มุโระรัง (Muroran, 室蘭) เป็นเมืองริมทะเลที่อยู่ค่อนมาทางใต้ของเกาะฮอกไกโด ลักษณะของภูมิประเทศของที่นี่เป็นแหลมที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเล ก่อให้เกิดคาบสมุทรที่เว้าแหว่งที่สวยทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนครับ
ในบทความนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับเมืองมุโระรังโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะว่ากันถึงสถานที่ท่องเที่ยวและจุดสวยเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของมุโระรัง (Muroran)
เนื่องจากมุโระรังอยู่ทางใต้ของเกาะฮอกไกโด ทำให้พัฒนาการของเมืองแตกต่างจากส่วนอื่นของเกาะ กล่าวคือชาวญี่ปุ่นได้เข้าครอบครองพื้นที่ส่วนนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้วครับ
ตระกูลมัตสึมาเอะคือตระกูลที่เข้าครอบครองพื้นที่ส่วนนี้ และได้พัฒนาขึ้นเป็นเมืองท่าที่ใช้ค้าขายระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวไอนุ
หลังจากที่รัฐบาลเมจิเข้าผนวกเกาะฮอกไกโด มุโระรังได้ถูกเปิดเป็นเมืองท่าที่ใช้ค้าขายกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ตัวเมืองได้กลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของฮอกไกโด และยังมีอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่รุ่งโรจน์อีกด้วย
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มุโระรังจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการยิงถล่มของกองเรือและการทิ้งระเบิด แต่ตัวเมืองก็ได้ฟื้นคืนมาตามลำดับหลังจากสงคราม และยังคงสถานะเป็นเมืองท่าและเมืองค้าขายที่สำคัญของฮอกไกโดครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังมุโระรังทำอย่างไร?
มุโระรังเป็นเมืองที่เดินทางมาง่ายและสะดวกสบายครับ โดยคุณจะมีตัวเลือกต่อไปนี้
จากซัปโปโรและ New Chitose Airport
- รถไฟ – JR Hokkaido มีบริการรถไฟ Limited Express จากเมืองซัปโปโรและสนามบิน Chitose Airport (สถานี Minami-Chitose) ไปยังมุโรรังทุกวันครับ วิธีนี้ถือว่าไม่ซับซ้อนและสะดวกสบายมาก
- รถบัส – ผู้ให้บริการอย่าง Donan Bus มีบริการรถบัสจากสถานีซัปโปโรและ New Chitose Airport ไปยังมุโระรัง เวลาที่ใช้จะมากกว่ารถไฟเล็กน้อย แลกกับการที่ราคาถูกกว่าครับ
ในกรณีที่คุณไปเที่ยวโนโบริเบทสึ คุณสามารถนั่งรถบัสของ Donan Bus จากเมืองออนเซ็นดังกล่าวไปยังมุโระรังได้เลยเช่นกันครับ
อีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการเช่ารถขับ เพราะคุณจะไม่ต้องพะวงในการเดินทาง และยังสามารถขับรถไปที่เที่ยวอื่นๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถอีกด้วย อย่างเช่นทะเลสาบโทยะเป็นต้นคครับ
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Muro-kanko เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวมุโระรัง ก่อนออกเดินทาง โปรดตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพราะข้อมูลการเดินรถจะเปลี่ยนได้ตลอดครับ
ไปเที่ยวมุโระรังช่วงไหนดี?
มุโระรังนั้นเที่ยวได้ทุกฤดูครับ ในแต่ละช่วงจะมีจุดที่น่าสนใจที่ต่างกัน อากาศของที่นี่จะต่างจากส่วนอื่นของฮอกไกโด ช่วงฤดูหนาวจะไม่ค่อยหนาวเท่าไรนัก ส่วนช่วงฤดูร้อนก็จะไม่ร้อนเหมือนกับส่วนอื่นๆ ของญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นมุโรรังเป็นเมืองที่อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีครับ
1. ท่าเรือมุโระรัง
ท่าเรือมุโระรัง (Muroran Port) เป็นท่าเรือที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเมืองหรือแม้กระทั่งเกาะฮอกไกโดทั้งหมด ปัจจุบันตัวท่าเรือก็ยังคงคับคั่งไปด้วยเรือและคลังสินค้าครับ
โดยมากแล้วนักท่องเที่ยวมักจะไปที่จุดชมวิวเพื่อชมความสวยของท่าเรือที่มีแสงไฟสว่างไสวในช่วงกลางคืนครับ
อีกหนึ่งวิธีชมวิวที่ได้รับความนิยมมากคือการล่องเรือครับ ซึ่งจะล่องในช่วงกลางคืนประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3,000 เยน
2. จุดชมวิวโซคุเรียว
จุดชมวิวโซคุเรียว (Sokuryo Observatory) ตั้งอยู่บนภูเขาโซคุเรียว ซึ่งสูงแค่ 200 เมตร แต่ก็ถือว่าสูงที่สุดในเมืองแล้ว จากตรงนี้คุณจะเห็นวิวสวยๆ ของเมืองได้แบบพาโนรามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลสามด้านที่โอบล้อมเมืองมุโระรังอยู่ครับ
ในช่วงวันฟ้าใสนั้น คุณสามารถมองเห็นภูเขาสวยๆ หลายลูก ตั้งแต่ Mt.Yotei และ Mt.Komagatake ครับ
ตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟที่เสาแม่เหล็กไฟฟ้า 7 ต้นที่ยอดเขา ซึ่งเสาเหล่านี้ให้สีสันแก่ตัวเมือง
3. สะพานฮาคุโจ
สะพานฮาคุโจ (Hakucho Bridge) เป็นสะพานที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมุโรรัง และเป็นสะพานแขวนที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกของญี่ปุ่น โดยยาวถึง 1.38 กิโลเมตรเลยทีเดียวครับ
ในช่วงกลางคืน สะพานแห่งนี้จะสวยเป็นพิเศษ เพราะว่ามีการเปิดไฟอันสว่างไสว โดยมากแล้วนักท่องเที่ยวมักจะขึ้นไปชมวิวที่ Shukuzu Park Observatory หรือว่า Shiomi Park Observatory ครับ
4. แหลมเอโตโมะ
แหลมเอโตโมะ (Cape Etomo) เป็นจุดปลายสุดของคาบสมุทรเอโตโมะ ที่นี่มีจุดชมวิวท้องทะเลอยู่ โดยเฉพาะอ่าวฟุนกะ (Funka Bay) ซึ่งสวยงาม และในวันฟ้าเปิด ถ้าคุณมองไกลๆ จะสามารถเห็นเมืองฮาโกดาเตะได้อีกด้วยครับ
จุดนี้เป็นที่ชาวพื้นเมืองเริ่มลงหลักปักฐานบนเกาะฮอกไกโดเมื่อประมาณ 6,000-7,000 ปีก่อน ใกล้กับบริเวณจุดชมวิวจึงมีอนุสรณ์ที่สร้างเพื่อระลึกถึงชาวพื้นเมืองตั้งอยู่ครับ
ใกล้กับแหลมเอโตโมะมีแนวหน้าผาชื่อ Ginbyobu ซึ่งจะสวยเป็นพิเศษในช่วงตะวันตกดิน เพราะเวลาแสงอาทิตย์ตกกระทบหน้าผาจะเกิดแสงสีเงินซึ่งงดงามมากครับ
5. แหลมชิคิว
แหลมชิคิว (Cape Chikyu) เป็นจุดชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งว่ากันว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น บริเวณแหลมจะมีประภาคารสีขาวอายุกว่าหนึ่งร้อยปีตั้งอยู่ ซึ่งแสงจากประภาคารนั้นจะเห็นได้ไกลไปในท้องทะเลถึง 44 กิโลเมตรเลยทีเดียว ดังนั้นเป็นจุดให้สัญญาณที่สำคัญมาตั้งแต่ครั้งอดีตครับ
จากแหลมชิคิวจะมีบริการล่องเรือชมโลมาและวาฬ ซึ่งคุณสามารถออกไปชมสัตว์ทะเลเหล่านี้ได้ในราคา 6,000 เยนครับ โอกาสเจอโลมานั้นมากถึง 98% เพราะฉะนั้นใครอยากเห็นพวกมันแหวกว่ายในท้องทะเลแล้วละก็ ทัวร์นี้ถือว่าน่าสนใจอย่างมากเลยครับ
ใกล้กับแหลมชิคิวคือแนวหน้าผาชื่อ Kinbyobu ซึ่งเป็นหน้าผาแฝดกับ Ginbyobu แต่ความแตกต่างก็คือแสงที่ตกกระทบจะเป็นแสงสีทอง และจะชมได้ในช่วงเช้าครับ
ย้อนขึ้นเหนือไปเล็กน้อยจะมีแนวหน้าผาอีกแห่งชื่อ Tokkarisho ซึ่งคุณจะเห็นผืนหญ้าสีเขียวตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินอย่างสวยงาม ตัวหน้าผาก็มีรูปลักษณ์เป็นงามแหลมคม เพราะถูกกระแสคลื่นกัดเซาะอย่างยาวนานครับ
6. ลองอาหารพื้นเมือง
มุโระรังเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีวัฒนธรรมอาหารที่แข็งแกร่ง เมนูที่คุณควรจะลิ้มลองได้แก่
Muroran Yakitori – ยากิโทริของที่นี่จะต่างกับยากิโทริทั่วไป โดยจะใช้เนื้อหมูมาเสียบไม้คู่กับหัวหอม หลังจากนั้นก็นำไปราดซอสแล้วย่างบนเตาถ่าน เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเหล่าคนงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมในเมืองมุโระรังครับ
Muroran Curry Ramen – ราเมงแกงกะหรี่ของมุโระรังอันมีชื่อเสียงเลื่องลือมาหลายสิบปี เพราะฉะนั้นถ้าได้มาถึงที่นี่ก็ไม่ควรพลาดครับ
References
- Muro-Kanko
- Muroran Official Travel Guide