ถ้าเอ่ยถึงชื่อ “นาริตะ” (Narita) ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมักจะนึกไปถึงสนามบินนาริตะ แต่จริงๆแล้ว นาริตะเป็นเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดชิบะครับ ซึ่งสนามบินนานาชาติที่เป็นปากทางสู่ญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ ณ ที่นี่นั่นเอง
เมืองนาริตะนั้นไม่ได้มีดีแค่สนามบิน รอบๆ เมืองมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งด้วยกัน เราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง
รู้จักเมืองนาริตะ (Narita)
นาริตะเป็นพื้นที่เก่าแก่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว นักโบราณคดีญี่ปุ่นได้พบโบราณวัตถุรวมไปถึงสุสานโบราณ (Kofun) อยู่มากมายรายรอบเมืองครับ
ตัวเมืองเริ่มปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคนารา (ประมาณศตวรรษที่ 8) และได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของพื้นที่แทบนี้ สาเหตุสำคัญคือบริเวณนี้มีแม่น้ำหลายสาย และมีทางออกทะเล เพราะฉะนั้นเอื้อต่อการขนส่งทางน้ำ ซึ่งเป็นช่องทางหลักในยุคนั้นครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 10 วัดชินโชจิได้สร้างเสร็จสิ้น เพราะฉะนั้นผู้แสวงบุญมากมายจึงเดินทางมาที่นี่จากทั่วทั้งญี่ปุ่น ทำให้ตัวเมืองรุ่งเรืองขึ้นไปอีกในทุกด้านๆ และมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองวัด (Temple City)
จนกระทั่งช่วงศควรรษที่ 17 รัฐบาลโชกุนได้ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่เอโดะ ทำให้พื้นที่บริเวณเมืองนาริตะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ส่งผลถึงความมั่นคง รัฐบาลโชกุนจึงไม่ได้มอบพื้นที่ส่วนนี้ให้ไดเมียวผู้ใดปกครอง แต่เลือกที่ปกครองโดยตรงครับ
เมื่อเกิดการปฏิวัติเมจิ รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนนาริตะเป็นเมืองในจังหวัดชิบะตามการปกครองแบบใหม่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนนาริตะไปอย่างสิ้นเชิงก็คือในปี ค.ศ.1966 ที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ขึ้นที่นี่ โดยไม่มีการแจ้งให้ชาวเมืองทราบล่วงหน้า
ไม่ต้องสงสัยว่าการตอบรับของชาวเมืองเป็นไปในแง่ลบสุดๆ มีการประท้วงต่อต้านอย่างยาวนานเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งรวมถึงมีการสร้างสิ่งกีดขวางการสร้างสนามบินด้วย เหตุการณ์นี้มีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ว่าการต่อต้านซังริสุกะ (Sanrizuka Struggle)
เวลาต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้มอบค่าตอบแทนก้อนใหญ่ให้กับชาวบ้าน (หลายสิบล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลในสมัยนั้น) ทำให้ส่วนใหญ่ยอมย้ายออกไปในที่สุด ยกเว้นแต่ 5 ครอบครัวที่ยังไงก็ไม่ออก ปัจจุบันถ้าสังเกตดีๆ ใกล้กับสนามบินนาริตะมากๆ จะมีบ้านและฟาร์มที่ยังหลงเหลืออยู่ครับ
อย่างไรก็ดีการมีสนามบินได้สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนไม่มากก็น้อย เพราะได้มีการลงทุนจำนวนมหาศาลจากบริษัทต่างๆ ทำให้นาริตะเป็นฮับของการขนส่ง และได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวไปด้วยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองนาริตะทำอย่างไร?
รถไฟ – การนั่ง Keisei Main Line (ตรวจสอบขบวนให้ดีจากลิงค์นี้ เพราะบางขบวนจะไม่จอด) จากสถานี Keisei Ueno ไปลงที่สถานี Keisei Narita เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะใช้เวลาประมาณ 70 นาทีเท่านั้นเองครับ และไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
สำหรับใครที่อยากนั่งรถไฟของ JR สามารถเลือกนั่ง JR Sobu Line (ขบวน Rapid) หรือว่า JR Narita Express มาลงที่นาริตะได้ แต่ต้องตรวจสอบให้ดี เพราะว่ารถไฟเหล่านี้บางช่วงเวลาอาจจะไม่จอดที่สถานีนาริตะ (Narita Station) ครับ
เช่ารถ – สำหรับใครที่วางแผนจะคืนรถเช่าที่สนามบินนาริตะ แน่นอนว่าก่อนที่จะคืนรถ คุณสามารถขับจากโตเกียวไปเที่ยวเมืองนาริตะ (หรือแม้กระทั่งเมืองอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆอย่างซาวาระ) ก่อนได้เช่นกัน
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Narita City Tourism Association โปรดตรวจสอบที่ต้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางรถไฟครับ
ที่พัก
สำหรับใครที่ยังไม่จองที่พักใกล้กับเมืองหรือสนามบิน ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักนาริตะของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. วัดนาริตะซังชินโชจิ
วัดนาริตะซังชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple) เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองที่ชาวเมืองให้การเคารพนับถือเป็นอันดับหนึ่ง และเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคคันโต
ตามหลักฐานประวัติศาสตร์แล้วตัววัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในการปราบกบฏไทระ โนะ มากาซาโดะครับ โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10
ตัววัดเป็นของนิกายชินงอน (Shingon) หนึ่งในนิกายพุทธหลักของญี่ปุ่น ด้านในประดิษฐานรูปปั้นพระพุทธรูปฟุโดะ เมียวโอะ ซึ่งเชื่อกันว่าแกะสลักโดยพระคุไค ผู้ก่อตั้งนิกายดังกล่าวครับ
องค์พระนั้นจะเป็นปางดุร้าย ตามความเชื่อของวัชรยานแล้วเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการกำจัดความปรารถนาทางโลกที่เป็นอุปสรรคของการเข้าถึงมรรคผล ดาบที่อยู่ในมือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงปัญญาของพระพุทธเจ้าในการกำจัดความสงสัยให้หมดไป
มืออีกข้างขององค์พระนั้นมีเชือกอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับการเทศนาที่ดึงศาสนิกกลับมาจากการหลงผิด ส่วนที่นั่งขององค์พระเป็นหินก้อนใหญ่ แน่นอนว่าเป็นสัญลักษณ์เช่นกัน และแสดงถึงความตั้งใจขององค์พระที่จะอดทนต่อความยากลำบากที่จะช่วยเหลือทุกสิ่งมีชีวิต ส่วนเปลวเพลิงด้านหลังจะเผาทำลายอุปสรรคต่างๆ ครับ
หนี่งในธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาคือ การสวดมนต์โอโกมะ (Ogoma Prayer) โดยเป็นพิธีเผาแผ่นไม้ ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้สิ่งที่ผู้ขอเป็นจริงครับ สำหรับวิธีการไหว้นั้นทำอย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บทางการของวัดครับ
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ที่นี่มีผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ของประเทศ เดินทางมาสักการะทุกยุคทุกสมัย ซึ่งรวมไปถึงมินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ โชกุนคนแรกของยุคคามาคุระครับ ปัจจุบันมีศาสนิกเดินทางมาที่นี่ถึง 3 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียวครับ
นอกเหนือจากองค์พระแล้ว ด้านในวัดยังมีเจดีย์สามชั้น สวนแบบญี่ปุ่น และพิพิธภัณฑ์พู่กันซึ่งคุณสามารถเดินเที่ยว ถ่ายรูป และสัมผัสบรรยากาศได้ครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ต่างกับวัดทั่วไปในญี่ปุ่นคือ ที่นี่จะมีเทศกาลทุกเดือนครับ ดังนั้นถ้ามีโอกาสได้ไปวันที่มีเทศกาลพอดีก็ไม่ควรพลาดชมเช่นกัน
2. ถนนโอโมเตะซานโดะ
ถนนโอโมเตะซานโดะ (Omotesando) เป็นถนนยาวประมาณ 800 เมตรซึ่งลากผ่านจากสถานีรถไฟนาริตะมายังวัดนาริตะซังชินโชจิ
ที่นี่มีร้านค้าร้านอาหารมากกว่า 150 แห่ง เปิดโอกาสให้คุณได้ช้อปปิ้งของที่ระลึก รวมไปถึงลิ้มลองอาหารพื้นเมืองทั้งคาวหวาน ซึ่งรสชาติอาจจะไม่ได้แพ้ที่ร้านดังของโตเกียวเลยครับ
อย่างไรก็ดีเมนูที่ต้องลองที่นี่แน่นอนว่าคือข้าวหน้าปลาไหล เมนูอันดับ 1 ที่พลาดไม่ได้ของเมืองนี้ และเป็น a must ที่คุณห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ ปลาไหลของที่นี่เป็นปลาไหลน้ำจืด (อุนางิ) ชั้นดีที่มาจากทะเลสาบอิมบะ (Lake Imba) และมีชื่อเสียงโด่งดังทุกยุคทุกสมัยครับ
ช่วงที่ดีที่สุดในการชิมปลาไหลคือช่วง Narita Eel Festival ที่จะจัดเป็นเวลา 45 วันตั้งแตกลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคมครับ ช่วงนี้ร้านค้าต่างๆ จะเสิร์ฟเมนูปลาไหลสุดพิเศษให้สั่งได้แบบจัดเต็มครับ
3. สวนนาริตะซัง
สวนนาริตะซัง (Naritasan Park) เป็นสวนที่ตั้งอยู่ติดกับวัดนาริตะซัง ตัวสวนนั้นมีขนาดใหญ่มาก (165,000 ตารางเมตร) และมีสระน้ำและต้นไม้เรียงรายกันไปอย่างสมบูรณ์มาก ที่นี่จึงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับ 1 ของชาวเมืองนาริตะเลยครับ
ช่วงที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระกว่า 350 ต้นเบ่งบาน และช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ต้นไม้ทุกต้นจะเปลี่ยนสีให้ชมอย่างงดงามมากครับ
4. Museum of Aeronautical Sciences
Museum of Aeronautical Sciences เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการบิน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินนาริตะ ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่ปลดระวางแล้ว รวมไปถึงให้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการบิน และยังมี simulator ให้เล่นอีกด้วยครับ
แต่สิ่งที่หลายคนประทับใจมากที่สุดคือจุดชมเครื่องบิน ซึ่งคุณสามารถมองเห็นเครื่องบิน takeoff/landing ที่สนามบินนาริตะได้อย่างชัดเจน
โดยรวมแล้วถ้าคุณหรือบุตรหลานของคุณชอบเครื่องบินมาก การมาเที่ยวที่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างมากเลยครับ
ค่าเช้าชม: 700 เยน (อ้างอิงจากเว็บทางการของพิพิธภัณฑ์)
5. พิพิธภัณฑ์โบโซโนะมูระ
พิพิธภัณฑ์โบโซโนะมูระ (Bozo no Mura) เป็นพิพิธภัณฑ์แบบกลางแจ้ง (Open-air Museum) โดยเป็นการสร้างหมู่บ้านสมัยเอโดะขึ้นมา ซึ่งจะเน้นไปที่การนำเสนอภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องในภูมิภาคครับ
นอกจากชมตัวบ้านเรือนแบบดั้งเดิมแล้ว ในพิพิธภัณฑ์ยังมี workshop ให้ไปทำด้วยเช่นกันอย่างเช่นทำกระดาษ จักสาน หรือแม้กระทั่งชมการเก็บเกี่ยวครับ
อย่างไรก็ดีข้อเสียของที่นี่คือ การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องนั่งรถบัสไปต่อจากสถานีนาริตะครับ ซึ่งจะกินเวลาการเดินทาง ทำให้ไม่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาเหลือน้อย (ก่อนจะบินกลับ) เท่าไรนัก
ค่าเช้าชม 300 เยน (อ้างอิงจาก Bozo no Mura Official Site)
6. ละลายเงินเยนที่แหล่งช้อปปิ้ง
ใกล้กับเมืองนาริตะมีสถานที่ให้ละลายเงินเยนก่อนไปสนามบินหลายแห่ง อาทิเช่น
Shishi Premium Outlet – Outlet ที่ใกล้สนามบินนาริตะที่สุด และมีรถรับส่งไปยังสนามบินอีกด้วย ด้านในมีร้านค้าและร้านอาหารมากกว่า 200 ร้านให้ละลายเงินเยน ก่อนเดินทางออกจากญี่ปุ่นครับ
Aeon Mall – ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีสินค้านานาชนิด เหมาะกับการซื้อของฝากก่อนกลับไทยเช่นเดียวกันครับ
References
- Nrtk.jp (Narita City Tourism Association)
- Naritasan Temple Official Site
- Museum of Aeronautical Sciences
- Bozo no Mura Official Site