นาฮะ (Naha) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอกินาว่า ซึ่งเป็นหมู่เกาะอันโดดเดี่ยวแยกจากเกาะใหญ่ทั้งสี่ของญี่ปุ่น และเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศด้วย นาฮะนั้นเป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจในจังหวัดแห่งนี้อาทิเช่นหมู่เกาะมิยาโกะเป็นต้น
ถึงกระนั้นไม่ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีอะไรควรค่าต่อการไปชม เพราะที่นี่มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณที่มีคุณค่าทางจิตใจและวัฒนธรรมต่อชาวโอกินาว่าจำนวนมาก ดังนั้นบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับนาฮะคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักนาฮะ (Naha)
นาฮะ (Naha) หรืออันที่จริงแล้วหมู่เกาะโอกินาว่าทั้งหมดมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเองที่แตกต่างจากชาวญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้วดินแดนแห่งนี้เพิ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้นเองครับ
พื้นที่บริเวณนาฮะนั้นมีมนุษย์อยู่อาศัยมาตั้งแต่ช่วงยุคหินแล้ว ชาวริวกิว (ชื่อเดิมและชื่อที่แท้จริงของโอกินาว่า) ได้มีการค้าขายกับราชวงศ์ต่างๆ ของจีนตลอดดินแดนญี่ปุ่นและเกาหลีมาตั้งแต่สองพันปีก่อน
ในช่วงศตวรรษที่ 14 หมู่เกาะริวกิวได้แบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งปกครองโดยสามอาณาจักร ในช่วงนี้เองหนึ่งในอาณาจักรดังกล่าวชื่อจูซัน (Chuzan) ได้สถาปนาเมืองหลวงของตนขึ้นที่เมืองชูริ (Shuri) ซึ่งในปัจจุบันนี้คือส่วนหนึ่งของเมืองนาฮะครับ ชูริได้กลายเป็นเมืองท่าที่รุ่งโรจน์ ทำให้จูซันมั่งคั่งกว่าอีกสองอาณาจักร และรวมหมู่เกาะริวกิวเข้าเป็นหนึ่งในปี ค.ศ.1429
ราชวงศ์โช (Sho) ได้ถูกสถาปนาขึ้นหลังการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ช่วงเวลานี้นั้นเป็นยุคทองของริวกิวในการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับราชวงศ์หมิงของจีน โดยกษัตริย์ริวกิวได้โปรดให้ตั้งศูนย์การเรียนรู้จากจีนขึ้นที่คุนินดะ (Kuninda) ในเมืองนาฮะอีกด้วย
ชาวริวกิวนั้นมีความสามารถในการเดินเรือที่น่าทึ่ง พวกเขาเดินทางไปค้าขายกับหลากหลายอาณาจักร ซึ่งรวมไปถึงสยามประเทศอีกด้วยครับ (ตลอดช่วงเวลากว่าสองร้อยปี ชาวริวกิวได้บันทึกไว้ว่าได้เดินทางไปค้าขายกับอยุธยาถึง 61 ครั้งเลยทีเดียว)
ถึงกระนั้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ความรุ่งเรืองของนาฮะและอาณาจักรริวกิวโดยรวมเริ่มเสื่อมถอยลง เพราะภัยจากโจรสลัดวอโค่วที่ปล้นสะดมชายฝั่งอย่างรุนแรง ต่อมาฮิเดโยชิได้ขอให้ริวกิวช่วยเหลือในการรุกรานเกาหลี แต่ริวกิวปฏิเสธเพราะความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอดกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรของเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นขัดเคืองริวกิว และหาทางยึดครองตั้งแต่บัดนั้น
ในช่วงศตวรรษที่ 17 ไดเมียวตระกูลซัทสุมะแห่งคาโกชิม่าได้ยกมาตีริวกิว ซึ่งริวกิวมีกำลังน้อยไม่อาจป้องกันตนเองได้ ทำให้เมืองชูริถูกตีแตก กษัตริย์ราชวงศ์โชต้องยินยอมไปเป็นเชลยที่เมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) แต่ได้รับการปล่อยตัวในอีกสองปีต่อมา เพราะญี่ปุ่นเกรงว่าราชวงศ์ชิงที่เข้มแข็งในเวลานั้นจะหาเหตุทำศึกรุกรานญี่ปุ่น ถึงกระนั้นริวกิวได้เป็นรัฐในอารักขาของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย โดยขึ้นตรงกับไดเมียวแห่งคาโกชิม่า แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วจะยังมีกษัตริย์ปกครองอยู่ก็ตาม
ชาวริวกิวสูญเสียอิสรภาพอย่างถาวรในปี ค.ศ.1879 เพราะญี่ปุ่นได้ผนวกหมู่เกาะริวกิวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ริวกิวจึงได้กลายเป็นเขตริวกิว (Ryukyu Domain) ก่อนที่จะเปลี่ยนการปกครองเป็นจังหวัดโอกินาว่าในเวลาต่อมา ส่วนเมืองหลวงนั้นก็ตั้งอยู่ที่นาฮะนั่นเอง
นาฮะได้ถูกเปิดเป็นเมืองท่าที่ค้าขายกับชาติตะวันตกในปี ค.ศ.1899 ทำให้ตัวเมืองมั่งคั่งร่ำรวยขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตัวเมืองได้รับความเสียหายอย่างยับเยินในช่วงยุทธการแห่งโอกินาว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ศูนย์กลางของเมืองแทบจะต้องสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด นับเป็นความเสียหายทางวัฒนธรรมริวกิวอย่างล้นเหลือครับ
ในปัจจุบันนาฮะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดโอกินาว่า และเป็นศูนย์กลางการปกครองทางเศรษฐกิจ การเงิน คมนาคม และวัฒนธรรมของหมู่เกาะ และแน่นอนว่าเป็นประตูสู่สถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจด้วยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปนาฮะ (Naha) ทำอย่างไร?
นาฮะและเกาะโอกินาว่าอยู่ใกล้จากเกาะใหญ่ทั้งสี่ของญี่ปุ่นมากกว่าจีนและไต้หวันเสียอีก เพราะฉะนั้นวิธีการเดินทางจึงแตกต่างจากทริปญี่ปุ่นทั่วไป วิธีที่ง่ายที่สุดจากประเทศไทยคือบินจากกรุงเทพไปลงนาฮะโดยตรง โดยไม่ผ่านแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่น ซึ่งคุณสามารถเลือกสายการบินที่แวะพักที่ฮ่องกงหรือไทเปเพื่อจะได้ไม่ต้องบินอ้อมไปมาครับ
การสัญจรในนาฮะทำอย่างไร?
วิธีการที่ง่ายที่สุดแน่นอนว่าเป็นการเช่ารถขับ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการขับรถ คุณสามารถใช้รถบัสหรือว่า monorail ได้ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าคุณอยากไปส่วนอื่นของเกาะด้วย การเช่ารถจะช่วยประหยัดเวลา และตัดความยุ่งยากไปได้มากครับ
1. ปราสาทชูริ
ปราสาทชูริ (Shuri Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่อันเคยเป็นสถานที่ประทับของกษัตริย์ริวกิวต่อเนื่องกันมาหลายศตวรรษ รวมไปถึงเป็นศูนย์กลางการปกครองของเกาะโอกินาว่าทั้งหมดด้วย ตัวปราสาทสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมอย่างริวกิวอย่างสวยงามในช่วงศตวรรษที่ 14 จุดเด่นของปราสาทชูริคือสถาปัตยกรรมจะมีความเป็นจีนมากกว่าญี่ปุ่นอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่าได้แรงบันดาลใจมาจากพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่งครับ
น่าเสียดายที่ตัวปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนักสองครั้งซ้อน นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และไฟไหม้ใหญ่ในวันที่ 31 ตุลาคม 2019 ครับ
ปัจจุบันตัวปราสาทยังอยู่ในขั้นตอนการบูรณะซึ่งมีกำหนดจะเสร็จสิ้นในปี 2026 ปัจจุบันคุณยังสามารถเข้าชมบางส่วนของปราสาทได้อย่างเช่นประตูเซเรย์มง (Seireimon) หรือประตูโฮชินมง (Hoshinmon) แต่หอหลักอย่างเซย์เดน (Seiden) ที่มีสีส้มแดงอันสวยงาม และเคยถูกใช้เป็นหอพิธีการของราชสำนักริวกิวนั้นยังอยู่ในการบูรณะครับ
หนึ่งในจุดที่ชมปราสาทแห่งนี้ได้สวยที่สุดคือจากสระริวทัน (Ryutan Pond) ซึ่งเป็นสระที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 หลังจากที่ข้าราชการผู้หนึ่งได้เดินทางไปศึกษาศาสตร์การจัดสวนมาจากจีนครับ
ทั้งนี้เนื่องจากตัวปราสาทตั้งอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้คุณสามารถชมทัศนียภาพของตัวเมืองได้จากปราสาทชูริได้อย่างชัดเจนครับ
2. สุสานทามาอุดง
สุสานทามาอุดง (Tamaudon Mausoleum) เป็นสุสานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16 โดยใช้ทำพิธีศพสำหรับกษัตริย์ ราชินี ตลอดจนเชื้อพระวงศ์โชแทบทุกพระองค์ (องค์ที่ล่วงลับไปก่อนที่สุสานจะเสร็จสิ้นก็ได้ถูกนำพระศพมาฝังที่นี่เช่นเดียวกัน)
ฝั่งตะวันออกจะใช้เป็นสถานที่ฝังพระศพกษัตริย์ ส่วนฝั่งตะวันตกจะเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วไป ส่วนตรงกลางนั้นจะใช้ประกอบพิธีกรรมทำความสะอาดพระศพทางความเชื่อเก่าแก่ตามพิธีการริวกิวครับ
3. สวนชิกินะเอ็น
สวนชิกินะเอ็น (Shikinaen) เป็นสวนที่สร้างขึ้นเป็นสถานที่พำนักแห่งที่สองของกษัตริย์ริวกิว รวมไปถึงต้อนรับทูตจากจีน ทั้งนี้ตัวสวนสร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1799 หรือเพียงไม่กี่ทศวรรษก่อนที่จะริวกิวจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นครับ
ตัวสวนนั้นเป็นการผสานของสองสถาปัตยกรรม นั่นคือสถาปัตยกรรมริวกิวที่ใช้สร้างอาคารไม้ต่างๆ ที่มีกลิ่นอายของความเป็นจีนอยู่ไม่น้อย และแนวทางการจัดสวนแบบญี่ปุ่น อย่างเช่นการมีสระน้ำขนาดใหญ่ หนึ่งในแลนด์มาร์กของสวนชิกินะเอ็นคือสะพานหินคู่ที่ใช้ข้ามสระน้ำไปยังเกาะกลางสระครับ
น่าเสียดายที่สวนแห่งเดิมนั้นถูกทำลายยับเยินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สิ่งที่คุณเห็นจึงเป็นส่วนที่สร้างใหม่ แต่ก็งดงามไม่แพ้ของเดิมเลยครับ
4. ชมซากุระ
แม้ว่านาฮะจะตั้งอยู่ห่างจากเกาะใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างมาก และอยู่ค่อนลงมาทางเขตร้อน แต่ก็มีสวนที่ชมซากุระได้หลายแห่งเช่นเดียวกัน อย่างเช่นสวนโยกิ (Yogi Park) ที่มีต้นซากุระมากกว่า 400 ต้น โดยสายพันธุ์ที่ปลูกนั้นจะเป็นคานิซากุระ (Kanhizakura) ที่จะบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปีครับ
ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวทางเมืองนาฮะจะมีเทศกาลชมดอกซากุระที่จะมีร้านอาหารต่างๆ มาวางขายอาหารพื้นเมืองแสนอร่อยให้ได้ชิม รวมไปถึงมีการแสดงพื้นบ้านให้ได้ชมอีกด้วย
5. ถนนโคคุไซ
ถนนโคคุไซ (Kokusai Street) หรือโคคุไซโดริ เป็นถนนคนเดินและย่านช้อปปิ้งที่สำคัญที่สุดของเมืองนาฮะ โดยถนนแห่งนี้มีความยาวถึง 1.6 เมตร และอุดมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ ที่เปิดกันอย่างมากมายให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองได้เลือกรับประทานอาหารแสนอร่อย ในหน้าประวัติศาสตร์นั้น ที่นี่เป็นย่านที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ได้รับสมญาเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Miracle Mile” ครับ
ใกล้กับถนนโคคุไซนั้นยังมีย่านช้อปปิ้งในร่ม ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่มีร้านค้าอีกจำนวนมากให้คุณได้ซื้อของฝาก รวมไปถึงอาหารที่น่าสนใจอีกจำนวนมาก ถ้าคุณอยากได้อะไรบางอย่าง แล้วหาไม่เจอเสียที ลองไปหาที่นี่ดูครับ
6. ย่านสึโบยะ
ย่านสึโบยะ (Tsuboya) เป็นย่านที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนาฮะ โดยที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรริวกิว ปัจจุบันนี้ร้านต่างๆ ก็ยังขายของใช้คุณภาพเยี่ยมที่ทำจากดินที่มีแร่เหล็กคุณภาพสูงของโอกินาว่าอยู่ ดังนั้นคุณสามารถยังเลือกซื้อจาน ชาม ตลอดจนชุดชากลับไปได้ครับ
สำหรับใครที่สนใจวัฒนธรรมนั้น ย่านสึโบยะเป็นย่านที่คุณต้องมาเยี่ยมเยือนเลยครับ เพราะย่านนี้เป็นย่านน้อยแห่งที่รอดพ้นสงครามโลกครั้งที่สองมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้อาคารของเดิมบางส่วนยังหลงเหลืออยู่ (เช่นบ้านพักของช่างฝีมือสมัยโบราณที่ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมได้) นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ Tsuboya Pottery Museum ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาของชาวริวกิวอีกด้วย
7. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
Okinawa Karate Kaikan – พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวอย่าง ‘คาราเต้ (Karate)’ ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทั้งนี้คาราเต้นั้นมีต้นกำเนิดจากเกาะโอกินาว่าแห่งนี้ และพัฒนาโดยชาวริวกิวครับ ด้านในจะเล่าประวัติความเป็นมาเหล่านี้ รวมไปถึงมีลานต่อสู้ที่ใช้ในการแข่งขันจริงให้ได้ชมด้วยครับ
Okinawa Prefectural Museum – พิพิธภัณฑ์จังหวัดที่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดถ้าคุณอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกาะแห่งนี้ คุณจะได้เรียนรู้เหตุการณ์สำคัญต่างๆ อย่างเช่นการยึดครองริวกิวของญี่ปุ่น ไปจนถึงยุทธการแห่งโอกินาว่า ไปจนถึงตำนาน ความเชื่อ ศิลปะ สถาปัตยกรรม ฯลฯ ของชาวโอกินาว่าด้วยครับ
8. ชิมอาหารพื้นเมือง
อาหารโอกินาว่านั้นมีความโดดเด่นต่างจากอาหารญี่ปุ่นทั่วไป โดยได้รับอิทธิพลมาจากทั้งจีนและญี่ปุ่นไม่น้อย เมนูที่น่าสนใจได้แก่
- Tundabun – เมนูอาหารกล่องแบบโอกินาว่าที่ในอดีตเคยใช้เสิร์ฟต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์แห่งริวกิว
- เมนูซุปหรือน้ำแกงอย่างเช่น โซกิจิรุ (Soki-jiru)
- Champuru – เมนูที่นำเต้าหู้และผักสดมาผัด
- Okinawa Soba – เมนูโซบะที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน
- ของทานเล่นอย่างเช่น Sata-andagi ที่คล้ายกับโดนัท หรือ Kunpen ขนมสอดไส้ถั่วที่เสิร์ฟให้ทูตจากจีน และถวายต่อเทพเจ้าโดยนักบวชระดับสูงสุด
References
- Naha Navi (Official Travel Site)