หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยว9 ที่เที่ยวนิวออร์ลีนส์ (New Orleans) และกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด

9 ที่เที่ยวนิวออร์ลีนส์ (New Orleans) และกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

นิวออร์ลีนส์ (New Orleans) เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐหลุยเซียนา (Louisiana) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองมีชื่อเสียงอย่างมากในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมดนตรี การเป็นสถานที่จัดเทศกาลมาร์ดิกราส์ (Mardi Gras) หรือแม้กระทั่งอาหารที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนที่ใดในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นนิวออร์ลีนส์จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายในแต่ละปีให้เดินทางไปยังที่นี่ครับ

สำหรับบทความนี้จะแนะนำความเป็นมาของเมืองนิวออร์ลีนส์คร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

รู้จักเมืองนิวออร์ลีนส์ (New Orleans)

นิวออร์ลีนส์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐหลุยเซียนา โดยตัวเมืองอยู่ริมแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ครับ แรกเริ่มนั้นตัวเมืองก่อตั้งโดยชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ชื่อของตัวเมืองคือ La Nouvelle-Orléans (แปลตรงตัวเป็นภาษาอังกฤษคือ New Orleans) นั้นมาจากเมืองออร์เลออง (Orleans) ในฝรั่งเศส ซึ่งดยุคแห่งออร์เลอองได้เป็นผู้สำเร็จราชการของฝรั่งเศสในเวลานั้นครับ

ช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองนี้เองได้ประสบกับปัญหาความขัดแย้งกับชาวพื้นเมือง ทำให้ขาดแรงงานที่เป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ชาวอาณานิคมจึงตัดสินใจไปนำทาสมาจากแอฟริกา เลยเกิดเป็นชุมชนชาวผิวดำขึ้นที่นี่ หลังจากนั้นนิวออร์ลีนส์จึงรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นเมืองท่าที่สำคัญในเส้นทางการค้าขายตามมหาสมุทรแอตแลนติกของฝรั่งเศสครับ

by f11photo/ShutterStock

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในสงครามเจ็ดปี ดินแดนส่วนนี้จึงถูกส่งมอบให้กับสเปนตามสนธิสัญญาสงบศึก ทว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา นิวออร์ลีนส์ก็ได้กลายเป็นเมืองที่ใช้ส่งอาวุธตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ให้กับอาณานิคมทั้ง 13 ในสงครามปฏิวิติอเมริกันครับ

นิวออร์ลีนส์ได้กลับมาเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาที่ได้ทำกับจักรวรรดิสเปน โดยสเปนจะส่งมอบดินแดนหลุยเซียนากลับคืนให้ฝรั่งเศส แลกกับดินแดนบางส่วนในทัสคานี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี) แต่อีกไม่กี่ปีต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของนโปเลียนก็ขายดินแดนที่ได้มานี้ร่วมกับดินแดนส่วนอื่นๆ กับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ตั้งใหม่เป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านดอลลาร์

นิวออร์ลีนส์ (New Orleans)
by f11photo/ShutterStock

หลังจากนั้นนิวออร์ลีนส์ได้กลายเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยมีตั้งแต่ชนเชื้อสายยุโรป แอฟริกา ละตินอเมริกัน (จากเม็กซิโกและอาณานิคมของสเปน) ทำให้ในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองนั้น นิวออร์ลีนส์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา (ใหญ่กว่าแอตแลนตาและเมืองอื่นๆ ที่ใหญ่กว่านิวออร์ลีนส์ในปัจจุบัน) ส่วนหนึ่งเพราะเมืองได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ประชากรในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองมีมากถึง 170,000 คนเลยทีเดียว

บ้านเรือนในส่วน French Quarter
by Kathleen K. Parker/ShutterStock

สงครามกลางเมืองอเมริกันได้เปลี่ยนนิวออร์ลีนส์ไปอย่างถาวร กองทัพสหภาพ (Union) ได้เข้ายึดเมืองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นสงคราม และได้สั่งให้หยุดการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสในเมืองทั้งหมด และเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น สื่งนี้ทำให้ชุมชนนิวออร์ลีนส์ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างเฟื่องฟูตลอดเวลากว่าศตวรรษครึ่งได้เสื่อมถอยลง ก่อนที่จะหมดสิ้นไปในไม่กี่สิบปีต่อมา

ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีการสร้างทางรถไฟขนานใหญ่ทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ทำให้การขนส่งทางน้ำที่เป็นกุญแจสำคัญของความมั่งคั่งของเมืองถูกลดทอนความสำคัญลง การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองจึงไปเกิดขึ้นยังเมืองอื่นๆ จริงอยู่ว่าตัวเมืองยังเติบโตอยู่ทั้งเรื่องประชากร และความมั่งคั่ง แต่ช้ากว่าที่อื่นๆ อย่างดัลลัส ฮูสตัน หรือแอตแลนตา ลำดับความสำคัญของเมืองจึงลดต่ำลงมาจนในช่วงปี ค.ศ.1950 นิวออร์ลีนส์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้อีกต่อไป

Crescent City Connection Bridge
by Sean Pavone/ShutterStock

สิ่งที่ยังคงอยู่กับนิวออร์ลีนส์ก็คือวัฒนธรรมที่เกิดจากการผสมผสานของหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีแจ๊ส ทำให้นิวออร์ลีนส์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่หลายคนอยากเดินทางมาสัมผัส ตราบมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปยังนิวออร์ลีนส์ทำอย่างไร?

วิธีการเดินทางไปนิวออร์ลีนส์ที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องบิน เพราะแทบทุกสายการบินมีเที่ยวบินมายังนิวออร์ลีนส์จากเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก บอสตัน ลอสแองเจลิส ชิคาโก ซานฟรานซิสโก หรือฟิลาเดลเฟียครับ

สำหรับใครที่จะเดินทางไปนิวออร์ลีนส์จากประเทศไทย ในแทบทุกกรณี คุณจะต้องเปลี่ยนเครื่องบิน 2 ครั้ง (ไม่ว่าจะเลือกสายการบินใดก็ตาม) โดยอย่างเร็วที่สุดคุณจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 24-28 ชั่วโมง (รวมเวลาแวะพักแล้ว)

นิวออร์ลีนส์ปลอดภัยหรือไม่?

ในเชิงสถิติโดยรวมแล้ว นิวออร์ลีนส์มีอาชญากรรมสูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศมาก ทว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในโซนนักท่องเที่ยว ดังนั้นถ้าในโซนเมือง (metro area) จะมีอาชญากรรมที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศอยู่พอสมควร

ดังนั้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนคนเดียวในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกโซนท่องเที่ยวที่ไม่ควรไปเด็ดขาด ซอยหรือตรอกมืดๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ถ้าจะกลับที่พักในช่วงกลางคืน อย่าเสียดายเงินที่จะเรียกแท็กซี่ครับ

ท้ายที่สุดถ้าเป็นไปได้ คุณควรจะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังนิวออร์ลีนส์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม เพราะพายุเฮอริเคนจะพัดถล่มนิวออร์ลีนส์ทุกปี และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งบางปี (อย่างเช่นปี 2005 เรียกได้ว่าวินาศสันตะโรเลยครับ

1. French Quarter

French Quarter เป็นย่านเมืองเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ชาวฝรั่งเศสปกครองนิวออร์ลีนส์ ด้านในย่านมีอาคารโบราณซึ่งบางแห่งมีอายุกว่า 300 ปีและมีความคล้ายคลึงกับย่านเมืองเก่าของฝรั่งเศสอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างขึ้นในยุคหลัง

ปัจจุบันอาคารในย่านนี้เปลี่ยนเป็นร้านค้าและร้านอาหารที่รองรับนักเดินทางที่มีสัมผัสบรรยากาศ ทั้งนี้ในย่านนี้มีจุดที่คุณไม่ควรพลาดดังต่อไปนี้

Bourbon Street – ศูนย์กลางของย่าน French Quarter ที่จะกลายเป็นย่านแสงสีสำหรับใครที่หลงรักการเที่ยวกลางคืน บริเวณถนนสายนี้มีทั้งร้านอาหารและบาร์คุณภาพเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีดนตรีแจ๊สสดให้ฟังทุกหัวมุมตึกอีกด้วยครับ

by f11photo/ShutterStock

St.Louis Cathedral – มหาวิหารที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนิวออร์ลีนส์ ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1794 ทำให้เป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา สองด้านของมหาวิหารมีอาคารสองหลังชื่อ The Cabildo และ The Presbytere ตั้งอยู่ ในอดีตทั้งสองเคยเป็นที่ทำการของฝ่ายตุลาการ แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับตัวเมือง และเทศกาลมาร์ดิกราส์ครับ

St.Louis Cathedral
by Laura Lindon/ShutterStock

Jackson Square – จัตุรัสอันเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสันทรงม้า ซึ่งจากบริเวณจัตุรัสนี้ คุณสามารถมองเห็น St.Louis Cathedral คู่กับ Cabildo และ Presbytere อย่างชัดเจน และยังมีร้านค้าและร้านอาหารอีกจำนวนหนึ่งด้วยครับ

by Sean Pavone/ShutterStock

Preservation Hall – Preservation Hall เป็นอาคารเก่าในย่าน French Quarter ที่เป็นสถานที่แสดงดนตรีแจ๊สมายาวนานกว่า 70 ปี ปัจจุบันก็ยังมีการจัดอยู่ ถ้าใครอยากฟังดนตรีแจ๊สในบรรยากาศแบบดั้งเดิม ลองเข้าเว็บทางการเพื่อจองตั๋วครับ

Preservation Hall
by Lori Monahan Borden/ShutterStock

2. Audubon Park

Audubon Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ด้านในมีทะเลสาบ น้ำพุ โรงเลี้ยงม้า สระว่ายน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น

Audubon Zoo – สวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสวนสัตว์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง สัตว์ที่มีให้ชมมีตั้งแต่แรด นกฟลามิงโก กอริลล่า ไปจนถึงจระเข้สีขาวที่หาชมได้ยาก ในช่วงฤดูร้อน ทางสวนสัตว์จะมีกิจกรรม Cool Zoo โดยจะเพิ่มเครื่องเล่นคลายร้อนสำหรับเด็กๆ เข้ามาครับ

by Dr. Victor Wong/ShutterStock

Audubon Aquarium – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์จากน้ำจากทวีปอเมริกาเหนือและใต้มากกว่า 3,600 ตัวจาก 250 สปีชีส์ พร้อมด้วย exhibition ชั้นยอดอย่างเมืองของอารยธรรมมายาที่จมอยู่ใต้บาดาล

Audubon Insectarium – พิพิธภัณฑ์แมลงนานาชนิดที่เพิ่งกลับมาเปิดรับผู้เข้าชมอีกครั้งในปี 2023 ด้านในมีแมลงหลากหลายชนิดให้ชม พร้อมด้วยเมนูเปิปพิสดารจากแมลงชนิดต่างๆ ครับ

สำหรับค่าเข้าสถานที่ทั้ง 3 แห่งจะอยู่ที่ $30 แต่ถ้าซื้อตั๋วแบบเหมาทั้งสามแห่งจะอยู่ที่ $60 ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของ Audubon Nature Institute ครับ

3. New Orleans City Park

New Orleans City Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่อันร่มรื่นให้เหล่าชาวเมืองได้พักผ่อน นอกจากบริเวณสวนสาธารณะแล้วยังมีสวนสนุก สนามกอล์ฟ และสวนพฤกษศาสตร์อีกด้วยครับ

by Sarah Quintans/ShutterStock

แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ NOMA หรือ New Orleans Museum of Art ที่เก็บผลงานศิลปะไว้ถึง 40,000 ชิ้นจากยุคต่างๆ และยังมีสวนรูปปั้น (Sculpture Garden) ที่จัดแสดงรูปปั้นแบบร่วมสมัยครับ ถ้าใครอยากได้แรงบันดาลใจทางศิลปะแน่นอนว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

4. Mardi Gras

Mardi Gras หรือเทศกาลมาร์ดิการส์เป็นเทศกาลใหญ่ของนิวออร์ลีนส์ ซึ่งจะจัดในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี (วันจะไม่ตรงกันในแต่ละปี) แต่วันที่เทศกาลพีคที่สุดคือวัน Fat Tuesday ครับ (ก่อนหน้า Ash Wednesday) ตรวจสอบที่เว็บนี้ได้ว่าตรงกับวันที่เท่าไรครับ

Mardi Gras
by Mike Flippo/ShutterStock

ตลอดเทศกาลนั้นจะมีขบวนแห่ขนาดใหญ่หลากสีที่มี theme ที่แตกต่างกันไป ผู้เข้าร่วมก็จะแต่งกายสีสันฉูดฉาดพร้อมกับใส่หน้ากากอันเป็นเอกลักษณ์ บรรยากาศของตัวเมืองก็เป็นสุดยอดของการสังสรรค์ เรียกได้ว่าไม่ควรพลาดอย่างแน่นอนครับ

สำหรับใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวนิวออร์ลีนส์ในช่วงดังกล่าว คุณสามารถไปเที่ยว Mardi Gras World เพื่อชมส่วนต่างๆ ที่ใช้ในขบวนแห่ได้ตลอดปีครับ

5. National World War II Museum

National World War II Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของการสู้รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทั้งในยุโรป และมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะแบ่งออกได้เป็น 3 อาคารด้วยกัน

สองอาคารแรกจะจัดแสดงสิ่งของและเล่าสตอรี่เกี่ยวกับสงครามในยุโรปและแปซิฟิก ส่วนอาคารสุดท้ายจะจัดแสดงเครื่องบินที่มีบทบาทสำคัญในการรบช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินขับไล่ หรือว่าเครื่องบินขนส่งครับ

ในปี 2022 ทางพิพิธภัณฑ์ได้เพิ่มการแสดง Expression of America ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีเสียงในช่วงเย็นที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจเหตุการณ์ช่วงดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้นครับ

6. Steamboat Natchez

แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ (Mississippi River) เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ลากผ่านเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งศูนย์กลางของเมืองนั้นอยู่บริเวณโค้งใหญ่ของแม่น้ำพอดี ทำให้นักเดินทางจำนวนมากนิยมมาล่องเรือชมวิวกัน ซึ่งเรือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเรือกลไฟ Natchez (Steamboat Natchez) ครับ

ล่องแม่น้ำมิสซิสซิปปี้
by Kevin Ruck/ShutterStock

ทั้งนี้คุณสามารถล่องได้ทั้งในช่วงกลางวันและช่วงค่ำ แต่ช่วงค่ำจะน่าสนใจกว่าเพราะมีคอนเสิร์ตแจ๊สให้ฟังด้วย แถมตัวเมืองช่วงกลางคืนก็ยังงดงามกว่าตอนกลางวันด้วยครับ

7. Crescent City Connection Bridge

สะพาน Crescent City Connection หรือเรียกย่อๆ ว่า CCC เป็นสะพานขนาดใหญ่ที่เชื่อมสองฝั่งของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไว้ด้วยกัน โดยเป็นสะพานที่ใช้คานซึ่งยาวเป็นอันดับ 5 ของโลก และคับคั่งไปด้วยรถมากมายตลอดทุกช่วงเวลาครับ

by f11photo/ShutterStock

8. ชมแสงสีช่วงกลางคืน

นิวออร์ลีนส์เป็นเมืองที่โด่งดังอย่างมากในเรื่อง nightlife ดังนั้นใครที่หลงรักแสงสี คุณไม่ควรพลาดไปเยือนบาร์ที่มีหลากหลายรูปแบบตั้งแต่บาร์ดนตรี (Music Bar), แจ๊สคลับ (Jazz Club), บาร์กีฬา (Sports Bar) และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้บาร์เหล่านี้จะอยู่ใน Bourbon Street ที่ French Quarter แต่ถ้าคุณรักดนตรีแจ๊ส ผมแนะนำให้ไปที่ Frenchmen Street เพราะเป็นถิ่นดนตรีสดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิวออร์ลีนส์เลยก็ได้ครับ

9. ชิมอาหารพื้นเมือง

ท้ายที่สุดสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดทุกประการ คือการชิมอาหารพื้นเมือง ทั้งนี้อาหารของนิวออร์ลีนส์นั้นโดดเด่น ไม่เหมือนที่ใดในสหรัฐอเมริกา และรสชาติดีเยี่ยม (เท่าที่ผมได้ชิม ผมชอบอาหารสไตล์นี้เป็นอันดับต้นๆ เลยครับ)

Jumbalaya
by Ostranitsa Stanislav/ShutterStock

เมนูที่พลาดชิมไม่ได้แน่นอนว่าคือ Jumbalaya (เมนูข้าวอบกับเครื่องเทศ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์) หรือ Gumbo (สตูเนื้อสัตว์เสิร์ฟพร้อมข้าว) สองเมนูไม่เลี่ยนและบอกได้เลยว่าอร่อยทั้งคู่ครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบ Jumbalaya เป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามีให้กินที่มหาวิทยาลัยเมื่อไร ผมกวาดเรียบ

นอกจากนี้เมนูอื่นๆ อย่างเช่นเมนูจาก Crawfish ก็อร่อยเช่นกัน ส่วนของหวานนั้นต้องเมนูจากกล้วยอย่าง Bananas Foster ครับ

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

Most Popular

error: Content is protected !!