นารุโกะออนเซ็น (Naruko Onsen, 鳴子温泉) เป็นเมืองออนเซ็นขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองโอซากิ (Osaki) ในจังหวัดมิยางิ (Miyagi Prefecture)
ตัวเมืองถือว่าเป็นสวรรค์ของใครที่รักการแช่ออนเซ็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยากแช่ในออนเซ็นที่มีบรรยากาศดีๆ อันเงียบสงบ และยังรักษาความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดีครับ
เรามาทำความรู้จักกับนารุโกะออนเซ็นเลยดีกว่า
ความเป็นมาของนารุโกะออนเซ็น
นารุโกะออนเซ็นมีอายุมากกว่า 1,000 ปี โดยถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.837 เพราะภูเขาไฟนารุโกะได้ระเบิดขึ้น ทำให้น้ำร้อนจากใต้พิภพไหลทะลักออกมาสู่ภายนอกครับ
บ้างว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นที่มาของชื่อเมืองด้วย กล่าวคือชาวบ้านรู้สึกสะพรึงกับปรากฏการณ์มากจึงตั้งชื่อน้ำพุร้อนที่ค้นพบใหม่นี้ว่านารุโกยุ โน ยู (Narugou no Yu) ตามเสียงที่ดังลั่นจากการปะทุครั้งนั้น
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 12 ที่มีสงครามกลางเมืองอย่างเกนเปย (Genpei War) มินาโมโตะ โยชิสึเนะได้หนีการตามล่าของพี่ชายอย่าง มินาโมโตะ โยริโตโมะมายังภาคเหนือของเกาะฮอนชู และได้พักแช่น้ำที่นี่ ก่อนที่จะหนีไปพึ่งตระกูลฟูจิวาระที่ฮิราอิซุมิในจังหวัดอิวาเตะครับ
หลังจากนั้นนารุโกะออนเซ็นก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่อย่างเงียบสงบตลอดมา ส่วนหนึ่งเพราะเมืองถูกโอบล้อมด้วยภูเขา และไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์สำคัญใดๆ พื้นที่ส่วนนี้จึงแทบไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายจากโลกภายนอกเลยครับ (ยกเว้นการส่งออกข้าวเท่านั้นเองครับ)
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปนารุโกะออนเซ็นทำอย่างไร?
โดยมากแล้วนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปนารุโกะออนเซ็นจากเมืองเซนได (Sendai) เมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ คุณสามารถไปได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
ชินคันเซน + รถไฟท้องถิ่น – ขั้นตอนแรกคือนั่ง Tohoku Shinkansen (ขบวน Yamabiko จะผ่านทุกขบวน) จากสถานีเซนไดไปยังสถานี Furukawa Station ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที หลังจากนั้นก็นั่ง JR Rikku East Line (Rikuutosen, 陸羽東線) ไปยัง Naruko Onsen Station ขั้นตอนหลังจะใช้เวลาประมาณ 40-50 นาทีครับ
อย่างไรก็ดีคุณสามารถนั่ง Tohoku Shinkansen จากสถานีโตเกียว (หรือเมืองอื่นๆ ที่ชินคันเซนสายนี้ผ่านอย่างเช่นโมริโอกะ) ไปลง Furukawa Station โดยที่ไม่ผ่านเซนไดเลยก็ได้เช่นกันครับ
เช่ารถขับ – อีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะคุณจะตัดปัญหาไม่มีรถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ใกล้กับนารุโกะออนเซ็นไปโดยปริยาย ทั้งนี้คุณสามารถนั่งรถไฟมายังเซนได หลังจากนั้นค่อยเช่ารถขับไปยังนารุโกะออนเซ็นก็ได้ครับ ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 80 กิโลเมตร
อ้างอิงจาก Naruko Spa Tourist Association (ผมแนะนำให้ตรวจสอบจากเว็บต้นทางอีกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะวิธีการเดินทางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ)
ไปนารุโกะออนเซ็นช่วงไหนดี
ถ้าต้องการจะไปแช่ออนเซ็นให้จุใจนั้น คุณจะไปเที่ยวที่นี่ช่วงไหนของปีก็ได้ แต่ถ้าอยากจะชมวิวสวยๆ ด้วยแล้วนั้น การไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะงดงามที่สุด เพราะคุณจะได้ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่เลื่องลือของหุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) นั่นเองครับ
1. ชมหุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)
หุบเขานารุโกะ หรือโตรกนารุโกะ (Naruko Gorge) เป็นไฮไลท์ของนารุโกะออนเซ็นที่ไม่ว่านักเดินทางไหนก็ตามก็ไม่ควรพลาด ตัวโตรกธารที่ลึกกว่า 100 เมตร และยาว 2 กิโลเมตรแห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโอยากาวะครับ
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่จะเปลี่ยนเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีสุดสวย โดยนักท่องเที่ยวมักจะไปชมกันที่ Narukokyo Resthouse ซึ่งมีจุดชมวิวตั้งอยู่ จากตรงนี้คุณจะเห็นสะพานโอฟุคาซาวะพาดผ่านตัวโตรกและป่าเมืองหนาวสีส้มสีแดงอย่างสวยงามมากครับ
บริเวณนี้นั้นมีเส้นทางเดินเทรคอยู่หลายเส้นด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถเดินตามทางเพื่อชมวิวโตรกรวมไปถึงน้ำตาต่างๆได้ ในอดีตจะมีเส้นทางที่ให้นักท่องเที่ยวเดินลัดตามโตรกไปได้เลยครับ แต่แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.2008 ได้ปิดเส้นทางนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
2. ตุ๊กตาโคเกชิ
ตุ๊กตาโคเกชิ (Kokeshi Dolls) คือตุ๊กตาไม้รูปเด็กสาวจากภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ตุ๊กตานี้จะส่งเสียงร้องออกมาเวลาที่คุณหมุนหัวของมันครับ
งานศิลป์นี้เป็นสิ่งที่ชาวเมืองภาคภูมิใจ เพราะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคเอโดะ และเป็นที่ชื่นชอบโดยเด็กๆ ครับ
ปัจจุบันวิธีการแกะตุ๊กตาน่ารักๆ นี้มีความเป็นมาถึง 200 ปีแล้วครับ และช่าวทำตุ๊กตายังใช้วิธีการทำตุ๊กตาแบบเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน
คุณสามารถชมการแกะสลักและวาดรูปลักษณ์ได้จากร้านหลายแห่งภายในเมือง (อย่างเช่นที่ Sakurai Kokeshi ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากสถานีรถไฟ) หรือแม้กระทั่งลองลงมือทำเองได้เช่นกัน ถ้าคุณอยากเห็นตุ๊กตาโคเกชิหลายๆ แบบ คุณสามารถไปชมได้ที่ Japan Kokeshi Museum ใกล้กับโตรกนารุโกะครับ
สำหรับใครที่ชื่นชอบในความน่ารักของตุ๊กตาเหล่านี้ คุณสามารถซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกหรือของฝากสำหรับคนที่คุณรักด้วยครับ
3. แช่ออนเซ็น
ในปัจจุบันนารุโกะออนเซ็นประกอบด้วยหมู่บ้านออนเซ็นย่อย 5 แห่ง ซึ่งคุณสามารถเดินทางไปแช่น้ำผ่อนคลายได้ แต่ละแห่งจะมีจุดเด่นและสรรพคุณที่ต่างกันออกไป (เช่นบำรุงผิวหรือว่ารักษาอาการปวดโน่นปวดนี่) ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ คุณควรจะเก็บให้ครบทุกแห่งครับ
1. นารุโกะออนเซ็น (Naruko Onsen) – ศูนย์กลางของเมืองออนเซ็น และมีขนาดใหญ่ที่สุด ภายในหมู่บ้านมีโรงอาบน้ำสาธารณะสองแห่งอย่าง Taki no Yu และ Waseda Sajiki Yu ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับเมืองมาอย่างยาวนานครับ เช่นเดียวกับเรียวกังและโรงแรมหลายแห่งที่เปิดรับนักท่องเที่ยว
นอกเหนือจากนี้ที่นี่มีร้านค้าและร้านอาหารหลายแห่งให้ได้ซื้อของฝากหรือลิ้มรสอาหารพื้นเมืองด้วยเช่นกันครับ
2. ฮิกาชินารุโกะออนเซ็น (Higashi Naruko Onsen) – หมู่บ้านที่มีโรงอาบน้ำระดับตำนานอย่าง Goten-yu ซึ่งรับเฉพาะสมาชิกในตระกูลดาเตะที่ปกครองเมืองเซนไดในสมัยเอโดะเท่านั้น บรรยากาศที่นี่จะมีกลิ่นอาย vintage มากกว่าที่ตัวหมู่บ้านหลักครับ
3. คาวาตาบิออนเซ็น (Kawatabi Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่เก่าที่สุดในบรรดาทั้งห้า บรรยากาศของที่นี่จะเหมือนกับยุคไทโช เพราะว่ามีเรียวกังที่สร้างขึ้นด้วยไม้เรียงรายกันไปครับ นอกจากนี้ยังมีทุ่งดอกเรพซีดบานสะพรั่งให้ได้ถ่ายรูปอีกด้วยครับ
4. นากายามะไดระออนเซ็น (Nagayamadaira Onsen) – หมู่บ้านออนเซ็นที่ทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณภูเขา ดังนั้นจะมีบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุด ที่นี่มีชื่อเสียงมากในเรื่องของ Eel spa (Unagi yu) ใครสนใจว่าเป็นอย่างไรก็ไปลองกันได้ครับ
5. โอนิโกเบะออนเซ็น (Onikobe Onsen) – ตั้งอยู่ในเขตอุทยานคุริโคมะ (Kurikoma Quasi-National Park) และใกล้กับจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกันครับ
ทั้งนี้คุณสามารถซื้อ Yumeguri Ticket ในราคา 1,300 เยน เพื่อรับส่วนลดในการใช้บริการออนเซ็นหลายแห่งได้ โดยซื้อได้ที่สถานีรถไฟ Naruko Onsen ครับ
4. ชมวิวที่สระคาตานุมะ
สระคาตานุมะ หรือทะเลสาบคาตานุมะ เป็นสระน้ำใสสะอาดที่นักท่องเที่ยวมักเดินเท้ามาชมวิวใบไม้เปลี่ยนสี หรือว่ามาพายเรือเล่นกันที่นี่ครับ
ตัวสระมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์กับตัวเมือง เพราะว่าเป็นจุดที่ชาวบ้านได้ค้นพบน้ำพุร้อนแห่งแรกในปี ค.ศ.837 ครับ แต่ต่อมาก็ได้มีความเชื่อว่านี่เป็นสถานที่อยู่อาศัยของมังกร
หลังจากที่เดินเล่นเสร็จแล้ว ที่นี่มีร้านเนื้อแกะย่างวางขายอยู่ด้วยที่ Katanuma Guesthouse ถ้าคุณเป็นสาวกเนื้อแกะ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คุณจะไม่ลองชิมครับ