป็นสถานที่ใช้จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในช่วงปี ค.ศ.1972 โดยตัวสถานที่นั้นได้แรงบันดาลจากภูมิประเทศแบบ alpine ทำให้ด้านในมีเนินจำนวนมากครับ สถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปประมาณ 5 กิโลเมตรเศษ ดังนั้นคุณจะต้องนั่งรถบัสหรือรถรางออกไปครับ

Image by Michael Siebert from Pixabay

จุดที่น่าสนใจในสวนแห่งนี้ได้แก่

  • Olympiaturm หรือหอคอยโอลิมปิก ตัวหอคอยสูง 190 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป ในปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่ดีที่สุดของเมือง คุณสามารถจิบกาแฟชมวิว หรือรับประทานอาหารค่ำได้ที่คาเฟ่และร้านอาหารบนหอคอยครับ
  • Olympiastadion – สนามกีฬาหลักที่ใช้เปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตชั้นนำของเมือง
  • Olympiaberg หรือภูเขาโอลิมปิก ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาหญ้าที่สร้างขึ้นเหนือซากปรักหักพังสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวเยอรมันนิยมมาปิคนิคกันที่นี่ เพราะจะเห็นส่วนของสนามกีฬาและทะเลสาบในสวนได้อย่างชัดเจนครับ

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือสนามไอซ์สเก็ตที่เล่นได้ตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับสนามฟุตบอล สนามกอล์ฟ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ฯลฯ

8. BMW Museum/BMW Welt

ใกล้กับ Olympic Park คือสำนักงานใหญ่ของบริษัทรถยนต์ BMW ซึ่งใกล้ๆ จะมีมีสถานที่ท่องเที่ยวสองแห่งที่น่าสนใจสำหรับใครที่รักรถด้วยครับ แห่งแรกคือ BMW Museum หรือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงรถรุ่นต่างๆ ที่บริษัทได้ผลิตออกมาตั้งแต่อดีต เช่นเดียวกับความรู้และเทคโนโลยีการผลิตรถคุณภาพเยี่ยมครับ

Image by Tamás from Pixabay

ห่างจากพิพิธภัณฑ์ไม่ไกลนักจะมีโชว์รูมชื่อ BMW Welt ตั้งอยู่ ซึ่งจะมีรถหลากหลายรูปแบบที่บริษัทผลิตออกมาจำหน่ายให้ได้ลองนั่ง เช่นเดียวกับรถรุ่นต่างๆ ที่เป็น prototype ของรถที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถจองทัวร์เข้าชมโรงงานของบริษัทที่ใช้ผลิตรถจริงๆ ได้อีกด้วยครับ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

9. Tierpark Hellabrunn

Tierpark Hellabrunn หรือ Hellabrunn Zoo เป็นสวนสัตว์แบบ geozoo แห่งแรกของโลก โดยเปิดทำการในปี ค.ศ.1911 และได้จัดอันดับเป็นสวนสัตว์อันดับ 1 ของยุโรปอยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้สัตว์ของที่นี่จะอาศัยอยู่ตามโซนซึ่งจัดตามทวีปของถิ่นกำเนิดของพวกมัน ทำให้ได้อยู่ในระบบนิเวศที่คล้ายคลึงกับสถานที่ซึ่งพวกมันได้จากมาครับ

เสือที่ Tierpark Hellabrunn
Photo by Alexas_Fotos on Unsplash

ปัจจุบันที่นี่มีสัตว์มากกว่า 18,500 ตัวจากมากกว่า 500 สปีชีส์ ซึ่งกิจกรรมในสวนสัตว์ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่การแสดงโชว์ การให้อาหารสัตว์ ฯลฯ ในส่วนของค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 18 ยูโรครับ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

10. Allianz Arena

Allianz Arena เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค สโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ๋ที่สุดในเยอรมนีโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ตัวสนามนั้นสร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.2005 และมีรูปร่างเป็นล้อรถสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ และในปัจจุบันรองรับแฟนบอลได้มากถึง 75,000 คนครับ

ปัจจุบันคุณสามารถซื้อทัวร์เข้าไปชมด้านในได้เช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลอื่นๆ เช่นเดียวกับห้องแต่งตัว และอุโมงค์สำหรับนักเตะ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ FC Bayern Museum ให้คุณได้สัมผัสความเป็นมหาอำนาจของสโมสรแห่งนี้ ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้ถือว่าใหญ่ที่สุดสำหรับสโมสรกีฬาใดๆ ในประเทศเยอรมนีเลยครับ

สุดท้ายถ้าคุณเป็นแฟนบอลบาเยิร์น อย่าลืมเลือกซื้อเสื้อบอล หรือของที่ระลึกต่างๆ ที่เป็นคุณค่าทางจิตใจสำหรับแฟนบอลทุกคนกลับไปด้วยครับ

11. Königsplatz

Königsplatz เป็นอาคารทรง Neoclassical ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 ในส่วนของการสร้างนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Acropolis ในกรุงเอเธนส์ หนึ่งในสัญลักษณ์ของโลกกรีกโบราณ ในเวลาต่อมาพื้นที่บริเวณอาคารหลังนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะ เพราะว่ามีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่จัดแสดงชิ้นงานอันล้ำค่าจำนวนมากมายครับ

Königsplatz
by _salomax, Flickr, CC BY-ND 2.0 DEED

พิพิธภัณฑ์สองแห่งแรกที่น่าสนใจคือ Glyptothek และ Staatliche Antikensammlungen (State Museum of Classical Art) ซึ่งเก็บผลงานศิลปะยุคกรีก-โรมันที่ได้มาจากของสะสมของลุดวิกที่ 1 ซึ่งพระองค์ทรงหลงใหลในวัฒนธรรมกรีกอย่างหนักจนถึงกับปรารภว่า “เราจะไม่หยุดจนกว่ามิวนิคจะดูเหมือนกับเอเธนส์”

ส่วนผลงานยุคกลางและยุค Renaissance นั้นจะเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ Alte Pinakothek ที่มีผลงานจากทั่วทั้งยุโรปให้ได้ชมกันอย่างจุใจ แต่ถ้ายุคหลังจากนั้นอย่างเช่น Modern หรือ Art Nouveau ก็จะไปชมได้ที่ Neue Pinakothek และ Pinakothek der Moderne ครับ

เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือว่าอยากได้แรงบันดาลใจ คุณสามารถเดินเที่ยวอยู่ในย่านนี้ได้ทั้งวันเลยครับ

12. Deutsches Museum

Deutsches Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เด็กสายวิทย์มิควรพลาดทุกประการ เพราะนี่คือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ดีตัวพิพิธภัณฑ์กำลังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยส่วนแรกของพิพิธภัณฑ์เสร็จสิ้นเรียบร้อยในปี 2022 เหลือแต่เพียงส่วนที่สองที่กำลังได้รับการสร้างใหม่ครับ

อย่างไรก็ดีส่วนที่สร้างเสร็จแล้วมีสิ่งของจัดแสดงให้ดูจำนวนมาก โดยแบ่งได้ถึง 19 หมวดด้วยกัน ตั้งแต่กลศาสตร์พื้นฐานไปจนถึงฟิสิกส์นิวเคลียร์ การสร้างรถไฟความเร็วสูง เครื่องกลไฮดรอลิก และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งให้ความรู้วิทยาศาสตร์อย่างล้นเหลือครับ

ส่วนค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 15 ยูโร อย่างไรก็ดีผมแนะนำให้ไปที่นี่เร็วหน่อย เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดตอนห้าโมงเย็นครับ

13. Hofbräuhaus

Hofbräuhaus เป็นโรงเบียร์ที่น่าจะเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดในโลก และเคยเป็นแหล่งทำเงินชั้นดีของรัฐบาลบาวาเรียด้วย โดยตัวโรงเบียร์นั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตามบัญชาของดยุคแห่งบาวาเรียในช่วงดังกล่าวเพื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายของราชสำนักในส่วนนี้

ทว่าหลังจากนั้นโรงเบียร์ก็ได้สิทธิผูกขาดในการผลิตเบียร์ และสร้างรายได้ให้กับราชสำนักมากมาย โดยในช่วงศตวรรษที่ 17 รายรับจากโรงเบียร์มีมากถึง 30%-50% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้บาวาเรียยังต่อสู่ในสงคราม 30 ปีอยู่ได้ครับ

ปัจจุบันโรงเบียร์แห่งนี้ยังคงหลงเหลือบรรยากาศเดิมๆ ทำให้ชาวเมืองนิยมไปใช้บริการอย่างคับคั่งเช่นเดียวกับในอดีตครับ

14. Siegestor

Siegestor เป็นประตูโค้งที่สร้างขึ้นเพื่อยกย่องเกียรติยศของกองทัพบาวาเรียในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประตูหลังเดิมได้ถูกทำลายจากไฟสงครามอย่างยับเยินครับ สิ่งที่คุณเห็นในปัจจุบันจึงเป็นส่วนที่สร้างใหม่ในรูปแบบเดิมครับ

Siegestor
by Sina Ettmer Photography/ShutterStock

15. ลองชิมอาหารบาวาเรียน

เมื่อไปถึงมิวนิคแล้ว คุณมิควรที่จะพลาดชิมอาหารบาวาเรียน ซึ่งเมนูที่น่าสนใจได้แก่

  • Schweinebraten – หมูย่างสูตรบาวาเรียน
  • Schweinshaxe – ขาหมูย่าง
  • ไส้กรอก Weisswurst
  • Semmelknödel – เกี๊ยวสไตล์เยอรมันที่ทานพร้อมกับเกรวี่

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

Most Popular

error: Content is protected !!