นางาซากิ (Nagasaki) เป็นเมืองที่ใครที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์มาบ้างน่าจะรู้กันดี เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่โดนระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองคู่กับเมืองฮิโรชิม่า ปัจจุบันนางาซากิได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเกาะคิวชู เพราะมีวัฒนธรรมที่โดดเด่น ไม่เหมือนกับเมืองใดในญี่ปุ่นครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองนางาซากิโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองนางาซากิ (Nagasaki)
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองนางาซากินั้นตั้งอยู่ที่ตะวันตกสุดของเกาะคิวชู โดยอยู่ที่ปากแม่น้ำอุราคามิที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกที่อ่าวนางาซากิ พื้นที่บริเวณเมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นท่าเรือตามธรรมชาติครับ
ต้นกำเนิดของนางาซากินั้นเกี่ยวพันกับชาวโปรตุเกสอย่างมาก กล่าวคือในช่วงนั้นชาวโปรตุเกสเป็นตัวกลางในการค้าขายระหว่างราชวงศ์หมิงของจีนและญี่ปุ่น เพราะว่าฝ่ายจีนนั้นไม่ยอมค้าขายกับญี่ปุ่นเพราะชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเป็นโจรสลัดที่ปล้นสะดมชายฝั่งทะเลของจีน ชาวโปรตุเกสที่มาพร้อมกองเรือที่ทันสมัยจึงเข้ามาอยู่ระหว่างกลาง และแสวงหากำไรจากการค้าขายดังกล่าว
สิ่งที่มาพร้อมกับชาวโปรตุเกสก็คือศาสนาคริสต์ที่ได้เผยแพร่ไปในหมู่ชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดที่ไดเมียวหลายคนอย่างเช่นโอโตโมะ โซรินแห่งอุสุกิล้วนแต่เข้ารีตเป็นชาวคริสต์ และเป็นมิตรกับชาวโปรตุเกส คนที่สำคัญที่สุดคือโอมุระ สุมิทาดะ (Omura Sumitada) ที่ได้เป็นไดเมียวคนแรกในญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์ และเขาผู้นี้เองได้ยกพื้นที่บริเวณเมืองนางาซากิให้กับชาวโปรตุเกสใช้เป็นสถานีการค้าเพื่อค้าขาย
ในตอนแรกนั้นนางาซากิเป็นแค่หมู่บ้านเท่านั้น แต่เมื่อชาวโปรตุเกสได้เข้ามาจัดการพื้นที่ตรงนี้ก็ได้พัฒนาให้เจริญรุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ช้านางาซากิเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศ และเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมอาหารอย่างเช่นเทมปุระที่ชาวญี่ปุ่นได้รับเมนูทอดแบบโปรตุกีสมาปรับเป็นแบบของตนเอง นอกจากนี้ชาวคริสต์ญี่ปุ่นยังหลบหนีการปราบปรามมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ทำให้ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในปี ค.ศ.1587 ฮิเดโยชิได้ยกกองทัพมาปราบปรามไดเมียวที่แข็งข้อกับตนที่เกาะคิวชู และได้เล็งเห็นว่านางาซากินั้นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติสูงมาก เขาจึงได้เข้ายึดนางาซากิให้อยู่ในการปกครองของตนเองโดยตรง และไล่นักบวชคริสเตียนออกไปทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ได้มีคำสั่งให้ปราบปรามอะไรไปมากกว่านั้น
อย่างไรก็ดีในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะได้เข้าปกครองนางาซากิโดยตรง โดยโชกุนจะแต่งตั้งผู้ว่าราชการเมืองไปปกครองโดยตรง และไม่ได้มอบเมืองนี้ให้กับไดเมียวคนใดไปปกครองครับ
ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่นางาซากิมีความวุ่นวายทางศาสนา เพราะรัฐบาลโชกุนได้ได้ประกาศห้ามนับถือคริสตศาสนาในญี่ปุ่น และบังคับให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่เป็นคริสต์ยกเลิกนับถือศาสนาของตน แม้ว่าผู้คนจำนวนมากในนางาซากิจะยอมทำตามเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่ก็มีอีกมากมายเช่นกันที่ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา ไปจนถึงพรางความเชื่อของตนไว้อย่างลับๆ หรือที่เรียกกันว่าพวกคาคุเระ คิริชิตัน (Kakure Kirishitan)
ในปี ค.ศ.1637 ชาวคริสต์ญี่ปุ่นในคิวชูได้ก่อการกบฏใหญ่ต่อต้านรัฐบาลโชกุนในเหตุการณ์นามว่ากบฏชิมาบาระ โดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้าชาวโปรตุเกสและชาติตะวันตกอื่นๆ อย่างลับๆ ยกเว้นชาวดัชต์เพียงชาติเดียวที่อยู่ฝ่ายโชกุน การกบฏพ่ายแพ้ส่งผลให้รัฐบาลโชกุนขับไล่ชาวตะวันตกทั้งหมดออกจากประเทศ โดยอนุญาตให้ชาวดัชต์เท่านั้นที่ค้าขายกับญี่ปุ่นได้ นับตั้งแต่บัดนั้นนางาซากิจึงเป็นเมืองท่าที่ชาวดัชต์ค้าขายกับญี่ปุ่นแบบผูกขาดครับ
ช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่รัฐบาลโชกุนเริ่มผ่อนปรนการควบคุมเรื่องการเซ็นเซอร์หนังสือตะวันตก ทำให้ช่วงนี้นางาซากิได้กลายเป็นเมืองอู่ความรู้จากชาวดัชต์ และยิ่งรุ่งเรืองมั่งคั่งกว่าเดิมเสียอีก
ต่อมาในสมัยเมจิและช่วงศตวรรษที่ 20 รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นได้จัดสรรให้นางาซากิเป็นเมืองท่าเปิดที่มีการค้าขายกับชาติตะวันตก นางาซากิได้พลิกโฉมกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะเรื่องการต่อเรือที่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่นางาซากิเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์
เช้าวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 เครื่องบินอเมริกันได้รับคำสั่งให้ไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ โดยเป้าหมายแรกคือเมืองโคคุระ (Kokura) หรือคิตะคิวชูในปัจจุบัน แต่ในเช้าวันนั้นทัศนวิสัยเหนือเมืองโคคุระแย่มาก ทำให้นักบินต้องบินไปทิ้งระเบิดที่เป้าหมายรองนั่นคือเมืองนางาซากิแทน
ผลของระเบิดนิวเคลียร์คือเมืองนางาซากิพังพินาศยับเยิน โดยเฉพาะส่วนโรงงานอุตสาหกรรมที่ย่อยยับไปถึง 80% ส่วนประชากรนั้นเสียชีวิตไปประมาณ 35,000 คน ซึ่งถือว่าเคราะห์ดีที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะประชากรจำนวนมากของเมืองได้ถูกอพยพออกไปที่นอกเมืองก่อนหน้านี้แล้วครับ
หลังจากสงคราม นางาซากิได้ถูกสร้างใหม่ แต่ยังคงเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนักและเมืองท่าเช่นเดิม ทว่าเพิ่มเติมเข้ามาคือการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกที่ให้มาสัมผัสวัฒนธรรมแบบฟิวชั่นระหว่างตะวันตกและญี่ปุ่นที่เมืองแห่งนี้ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปนางาซากิ (Nagasaki) ทำอย่างไร?
ถ้าคุณอยู่นอกเกาะคิวชู (โตเกียว โอซาก้า หรือฮอกไกโด) นั้น วิธีการเดินทางไปนางาซากิที่ง่าย สะดวกสบาย และประหยัดที่สุดคือการบินไปลงที่สนามบินนางาซากิ (Nagasaki Airport) โดยตรง หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสเข้าเมืองซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
แต่ถ้าคุณอยู่ที่ฟุกุโอกะ วิธีการที่สะดวกสบายที่สุดคือนั่งรถไฟ Limited Express Relay Kamome จาก Hakata Station ไปยัง Takeo Onsen Station หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถไฟ Kamome (ชินคันเซนสายใหม่ชื่อ Nishi Kyushu Shinkansen) ไปยัง Nagasaki Station ครับ รายละเอียดส่วนนี้โปรดตรวจสอบเพิ่มเติมที่ JR Kyushu เนื่องจากมีการใช้บริการรถไฟขบวนใหม่ที่เส้นทางการเดินรถยังมีการโต้เถียงภายในอยู่ครับ
อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือนั่งรถบัสของ Kyushu Kyuko Bus จาก Hakata Bus Terminal ไปยังนางาซากิโดยตรง เวลาที่ใช้นั้นจะมากกว่ารถไฟ แต่คุณไม่ต้องพะวงเรื่องเปลี่ยนรถใดๆ ทั้งสิ้นครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Discover Nagasaki เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวเมืองนี้ โปรดตรวจสอบที่ต้นทางอีกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ครับ
การสัญจรในเมืองนางาซากิทำอย่างไร?
รถรางจะเป็นพาหนะหลักเวลาที่คุณต้องการจะเดินทางไปไหนมาไหนในนางาซากิ แต่ถ้าต้องการจะออกไปส่วนนอกของเมืองจะมีรถบัสให้ใช้บริการ โดยรวมแล้วทำให้การเดินทางในเมืองง่ายดายและสะดวกสบายครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อช่วยคุณตัดสินใจครับ
1. สวนสันติภาพนางาซากิ
สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park) เป็นสวนที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เมืองนางาซากิโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวสวนตั้งอยู่ที่เนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการระเบิดครับ
ด้านในสวนจะมีอนุสาวรีย์ชายผู้หนึ่งสูง 9.7 เมตร นั่งอยู่บนหินชื่อว่า Peace Statue โดยเขาได้ยกมือขวาขึ้น และผายมือซ้ายออกไปแนวตรง มือขวาที่ชูขึ้นเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอันตรายที่เกิดจากระเบิดปรมาณูที่มาจากฟากฟ้า ส่วนมือซ้ายแสดงถึงความต้องการสันติภาพ ส่วนดวงตาที่ปิดนั้นเป็นการสวดมนต์ให้กับผู้เคราะห์ร้ายในวันนั้นให้ไปสู่สุคติ ทั้งนี้ในวันที่ 9 สิงหาคมของทุกปีจะมีการจัดงานระลึกถึงในบริเวณนี้
ใกล้กับอนุสาวรีย์แห่งนี้มีน้ำพุชื่อว่า Fountain of Peace ตั้งอยู่ โดยสร้างขึ้นเพื่อเด็กสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เดินหาน้ำอย่างทรมาน หลังจากที่ตัวเมืองโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ครับ
บริเวณตอนใต้ของ Peace Park จะมีสวนอีกแห่งหนึ่งชื่อ Hypocenter Park ซึ่งเป็นสวนที่สร้างขึ้น ณ จุดที่เป็นศูนย์กลางของการระเบิด ในสวนแห่งนี้จะมีซากมหาวิหารอุราคามิ ซึ่งถูกทำลายจากระเบิดในวันนั้น นอกจากนี้ยังมี Nagasaki Atomic Bomb Museum พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับวันแห่งโชคชะตาวันนั้น โดยหลายชิ้นนั้นแสดงถึงความโหดร้ายของสงครามได้เป็นอย่างดีครับ
2. เดจิมะ
เดจิมะ (Dejima) เป็นอดีตเกาะนอกอ่าวนางาซากิที่สร้างขึ้นเป็นสถานีการค้าของชาวโปรตุเกสในปี ค.ศ.1636 โดยรัฐบาลโชกุนโตกุกาวะเพื่อควบคุมกิจกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ทว่าไม่กี่ปีต่อมาชาวโปรตุเกสถูกขับไล่ออกไปจากญี่ปุ่นทั้งหมด ทำให้ชาวดัชต์เข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้แทนครับ
ทุกวันนี้เดจิมะไม่ได้เป็นเกาะอีกแล้ว เพราะในยุคหลังได้มีการถมทะเลรอบๆ เพื่อให้รองรับการขยายตัวของเมือง ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยมีร้านค้าร้านอาหารจำนวนมากที่ตั้งอยู่ริมทะเล ทั้งนี้ในช่วงกลางคืนจะสวยและโรแมนติกเพราะมีการเปิดไฟครับ
3. เกาะกุนคังจิมะ
เกาะกุนมังจิมะ (Gunkanjima) หรืออีกชื่อหนึ่งว่าเกาะฮาชิมะ (Hashima) เป็นเกาะนอกชายฝั่งนางาซากิที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมืองถ่านหินที่รุ่งโรจน์ในช่วงสมัยเมจิ และมีประชากรมากถึงห้าพันกว่าคนในปี ค.ศ.1959 ทั้งๆ ที่ตัวเกาะมีขนาดเล็กมาก (ยาว 480 เมตรและกว้างแค่ 150 เมตร) ทำให้ครั้งหนึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของโลก
การที่ผู้คนจำนวนมากมายอาศัยอยู่ในที่แคบเช่นนั้นได้ก็เพราะตัวเกาะมีการสร้างเสริมเติมแต่งแบบเดียวกับเรือประจัญบาน (Battleship) ทั้งการถมทะเลและตึกรามบ้านช่อง ทำให้ที่นี่เป็นชุมชนใหญ่แห่งหนึ่ง อย่างไรก็ดีในปี ค.ศ.1974 ตัวเหมืองก็ได้ปิดตัวลง ทำให้ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดได้เดินทางออกไป ทิ้งให้ที่นี่เป็นเกาะร้างที่มีแต่สิ่งก่อสร้างสมัยก่อนเหลือทิ้งไว้เท่านั้น
แต่ด้วยบรรยากาศที่ดูเหมือนเมืองผีสิงที่ดูลึกลับและหลอน (ให้ฟีลเหมือนกับสถานที่ไปล่าท้าผี) ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากรู้สึกว่าน่าสนใจ ปัจจุบันคุณสามารถไปเที่ยวที่นี่ได้ด้วยการซื้อทัวร์พร้อมไกด์ ผู้ที่จะนำคุณไปชมจุดน่าสนใจในเกาะแห่งนี้ครับ
ถ้าคุณไม่อยากจะไปทัวร์ คุณสามารถไปเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้ที่ Gunkanjima Digital Museum พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะใช้สื่ออันทันสมัยเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้ครับ ค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 1,800 เยน (อ้างอิงจากเว็บของพิพิธภัณฑ์)
4. มหาวิหารโออุระ
มหาวิหารโออุระ (Oura Cathedral) เป็นมหาวิหารในคริสตจักรที่เป็นเคารพนับถืออันดับต้นๆ ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 หลังจากที่มีการผ่อนปรนการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ หลังจากถูกห้ามมาตลอดในสมัยเอโดะครับ
ตัวมหาวิหารอุทิศให้กับนักบุญ 26 คนแห่งนางาซากิที่ยอมสละชีพ แต่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาตามคำสั่งของรัฐบาลโชกุน หลังจากสร้่างวิหารได้เสร็จสิ้นไม่นาน เหล่าคาคุเระ คิริชิตัน หรือชาวคริสต์ญี่ปุ่นที่ปิดบังความเชื่อทางศาสนาของพวกตนมาหลายชั่วคนจำนวนมากได้เดินทางมาที่นี่เพื่อพบกับนักบวชคริสต์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 300 ปี
ทว่าพวกเขายังคงโดนรัฐบาลโชกุนจับกุมไปทรมานอีกไม่น้อย โชคดีที่อีกไม่กี่ปีให้หลัง ระบบโชกุนก็จบสิ้นลง และรัฐบาลเมจิที่ยกเลิกการห้ามนับถือคริสตศาสนาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1873
ด้วยเหตุนี้มหาวิหารโออุระจึงเป็นสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวคริสต์ญี่ปุ่น ด้านในมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติของคริสตศาสนาของญี่ปุ่น ซึ่งรวมไปถึงโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายชิ้นด้วย ข้อเสียของที่นี่คือค่าเข้าค่อนข้างแพง (1,000 เยน) ครับ
5. สวนกุราบะ
สวนกุราบะ (Guraba-en หรือรู้จักกันในนาม Glover Garden) เป็นสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้ให้ชมแทบจะตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีอาคารสมัยเมจิที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกให้ได้ชมหลายหลังด้วย หนึ่งในนั้นคือ Thomas B. Glover Residence บ้านของพ่อค้าชาวสกอตซึ่งเป็นบ้านแนวตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1859 หรือช่วงปลายยุคเอโดะครับ
ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของเหล่าพ่อค้าชาวตะวันตกที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสวงหาโชคลาภในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ครับ
ด้วยความที่สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาเหนืออ่าวนางาซากิ ถ้าคุณไปเยือนที่นี่ คุณจะได้ชมวิวสวยๆ ของตัวเมืองเช่นเดียวกับอ่าวได้อย่างสวยงามมากครับ
6. วัดโคฟุคุจิ
วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple) เป็นวัดในศาสนาพุทธของนิกายโอบาคุ ประวัติความเป็นมาของวัดนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะวัดที่สร้างขึ้นโดยพ่อค้าชาวจีนในช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อแสดงออกว่าตนเองไม่ใช่คนคริสต์ เพราะในช่วงนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นปราบปรามศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง พ่อค้าชาวจีนเองเกรงว่าจะเป็นที่สงสัย เพราะฉะนั้นจึงร่วมกันสร้างวัดแห่งนี้ครับ
ตัววัดถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนที่งามที่สุดในญี่ปุ่น อาคารส่วนใหญ่ในวัดยังเป็นของเดิม เพราะว่าระเบิดนิวเคลียร์แทบจะไม่ได้ทำความเสียหายกับที่นี่ครับ
พระประธานของตัววัดคือพระพุทธรูปขององค์พระพุทธเจ้าศากยมุนี (เจ้าชายสิทธัตถะ) เช่นเดียวกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟแก้วที่มีที่มาจากประเทศจีนด้วยครับ
ไม่ไกลจากวัดโคฟุคุจิมากนักมีสะพานชื่อเมกาเนะบาชิ (Meganebashi) สะพานแบบจีนที่สร้างขึ้นโดยประมุขสงฆ์คนที่สองของวัดโคฟุคุจิ เอกลักษณ์ของสะพานแห่งนี้คือจะเห็นภาพสะท้อนโค้งของสะพานลงบนผืนน้ำในวันฟ้าใส สะพานนี้ได้รับสมญาว่าเป็นหนึ่งในสามสะพานที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นคู่กับสะพานคินไตเคียวที่อิวาคุนิ และสะพานนิฮงบาชิที่โตเกียวครับ
7. วัดโซฟุคุจิ
วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji Temple) เป็นอีกหนึ่งวัดที่สร้างขึ้นด้วยชาวจีนในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยผู้สร้างนั้นมาจากมณฑลฝูเจี้ยนทางตอนใต้ของจีน และการสร้างก็แน่นอนว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนครับ
จุดเด่นของที่นี่คือเป็นวัดที่มีสิ่งซึ่งได้การจัดอันดับว่าทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวน 21 ชนิดด้วยกัน เรียกได้ว่าเหนือกว่าวัดทุกแห่งในฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ยกเว้นวัดที่ตั้งอยู่ในสองเมืองเก่าอย่างนาราและเกียวโตเท่านั้นครับ โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ตัววัดแทบไม่ได้รับความเสียหายเลยจากสงครามครับ
ไฮไลท์ของที่นี่มีตั้งแต่หอพุทธะหรือไดโอโฮเดน (Daiohoden) ที่สร้างโดยใช้วิธีการแยกชิ้นส่วนมาจากจีน แล้วมาประกอบขึ้นที่ญี่ปุ่น ไปจนถึงประตูไดโปมง (Daipomon) และประตูริวกุมง (Ryugumon) ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามครับ
8. มหาวิหารอุราคามิ
มหาวิหารอุราคามิ (Urakami Cathedral) เป็นมหาวิหารที่ตั้งห่างจากจุดที่เป็นศูนย์กลางของระเบิดปรมาณูไปแค่ 500 เมตรเท่านั้นเอง ความร้อนจากการระเบิดได้ทำลายตัวมหาวิหารจนเหลือแต่ซาก แต่ไม่น่าเชื่อที่รูปปั้นนักบุญหลายองค์ เศียรของรูปปั้นพระแม่มารี ตลอดจนระฆังใบหนึ่งรอดพ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบเดิมในสไตล์ Romanesque ที่สวยงาม และได้เก็บรักษาปูชนียวัตถุของเดิมเอาไว้ด้วยครับ
9. ภูเขาอินาซะ
ภูเขาอินาซะ (Mt.Inasa) เป็นภูเขาสูง 333 เมตรที่ตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองนางาซากิ บริเวณภูเขานี้มีดอก azalea ให้ชมมากมายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่เป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองที่ดีที่สุด ความสวยงามของวิวตอนกลางคืนนั้นเปรียบได้กับที่ฮาโกดาเตะและโกเบเลยครับ
การเดินทางขึ้นไปจุดชมวิวนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะมีกระเช้า Nagasaki Ropeway นำคุณขึ้นไปจากศาลเจ้าฟุจิ (Fuchi Shrine) สำหรับค่าขึ้นอยู่ที่ 1,250 เยน (ไปกลับ)
หลังจากชมวิวแล้ว คุณอาจจะไปแช่ออนเซ็นเป็นการปิดท้าย เพราะ Fuku no Yu โรงอาบน้ำที่มีชื่อเสียงของนางาซากิตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาลูกนี้ครับ
10. ไชน่าทาวน์
แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่เหมือนกับที่โยโกฮาม่า แต่ชินจิไชน่าทาวน์ (Shinchi Chinatown) ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะ ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นสถานที่พำนักของชาวจีนมากมาย (มากถึง 15% ของประชากรทั้งหมดในเวลานั้น) โดยเฉพาะชนเชื้อสายฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ครับ
ปัจจุบันที่นี่มีร้านอาหารจีนและร้านค้ามากมาย ส่วนช่วงตรุษจีนก็จะมีเทศกาลโคมไฟ (Nagasaki Lantern Festival) ที่โคมไฟจีนสีแดงจะถูกประดับประดาเรียงรายกันไปอย่างสวยงามยิ่งครับ
11. ย่านชิอันบาชิ
ย่านชิอันบาชิ (Shianbashi) เป็นย่านที่มีบาร์และร้านอาหารมากมาย และเต็มไปด้วยชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาหาอะไรรับประทาน ความเป็นมาของที่นี่ย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 17 โดยเป็นย่านที่เชื่อมระหว่างส่วนอื่นของเมืองกับย่านโคมแดงเริงรมณ์ของเมืองครับ
ปัจจุบันย่านนี้เป็นย่านที่คับคั่งไปด้วยผู้คน ถ้าอยากหาอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ในนางาซากิ ที่นี่ย่อมเป็นตัวเลือกแรกๆ ครับ
12. ชมพิพิธภัณฑ์อื่นๆ
นอกเหนือจากที่ผมได้แนะนำไปแล้ว นางาซากิยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งด้วยกัน อย่างเช่น
- Nagasaki Museum of History and Culture – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าประวัติความเป็นมาอันเข้มข้นของเมืองนางาซากิ ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมอันหลากหลายของเมือง เช่นเดียวกับโบราณวัตถุสำคัญอีกมากมายครับ ส่วนค่าเข้าชมอยู่ที่ 630 เยน
- Nagasaki Confucian Shrine & Historical Museum of China – ที่นี่เป็นศาลเจ้าของลัทธิขงจื้อที่มีรูปปั้นสานุศิษย์อยู่ถึง 72 องค์ด้วยกัน นอกจากนี้ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์จีนที่เปิดในช่วงศตวรรษที่ 20 เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น โดยมีโบราณวัตถุหลายชิ้นที่มาจากจีนครับ
13. ชิมอาหารพื้นเมือง
นางาซากิเป็นเมืองที่มีอาหารอันโดดเด่น เพราะว่าเป็นอู่อารยธรรมหลายชาติมาตั้งแต่อดีต โดยเมนูที่ไม่ควรพลาดได้แก่
- ซีฟู้ดอย่างเช่นล็อบสเตอร์ญี่ปุ่น (Ise-ebi) และหอยนางรม
- คามาโบโกะ หรือลูกชิ้นปลาหลากหลายประเภท
- นางาซากิวากิว (ชนะรางวัลระดับประเทศมาแล้วในปี ค.ศ.2012)
- จัมปงและซาระอุด้ง เมนูเส้นที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน
- คาคุนิมันจู – เบอร์เกอร์สไตล์จีน โดยเปลี่ยนแป้งเป็นหมั่นโถว ส่วนเนื้อสัตว์เป็นหมูนุ่มๆ
- ข้าวโทรุโกะ – เมนูสไตล์ตะวันตกที่ใช้ข้าว pilaf กินคู่กับสปาเกตตี้และหมูชุบแป้งทอด แต่สูตรและ combination อาจจะเปลี่ยนไปได้ในแต่ละร้านครับ
14. เทศกาลนางาซากิคุนจิ
เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่น นางาซากิเป็นเมืองที่ไม่เคยขาดเทศกาลใหญ่ โดยเฉพาะเทศกาลสำคัญอย่างนางาซากิ คุนจิ (Nagasaki Kunchi) ที่รวมวัฒนธรรมจีนและดัชต์เข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ตัวเทศกาลจะจัดที่ศาลเจ้าสุวะครับ (สาขาของศาลเจ้าที่เมืองสุวะในจังหวัดนากาโน่)
เทศกาลนี้จัดมานานกว่า 400 ปีแล้ว โดยจะเป็นขบวนแห่ที่มีการแสดงหลากหลาย ตั้งแต่การแสดงรำแบบญี่ปุ่นไปจนถึงเชิดสิงโตแบบจีนครับ ไปจนถึงขบวนแห่ที่เป็นรูปเรือสำเภาของชาวดัชต์ครับ
ตัวอย่างทริปนางาซากิ
สำหรับด้านล่างจะเป็นตัวอย่างทริปได้ผมได้ใส่นางาซากิลงไปเป็นส่วนสำคัญของการเดินทาง เช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดอย่างเช่น Huis Ten Bosch, อุนเซ็นออนเซ็น และเมืองชิมาบาระครับ ทั้งนี้คุณสามารถนำไปใช้ในการแพลนทริปของคุณได้เลยครับ
แน่นอนว่าคุณสามารถปรับแต่งตามความต้องการของคุณได้ อย่างไรก็ดีโปรดตรวจสอบเรื่องการเดินทางด้วยตนเองอีกทีหนึ่ง เพราะว่าผู้ให้บริการอาจจะเปลี่ยนแปลงเวลารถ หรือจุดที่ให้บริการได้ครับ
ลักษณะของทริปนั้นจะเป็นแบบสบายๆ ไม่ได้รีบร้อนจนเกินไป เพราะฉะนั้นจะเหมาะกับคณะที่เป็นครอบครัวและมีผู้สูงอายุครับ
References
- Discover Nagasaki
- Gunkanjima Museum Official Site
- Kofukuji Official Site
- JNTO – Mt.Inasa Article