นิวออร์ลีนส์ (New Orleans) เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐหลุยเซียนา (Louisiana) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองมีชื่อเสียงอย่างมากในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมดนตรี การเป็นสถานที่จัดเทศกาลมาร์ดิกราส์ (Mardi Gras) หรือแม้กระทั่งอาหารที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนที่ใดในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นนิวออร์ลีนส์จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายในแต่ละปีให้เดินทางไปยังที่นี่ครับ
สำหรับบทความนี้จะแนะนำความเป็นมาของเมืองนิวออร์ลีนส์คร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองนิวออร์ลีนส์ (New Orleans)
นิวออร์ลีนส์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐหลุยเซียนา โดยตัวเมืองอยู่ริมแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ครับ แรกเริ่มนั้นตัวเมืองก่อตั้งโดยชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ชื่อของตัวเมืองคือ La Nouvelle-Orléans (แปลตรงตัวเป็นภาษาอังกฤษคือ New Orleans) นั้นมาจากเมืองออร์เลออง (Orleans) ในฝรั่งเศส ซึ่งดยุคแห่งออร์เลอองได้เป็นผู้สำเร็จราชการของฝรั่งเศสในเวลานั้นครับ
ช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองนี้เองได้ประสบกับปัญหาความขัดแย้งกับชาวพื้นเมือง ทำให้ขาดแรงงานที่เป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ชาวอาณานิคมจึงตัดสินใจไปนำทาสมาจากแอฟริกา เลยเกิดเป็นชุมชนชาวผิวดำขึ้นที่นี่ หลังจากนั้นนิวออร์ลีนส์จึงรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นเมืองท่าที่สำคัญในเส้นทางการค้าขายตามมหาสมุทรแอตแลนติกของฝรั่งเศสครับ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในสงครามเจ็ดปี ดินแดนส่วนนี้จึงถูกส่งมอบให้กับสเปนตามสนธิสัญญาสงบศึก ทว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา นิวออร์ลีนส์ก็ได้กลายเป็นเมืองที่ใช้ส่งอาวุธตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ให้กับอาณานิคมทั้ง 13 ในสงครามปฏิวิติอเมริกันครับ
นิวออร์ลีนส์ได้กลับมาเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาที่ได้ทำกับจักรวรรดิสเปน โดยสเปนจะส่งมอบดินแดนหลุยเซียนากลับคืนให้ฝรั่งเศส แลกกับดินแดนบางส่วนในทัสคานี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี) แต่อีกไม่กี่ปีต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของนโปเลียนก็ขายดินแดนที่ได้มานี้ร่วมกับดินแดนส่วนอื่นๆ กับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ตั้งใหม่เป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านดอลลาร์
หลังจากนั้นนิวออร์ลีนส์ได้กลายเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยมีตั้งแต่ชนเชื้อสายยุโรป แอฟริกา ละตินอเมริกัน (จากเม็กซิโกและอาณานิคมของสเปน) ทำให้ในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองนั้น นิวออร์ลีนส์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา (ใหญ่กว่าแอตแลนตาและเมืองอื่นๆ ที่ใหญ่กว่านิวออร์ลีนส์ในปัจจุบัน) ส่วนหนึ่งเพราะเมืองได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ประชากรในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองมีมากถึง 170,000 คนเลยทีเดียว
สงครามกลางเมืองอเมริกันได้เปลี่ยนนิวออร์ลีนส์ไปอย่างถาวร กองทัพสหภาพ (Union) ได้เข้ายึดเมืองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นสงคราม และได้สั่งให้หยุดการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสในเมืองทั้งหมด และเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น สื่งนี้ทำให้ชุมชนนิวออร์ลีนส์ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างเฟื่องฟูตลอดเวลากว่าศตวรรษครึ่งได้เสื่อมถอยลง ก่อนที่จะหมดสิ้นไปในไม่กี่สิบปีต่อมา
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีการสร้างทางรถไฟขนานใหญ่ทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ทำให้การขนส่งทางน้ำที่เป็นกุญแจสำคัญของความมั่งคั่งของเมืองถูกลดทอนความสำคัญลง การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองจึงไปเกิดขึ้นยังเมืองอื่นๆ จริงอยู่ว่าตัวเมืองยังเติบโตอยู่ทั้งเรื่องประชากร และความมั่งคั่ง แต่ช้ากว่าที่อื่นๆ อย่างดัลลัส ฮูสตัน หรือแอตแลนตา ลำดับความสำคัญของเมืองจึงลดต่ำลงมาจนในช่วงปี ค.ศ.1950 นิวออร์ลีนส์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้อีกต่อไป
สิ่งที่ยังคงอยู่กับนิวออร์ลีนส์ก็คือวัฒนธรรมที่เกิดจากการผสมผสานของหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีแจ๊ส ทำให้นิวออร์ลีนส์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่หลายคนอยากเดินทางมาสัมผัส ตราบมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังนิวออร์ลีนส์ทำอย่างไร?
วิธีการเดินทางไปนิวออร์ลีนส์ที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องบิน เพราะแทบทุกสายการบินมีเที่ยวบินมายังนิวออร์ลีนส์จากเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก บอสตัน ลอสแองเจลิส ชิคาโก ซานฟรานซิสโก หรือฟิลาเดลเฟียครับ
สำหรับใครที่จะเดินทางไปนิวออร์ลีนส์จากประเทศไทย ในแทบทุกกรณี คุณจะต้องเปลี่ยนเครื่องบิน 2 ครั้ง (ไม่ว่าจะเลือกสายการบินใดก็ตาม) โดยอย่างเร็วที่สุดคุณจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 24-28 ชั่วโมง (รวมเวลาแวะพักแล้ว)
นิวออร์ลีนส์ปลอดภัยหรือไม่?
ในเชิงสถิติโดยรวมแล้ว นิวออร์ลีนส์มีอาชญากรรมสูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศมาก ทว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในโซนนักท่องเที่ยว ดังนั้นถ้าในโซนเมือง (metro area) จะมีอาชญากรรมที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศอยู่พอสมควร
ดังนั้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนคนเดียวในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกโซนท่องเที่ยวที่ไม่ควรไปเด็ดขาด ซอยหรือตรอกมืดๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ถ้าจะกลับที่พักในช่วงกลางคืน อย่าเสียดายเงินที่จะเรียกแท็กซี่ครับ
ท้ายที่สุดถ้าเป็นไปได้ คุณควรจะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังนิวออร์ลีนส์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม เพราะพายุเฮอริเคนจะพัดถล่มนิวออร์ลีนส์ทุกปี และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งบางปี (อย่างเช่นปี 2005 เรียกได้ว่าวินาศสันตะโรเลยครับ
1. French Quarter
French Quarter เป็นย่านเมืองเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ชาวฝรั่งเศสปกครองนิวออร์ลีนส์ ด้านในย่านมีอาคารโบราณซึ่งบางแห่งมีอายุกว่า 300 ปีและมีความคล้ายคลึงกับย่านเมืองเก่าของฝรั่งเศสอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างขึ้นในยุคหลัง
ปัจจุบันอาคารในย่านนี้เปลี่ยนเป็นร้านค้าและร้านอาหารที่รองรับนักเดินทางที่มีสัมผัสบรรยากาศ ทั้งนี้ในย่านนี้มีจุดที่คุณไม่ควรพลาดดังต่อไปนี้
Bourbon Street – ศูนย์กลางของย่าน French Quarter ที่จะกลายเป็นย่านแสงสีสำหรับใครที่หลงรักการเที่ยวกลางคืน บริเวณถนนสายนี้มีทั้งร้านอาหารและบาร์คุณภาพเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีดนตรีแจ๊สสดให้ฟังทุกหัวมุมตึกอีกด้วยครับ
St.Louis Cathedral – มหาวิหารที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนิวออร์ลีนส์ ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1794 ทำให้เป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา สองด้านของมหาวิหารมีอาคารสองหลังชื่อ The Cabildo และ The Presbytere ตั้งอยู่ ในอดีตทั้งสองเคยเป็นที่ทำการของฝ่ายตุลาการ แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับตัวเมือง และเทศกาลมาร์ดิกราส์ครับ
Jackson Square – จัตุรัสอันเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสันทรงม้า ซึ่งจากบริเวณจัตุรัสนี้ คุณสามารถมองเห็น St.Louis Cathedral คู่กับ Cabildo และ Presbytere อย่างชัดเจน และยังมีร้านค้าและร้านอาหารอีกจำนวนหนึ่งด้วยครับ
Preservation Hall – Preservation Hall เป็นอาคารเก่าในย่าน French Quarter ที่เป็นสถานที่แสดงดนตรีแจ๊สมายาวนานกว่า 70 ปี ปัจจุบันก็ยังมีการจัดอยู่ ถ้าใครอยากฟังดนตรีแจ๊สในบรรยากาศแบบดั้งเดิม ลองเข้าเว็บทางการเพื่อจองตั๋วครับ
2. Audubon Park
Audubon Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ด้านในมีทะเลสาบ น้ำพุ โรงเลี้ยงม้า สระว่ายน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น
Audubon Zoo – สวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสวนสัตว์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง สัตว์ที่มีให้ชมมีตั้งแต่แรด นกฟลามิงโก กอริลล่า ไปจนถึงจระเข้สีขาวที่หาชมได้ยาก ในช่วงฤดูร้อน ทางสวนสัตว์จะมีกิจกรรม Cool Zoo โดยจะเพิ่มเครื่องเล่นคลายร้อนสำหรับเด็กๆ เข้ามาครับ
Audubon Aquarium – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์จากน้ำจากทวีปอเมริกาเหนือและใต้มากกว่า 3,600 ตัวจาก 250 สปีชีส์ พร้อมด้วย exhibition ชั้นยอดอย่างเมืองของอารยธรรมมายาที่จมอยู่ใต้บาดาล
Audubon Insectarium – พิพิธภัณฑ์แมลงนานาชนิดที่เพิ่งกลับมาเปิดรับผู้เข้าชมอีกครั้งในปี 2023 ด้านในมีแมลงหลากหลายชนิดให้ชม พร้อมด้วยเมนูเปิปพิสดารจากแมลงชนิดต่างๆ ครับ
สำหรับค่าเข้าสถานที่ทั้ง 3 แห่งจะอยู่ที่ $30 แต่ถ้าซื้อตั๋วแบบเหมาทั้งสามแห่งจะอยู่ที่ $60 ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของ Audubon Nature Institute ครับ
3. New Orleans City Park
New Orleans City Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่อันร่มรื่นให้เหล่าชาวเมืองได้พักผ่อน นอกจากบริเวณสวนสาธารณะแล้วยังมีสวนสนุก สนามกอล์ฟ และสวนพฤกษศาสตร์อีกด้วยครับ
แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ NOMA หรือ New Orleans Museum of Art ที่เก็บผลงานศิลปะไว้ถึง 40,000 ชิ้นจากยุคต่างๆ และยังมีสวนรูปปั้น (Sculpture Garden) ที่จัดแสดงรูปปั้นแบบร่วมสมัยครับ ถ้าใครอยากได้แรงบันดาลใจทางศิลปะแน่นอนว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
4. Mardi Gras
Mardi Gras หรือเทศกาลมาร์ดิการส์เป็นเทศกาลใหญ่ของนิวออร์ลีนส์ ซึ่งจะจัดในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี (วันจะไม่ตรงกันในแต่ละปี) แต่วันที่เทศกาลพีคที่สุดคือวัน Fat Tuesday ครับ (ก่อนหน้า Ash Wednesday) ตรวจสอบที่เว็บนี้ได้ว่าตรงกับวันที่เท่าไรครับ
ตลอดเทศกาลนั้นจะมีขบวนแห่ขนาดใหญ่หลากสีที่มี theme ที่แตกต่างกันไป ผู้เข้าร่วมก็จะแต่งกายสีสันฉูดฉาดพร้อมกับใส่หน้ากากอันเป็นเอกลักษณ์ บรรยากาศของตัวเมืองก็เป็นสุดยอดของการสังสรรค์ เรียกได้ว่าไม่ควรพลาดอย่างแน่นอนครับ
สำหรับใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวนิวออร์ลีนส์ในช่วงดังกล่าว คุณสามารถไปเที่ยว Mardi Gras World เพื่อชมส่วนต่างๆ ที่ใช้ในขบวนแห่ได้ตลอดปีครับ
5. National World War II Museum
National World War II Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของการสู้รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทั้งในยุโรป และมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะแบ่งออกได้เป็น 3 อาคารด้วยกัน
สองอาคารแรกจะจัดแสดงสิ่งของและเล่าสตอรี่เกี่ยวกับสงครามในยุโรปและแปซิฟิก ส่วนอาคารสุดท้ายจะจัดแสดงเครื่องบินที่มีบทบาทสำคัญในการรบช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินขับไล่ หรือว่าเครื่องบินขนส่งครับ
ในปี 2022 ทางพิพิธภัณฑ์ได้เพิ่มการแสดง Expression of America ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีเสียงในช่วงเย็นที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจเหตุการณ์ช่วงดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้นครับ
6. Steamboat Natchez
แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ (Mississippi River) เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ลากผ่านเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งศูนย์กลางของเมืองนั้นอยู่บริเวณโค้งใหญ่ของแม่น้ำพอดี ทำให้นักเดินทางจำนวนมากนิยมมาล่องเรือชมวิวกัน ซึ่งเรือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเรือกลไฟ Natchez (Steamboat Natchez) ครับ
ทั้งนี้คุณสามารถล่องได้ทั้งในช่วงกลางวันและช่วงค่ำ แต่ช่วงค่ำจะน่าสนใจกว่าเพราะมีคอนเสิร์ตแจ๊สให้ฟังด้วย แถมตัวเมืองช่วงกลางคืนก็ยังงดงามกว่าตอนกลางวันด้วยครับ
7. Crescent City Connection Bridge
สะพาน Crescent City Connection หรือเรียกย่อๆ ว่า CCC เป็นสะพานขนาดใหญ่ที่เชื่อมสองฝั่งของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไว้ด้วยกัน โดยเป็นสะพานที่ใช้คานซึ่งยาวเป็นอันดับ 5 ของโลก และคับคั่งไปด้วยรถมากมายตลอดทุกช่วงเวลาครับ
8. ชมแสงสีช่วงกลางคืน
นิวออร์ลีนส์เป็นเมืองที่โด่งดังอย่างมากในเรื่อง nightlife ดังนั้นใครที่หลงรักแสงสี คุณไม่ควรพลาดไปเยือนบาร์ที่มีหลากหลายรูปแบบตั้งแต่บาร์ดนตรี (Music Bar), แจ๊สคลับ (Jazz Club), บาร์กีฬา (Sports Bar) และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้บาร์เหล่านี้จะอยู่ใน Bourbon Street ที่ French Quarter แต่ถ้าคุณรักดนตรีแจ๊ส ผมแนะนำให้ไปที่ Frenchmen Street เพราะเป็นถิ่นดนตรีสดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิวออร์ลีนส์เลยก็ได้ครับ
9. ชิมอาหารพื้นเมือง
ท้ายที่สุดสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดทุกประการ คือการชิมอาหารพื้นเมือง ทั้งนี้อาหารของนิวออร์ลีนส์นั้นโดดเด่น ไม่เหมือนที่ใดในสหรัฐอเมริกา และรสชาติดีเยี่ยม (เท่าที่ผมได้ชิม ผมชอบอาหารสไตล์นี้เป็นอันดับต้นๆ เลยครับ)
เมนูที่พลาดชิมไม่ได้แน่นอนว่าคือ Jumbalaya (เมนูข้าวอบกับเครื่องเทศ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์) หรือ Gumbo (สตูเนื้อสัตว์เสิร์ฟพร้อมข้าว) สองเมนูไม่เลี่ยนและบอกได้เลยว่าอร่อยทั้งคู่ครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบ Jumbalaya เป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามีให้กินที่มหาวิทยาลัยเมื่อไร ผมกวาดเรียบ
นอกจากนี้เมนูอื่นๆ อย่างเช่นเมนูจาก Crawfish ก็อร่อยเช่นกัน ส่วนของหวานนั้นต้องเมนูจากกล้วยอย่าง Bananas Foster ครับ
References
- New Orleans Official Travel Site
- Preservation Hall Official Site
- Cathedral Basilica of St. Louis King of France
- Audubon Nature Institute
- Mardi Gras New Orleans Official Site
- Expression of America