โอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองเอกของภูมิภาคคันไซซึ่งอยู่ทางตอนกลางของญี่ปุ่น โดยเป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ คมนาคม การค้า และการเงิน ถ้าเปรียบกันในเรื่องของประชากรนั้น โอซาก้าด้อยกว่าเพียงกรุงโตเกียวและโยโกฮาม่าเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอซาก้าอีกด้วย
ด้วยความที่โอซาก้าเป็นประตูสู่สถานที่เที่ยวสำคัญในภูมิภาค อย่างเช่นเกียวโต และมีย่านการค้าและร้านอาหารจำนวนมากมายที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นเมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยครับ
สำหรับบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับโอซาก้าคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองโอซาก้า (Osaka)
โอซาก้าเป็นเมืองริมทะเลเช่นเดียวกับอีกหลายเมืองสำคัญของญี่ปุ่น โดยฝั่งตะวันตกของเมืองนั้นติดกับอ่าวโอซาก้า (Osaka Bay) ซึ่งนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมองว่าในอดีตพื้นที่ส่วนนี้น่าจะเคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อน
ตัวเมืองนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบซากโบราณสถานและโบราณวัตถุอยู่หลายจุด ก่อนที่เริ่มมีผู้อยู่อาศัยและพัฒนาขึ้นเป็นเมืองท่าอย่างช้าๆ เมื่อประมาณเกือบสองพันปีก่อนครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 7 นั้นจักรพรรดิญี่ปุ่นบางพระองค์ได้ทรงโปรดให้สร้างวังและสถานที่พำนักขึ้นที่บริเวณตัวเมืองขึ้น ทำให้โอซาก้ามีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศเลยก็ว่าได้ ช่วงเวลานี้นั้นโอซาก้าปรากฏชื่อในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่านานิวะ (Naniwa) ทว่าโอซาก้าก็เป็นเมืองหลวงได้ไม่นานนัก เมืองก็ถูกย้ายไปที่อาสุกะ นารา และเกียวโตตามลำดับ
แม้ว่าจะเสียสถานะเมืองหลวงไปแล้ว แต่โอซาก้ายังเป็นเมืองสำคัญ เพราะเป็นเมืองท่าที่ญี่ปุ่นใช้ติดต่อกับจีนและเกาหลี และรับแนวทางการปกครอง วัฒนธรรม และศาสนามาจากทั้งสองประเทศครับ
ในสมัยเฮอันจนถึงเซ็นโกกุนั้น โอซาก้ารุ่งโรจน์ขึ้นในสถานะเมืองเอกทางด้านเศรษฐกิจ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 16 นั้นโอซาก้าต้องเผชิญกับไฟสงครามระหว่างโอดะ โนบุนากะกับกลุ่มนักบวชอิกโก อิกกิ (Ikko-Ikki) ที่สร้างวัดอิชิยามะฮอนกันจิเป็นฐานที่มั่นใหญ่ สงครามจบลงด้วยชัยชนะเด็ดขาดของโนบุนากะ ทำให้วัดถูกทำลาย และตัวเมืองน่าจะได้รับความเสียหายไปไม่น้อย
หลังจากฮิเดโยชิขึ้นมามีอำนาจ เขาได้มีคำสั่งให้สร้างปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ขึ้นโดยเลียนแบบปราสาทอะสึจิที่เมืองโอมิฮาจิมังของโนบุนากะ แต่ยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่า ทว่ากว่าปราสาทจะสร้างเสร็จ ฮิเดโยชิอยู่ได้ปีเดียวเท่านั้นก็สิ้นชีวิต
ต่อมาปราสาทโอซาก้าได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแย่งชิงอำนาจของตระกูลโตกุกาวะและตระกูลโทโยโตมิของฮิเดโยชิ เพราะการต่อสู้ที่นี่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ยุทธการแห่งปราสาทโอซาก้าจบลงด้วยชัยชนะของตระกูลโตกุกาวะ และได้ครองแผ่นดินญี่ปุ่นไปอีกสองศตวรรษ
ในสมัยเอโดะ โอซาก้าเป็นเมืองท่าที่คับคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าข้าวที่รุ่งโรจน์มาก จนนำไปสู่การจัดตั้งตลาดการเงินฟิวเจอร์ส (Futures Market) แห่งแรกของโลกอีกด้วยในปี ค.ศ.1697 ขณะที่วัฒนธรรมและศิลปะก็เฟื่องฟูเห็นได้จากโรงละครคาบูกิและบุนราคุที่มีจำนวนมากมายในเมืองครับ
ทว่าในปี ค.ศ.1837 ในเมืองโอซาก้าได้เกิดการกบฏครั้งใหญ่นำโดยซามูไรชั้นผู้น้อย ซึ่งทำให้ตัวเมืองเสียหายยับเยินไปถึงหนึ่งในสี่ หลังจากนั้นไม่กี่ทศวรรษ โอซาก้าได้เป็นหนึ่งในสองเมืองท่าคู่กับโกเบที่เปิดให้กับพ่อค้าต่างชาติครับ
ช่วงต้นของยุคเมจิเป็นช่วงที่โอซาก้าซบเซา ส่วนหนึ่งเพราะการย้ายเมืองหลวง (อย่างเป็นทางการ) ของเกียวโตไปยังเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) แต่ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรม ทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ.1925 นั้นโอซาก้าเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นลำดับ 6 ของโลกเลยครับ
สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงที่โอซาก้าถูกทิ้งระเบิดหนักมาก ทำให้อาคารสมัยสงครามแทบไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน แต่ก็มีประโยชน์ที่ว่าตัวเมืองได้รับการวางผังเมืองใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นโอซาก้าได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี ค.ศ.1950-1980 ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองโอซาก้า (Osaka) ทำอย่างไร?
คุณสามารถบินจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินคันไซ (Kansai International Airport) ได้เลย หลังจากนั้นก็ต่อรถบัสหรือรถไฟ (Airport Express Haruka) เข้าเมืองครับ
แต่ถ้าคุณอยู่ที่เมืองอื่นๆ คุณสามารถใช้บริการ Tokaido Shinkansen (สำหรับเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกอย่างเช่นโตเกียว นาโกย่า หรือเกียวโต) หรือ Sanyo Shinkansen สำหรับเมืองที่อยู่ทิศตะวันตกอย่างเช่นฟุกุโอกะหรือฮิโรชิม่า โดยไปลงที่สถานี Shin-Osaka Station หลังจากก็ใช้บริการของ Osaka Metro ไปยังสถานที่ต้องการต่อไป
การสัญจรในเมืองโอซาก้าทำอย่างไร?
การสัญจรในเมืองโอซาก้านั้นง่ายดายและสะดวกสบาย เพราะมีรถไฟและรถไฟใต้ดินเชื่อมทุกส่วนของเมือง ทำให้การเดินทางไปจุดต่างๆ ใช้เวลาไม่นานนัก
ประหยัดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ อย่างไร?
คุณสามารถซื้อ Osaka e-Pass ในราคา 2,000 เยนต่อวัน เพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวกว่า 25 แห่งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
1. ปราสาทโอซาก้า
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เป็นปราสาทอันยิ่งใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยฮิเดโยชิ โทโยโตมิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่หลังจากสร้างเสร็จ เขาอยู่ได้แค่ปีเดียวเท่านั้นก็สิ้นชีวิต
ตัวปราสาทได้ถูกทำลายโดยกองทัพฝ่ายโตกุกาวะหลังจากนั้นไม่นาน ก่อนที่จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามคำสั่งของโชกุนโตกุกาวะ ฮิเดทาดะ ทว่าอีก 3 ทศวรรษต่อมา ปราสาทโอซาก้าก็วอดวายทั้งหลังเพราะไฟไหม้หลังจากโดนฟ้าผ่า และไม่ได้รับการสร้างใหม่อีกเลย จนกระทั่งถึงช่วงปี ค.ศ.1931 ครับ
ปัจจุบันปราสาทโอซาก้าได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกัน ด้านในเล่าประวัติความเป็นมาของตัวปราสาท รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ของฮิเดโยชิ โทโยโตมิ ผู้สร้างปราสาทแห่งนี้ครับ ส่วนชั้นบนสุดนั้นจะเป็นจุดชมวิวที่คุณจะได้ชมความสวยงามของเมืองโอซาก้าอย่างเต็มๆ ตาครับ
นอกบริเวณปราสาทนั้นจะสวนญี่ปุ่นตั้งอยู่ชื่อสวนนิชิโนะมารุ (Nishinomaru Garden) ที่มีต้นซากุระกว่า 600 ต้น ทำให้ที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไปโดยปริยาย ในช่วงเดือนเมษายน ชาวญี่ปุ่นมักจะมาปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กันที่นี่ครับ
ค่าเข้าชม: 600 เยน อ้างอิงจากเว็บทางการของปราสาท
2. สุสานจักรพรรดินินโตคุ
สุสานจักรพรรดินินโตคุ (Tomb of Emperor Nintoku) หรือไดเซน โคฟุน (Daisen Kofun) เป็นสุสานทรงรูกุญแจ (หรือที่เรียกว่าโคฟุน) ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และถ้าวัดกันด้วยความยาวหรือเส้นผ่านศูนย์กลางนั้น นี่อาจจะเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ถึงขนาดที่เห็นได้จากอากาศอย่างชัดเจนครับ
อายุของสุสานแห่งนี้น่าจะ 1,500 ปี ซึ่งอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับสุสานลักษณะนี้ที่อยู่ใกล้กัน (เรียกรวมๆ ว่าหมู่สุสานโมสุ หรือ Mozu Tombs) และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันดับต้นๆ ของยุคโคฟุน (ค.ศ.300-538) ครับ
บริเวณสุสานนั้นมีต้นไม้มากมาย และมีเส้นทางให้คุณเดินตามเส้นรอบวงได้ แต่ด้านในสุสานนั้นไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครับ
3. วัดชิเต็นโนจิ
วัดชิเต็นโนจิ (Shitennoji Temple) เป็นวัดในพุทธศาสนาแห่งแรกๆ ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นวัดแห่งแรกที่สร้างขึ้นด้วยราชสำนัก โดยสร้างขึ้นโดยเจ้าชายโชโตคุในปี ค.ศ.593 หลังจากที่พุทธศาสนาแพร่เข้าไปญี่ปุ่นผ่านดินแดนเกาหลีครับ อย่างไรก็ดีอาคารของเดิมนั้นพังทลายไปหมดแล้ว อาคารที่เห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการสร้างใหม่ในช่วงปี ค.ศ.1963 ครับ
ด้านในมีหอพระที่ประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม (หรือคันนงในภาษาญี่ปุ่น) เจดีย์ห้าชั้น และอาคารที่ใช้เก็บรักษารูปแกะสลักรูปเต่าสมัยศตวรรษที่ 7 ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเดียวกับอาคารและประตูอื่นๆ อีกหลายแห่ง
นอกจากนี้ในวัดยังมีสวนด้วยเช่นกัน ชื่อว่าสวนโกคุราคุ-โจโด (Gokuraku-Jodo) ที่เนรมิตเป็นดินแดนสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธเจ้าตามที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ อีกแห่งที่น่าสนใจคือพิพิธภัณฑ์ที่เก็บปูชนียวัตถุมากมายที่เกี่ยวข้องกับตัววัด ใครที่ชอบประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเลยครับ
ค่าเข้าชม: 300 เยน (วัดส่วนใน), 500 เยน (สวน) และ 500 เยน (พิพิธภัณฑ์)
4. ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทฉะ
ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทฉะ (Sumiyoshi Taisha) เป็นศาลเจ้าประธานของศาลเจ้าสุมิโยชิมากกว่า 2,000 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ตัวศาลเจ้านั้นมีประวัติย้อนไปได้ 1,800 ปีก่อน โดยสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบที่ไม่เหมือนใคร หรือเรียกว่าสุมิโยชิสุคุริ
สถาปัตยกรรมนี้จะเป็นแบบญี่ปุ่นแท้ โดยไม่ได้มีแบบอื่นจากจีนและเกาหลีมาผสมเลยครับ (อีกหนึ่งตัวอย่างคือชินเมอิสุคุริที่ใช้สร้างศาลเจ้าอิเสะครับ) หลังคาของศาลเจ้าแบบนี้จะตั้งตรง ตบแต่งด้วยปลายง่ามสองด้าน และมักจะมีรั้วกั้นครับ
ด้านในศาลเจ้าอุทิศให้กับเทพเจ้าชินโตสี่องค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ช่วยเหลือเรื่องความปลอดภัย การศึก เกษตรกรรม ไปจนถึงซูโม่ ทำให้ที่นี่ดึงดูดศาสนิกผู้นับถือจำนวนมากมาตั้งแต่โบราณ ปัจจุบันที่นี่ยังเป็นศาลเจ้าที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในช่วงปีใหม่ครับ
การเรียงของศาลเจ้านั้นก็มีนัยยะเช่นกัน เพราะศาลเจ้าสามหลังจะเรียงเป็นแนวตั้ง แต่หลังสุดท้ายจะตั้งอยู่ด้านข้างของหลังที่สาม บ้างว่าเป็นการเรียงแบบเดียวกับกระบวนเรือที่ออกทะเล หรือแม้กระทั่งออกศึกครับ
หนึ่งในจุดสวยที่นิยมไปถ่ายรูปกันคือสะพานโซริฮาชิ (Sorihashi Bridge) หรืออีกชื่อว่าไทโกะบาชิ (Taiko Bashi) สะพานสีแดงที่พาดผ่านสระน้ำในสวนญี่ปุ่นด้านในศาลเจ้าครับ ตามความเชื่อแล้วนั้น การเดินข้ามสะพานแห่งนี้ช่วยให้จิตใจของคุณบริสุทธิ์ครับ
5. Universal Studios Japan
Universal Studios Japan เป็นสวนสนุกแห่งแรกของเครือนี้ที่เปิดทำการในทวีปเอเชีย ก่อนที่ครองตำแหน่งอันดับ 2 สวนสนุกยอดนิยมของประเทศ โดยเป็นรองแค่ Disneyland Tokyo เท่านั้นครับ
ปัจจุบัน Universal Studios Japan ได้รับการขยายให้ใหญ่โตกว่าตอนที่เริ่มสร้างมาก โดยมีถึง 10 โซนด้วยกัน โซนที่ได้รับความนิยมมากอย่างเช่น Harry Potter ไปจนถึง Jurassic Park และ Super Nintendo World ซึ่งแต่ละโซนมีเครื่องเล่นมากมายที่ให้ประสบการณ์เหมือนกับว่าคุณได้เข้าไปอยู่ในโลกของภาพยนตร์ เช่น Flight of the Hippogriff เป็นต้นครับ
นอกจากนี้ยังมีการแสดงโชว์อีกสิบกว่าชนิดให้ได้ดูกันอย่างเต็มอิ่ม รวมไปถึงร้านค้าและร้านอาหารที่ตบแต่งใน theme อันหลากหลาย และยังมีร้านค้าให้คุณได้จับจ่ายซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยครับ เรียกได้ว่าที่นี่เที่ยวได้ทุกเพศทุกวัยเลยทีเดียว
สำหรับค่าเข้านั้นอยู่ที่ 8,600 เยนต่อวัน (หรือประมาณ 2,165 บาท) โดยตั๋วซื้อได้ผ่าน Klook ครับ
6. เดินเล่นและช้อปปิ้งที่เขตมินามิ
มินามิ (Minami) เป็นศูนย์กลางเมืองทางตอนใต้ของตัวเมืองโอซาก้า ซึ่งประกอบด้วยถนนคนเดิน ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนมากมายที่จะตั้งอยู่ล้อมรอบสถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station) ครับ จุดที่คุณน่าไปเยือนได้แก่
โดตงโบริ (Dotonbori) – ถนนคนเดินยามค่ำคืนที่เลียบไปกับคลองชื่อเดียวกัน ที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นถนนคนเดินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยเอโดะซึ่งบริเวณนี้เต็มไปด้วยโรงน้ำชา โรงละครคาบูกิ ฯลฯ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นแหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์รวมร้านอาหารมากมายในปัจจุบัน
แลนด์มาร์กของที่นี่ที่หลายคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างคือคือป้ายนักวิ่งกูลิโกะ และปูคานิโดรากุครับ
อเมริกามุระ (Amerikamura) – ย่านที่หลายคนเปรียบว่าเหมือนกับฮาราจูกุของโอซาก้า เพราะเป็นแหล่งรวมแฟชั่นและวัฒนธรรมของวัยรุ่นญี่ปุ่น โดยในอดีตนั้นเคยเป็นร้านขายเครื่องแต่งกายที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกาครับ
ถนนชินไซบาชิ (Shinsaibashi) – ถนนคนเดินความยาว 600 เมตรที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งระดับ upmarket ที่มีทั้งแบรนด์จากต่างชาติไปจนถึงช่างทอคิโมโนอันสวยงามและประณีต ที่นี่มีประวัติความเป็นมาเกือบ 400 ปี โดยเป็นถนนคนเดินที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยเอโดะครับ
Den Den Town – ย่านที่ตั้งอยู่บริเวณถนนซากาอิสุจิ ที่นี่พูดได้ว่าเป็นอากิฮาบาระของโอซาก้า เพราะเต็มไปด้วยร้านค้าที่ขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ Den Den Town ยังเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมอนิเมะและมังงะของเมืองอีกด้วย เนื่องจากเป็นที่ตั้งของถนนโอตะ (Ota Road) ที่ให้คุณได้ซื้อสินค้าที่คุณปรารถนา สุ่มกาชาปอง หรือแม้กระทั่งไปเยี่ยมเยือนคาเฟ่แบบ maid และ cosplay ที่หลายคนน่าจะชื่นชอบครับ
Hozenji Yokocho Alley – โตรกเล็กๆที่มีร้านอาหารและอิซากายะแบบดั้งเดิมที่ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากมีความรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีต (เพราะให่ฟีลแบบ Naniwa Style) เช่นเดียวกับย่าน Pontocho ของเกียวโต ที่นี่มีชื่อมากเรื่องโอโคโนมิยากิและอาหารเสียบไม้ต่างๆ ครับ
7. ตลาดคุโรมง
ตั้งอยู่ที่เขตมินามิ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เปรียบได้ว่าเป็นตลาดซึกิจิของเมืองโอซาก้า เพราะเป็นตลาดอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ามากกว่า 150 แห่งให้กับชาวเมืองและเจ้าของร้านอาหารต่างๆ ในเมือง เช่นเดียวกับสินค้าและของสดอื่นๆ ตัวตลาดนั้นมีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เลยครับ
เช่นเดียวกับตลาดลักษณะเดียวกันในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ที่นี่มีร้านอาหารให้คุณได้ลิ้มลองซูชิ ซาชิมิ ไปจนถึงไคเซนด้งในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปด้วยเช่นกันครับ
8. ชมการแสดงพื้นเมือง
บุนราคุ (Bunraku) เป็นการแสดงพื้นเมืองในเริ่มต้นในโอซาก้าตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 โดยเป็นการแสดงหุ่นกระบอกที่มี storyline อันหลากหลาย และมีดนตรีพื้นบ้านประกอบการแสดงด้วยครับ
ปัจจุบันคุณสามารถไปชมการแสดงดังกล่าวได้ที่ National Bunraku Theatre ที่ตั้งอยู่ในเขตมินามิของเมืองครับ การแสดงบางรอบจะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดีครับ ในส่วนของค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 5,500 เยน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของ Japan Arts Council ครับ)
อีกหนึ่งการแสดงพื้นเมืองที่น่าสนใจคือคาบูกิ (Kabuki) การแสดงแบบ dance drama ของญี่ปุ่นที่มีเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะเป็นเอกลักษณ์ นอกจากโตเกียว (ย่านกินซ่า) แล้วอีกหนึ่งแห่งที่น่าไปชมการแสดงคาบูกิก็คือที่ Shochikuza Theater ที่ตั้งอยู่ในเขตมินามิของเมืองโอซาก้าครับ
9. เยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
โอซาก้ามีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่ควรค่าต่อการไปเยือน บางแห่งนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นระดับท็อปๆ ของประเทศเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น
Osaka Aquarium หรือ Kaiyukan – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ต้องเนรมิตระบบนิเวศของมหาสมุทรแปซิฟิกให้เสมือนจริงเพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้กับประชาชนทั่วไป ด้านในมีสัตว์รวมแล้วกว่า 30,000 ตัวจาก 620 สปีชีส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉลามวาฬที่เปรียบเป็นเหมือนพระเอกของที่นี่ครับ
ค่าเข้าชมที่นี่อยู่ที่ 2,700 เยนครับ (อ้างอิงจากเว็บของพิพิธภัณฑ์)
Osaka Museum of History – ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทโอซาก้า ที่นี่จะเล่าเรื่องราวของเมืองโอซาก้าตั้งแต่ยุคที่ยังมีนามว่านานิวะมาจนถึงปัจจุบัน คุณจะได้รับชมโบราณวัตถุและสื่อการเรียนรู้อันหลากหลายที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 1,400 ปีของเมืองแห่งนี้ครับ ค่าเข้าชม: 600 เยน
Osaka Museum of Science – พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ธรณีวิทยา ดาราศาสตร์ ฯลฯ
Osaka Museum of Natural History – พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่มีไฮไลท์อยู่ที่ซากฟอสซิลไดโนเสาร์ และช้างโบราณ Mastodon รวมไปถึงซากที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย และความรู้อีกเพียบ ค่าเข้าชม: 300 เยน
10. Expo ’70 Commemorative Park
Expo ’70 Commemorative Park เป็นสวนสาธารณะที่เคยเป็นสถานที่จัดงาน World Expo แห่งปี ค.ศ.1970 ซึ่งเป็นงานระดับโลกที่โอซาก้าได้รับเกียรติเป็นเมืองเจ้าภาพ ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีต้นซากุระมากกว่า 5,000 ต้น ทำให้ได้ที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโอซาก้าแห่งหนึ่ง และได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีครับ
ด้านในสวนจะมีสวนย่อยให้ชมอย่างเช่นสวนญี่ปุ่น (Japanese Garden) ที่สวยงาม หรือ Natural and Cultural Gardens ที่ตั้งอยู่รอบ Tower of the Sun หนึ่งในสัญลักษณ์ของงาน Expo ครั้งดังกล่าวครับ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสวนดอกไม้ตามฤดูกาลเช่นทิวลิป กุหลาย และป็อปปี้ด้วยครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ครับว่ามีดอกอะไรบ้าง
นอกจากนี้บริเวณสวนยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่นพิพิธภัณฑ์สิ่งของพื้นบ้าน และพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาที่มีวัตถุที่น่าสนใจให้ชมอีกมากมายครับ แต่ถ้าไม่ชอบเดินพิพิธภัณฑ์ คุณอาจจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเข้า Expocity ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ากว่า 300 ร้านครับ
11. ย่านชินเซไค
ข้อควรทราบ
ทั้งนี้ย่านชินเซไคเคยมีกิตติศัพท์ว่าเป็นย่านที่อันตรายที่สุดของญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเพราะอาชญากรรมและความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่นี่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และมีคนไร้บ้านอยู่จำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับสถานที่แนวสีเทาจำนวนมาก
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันอาชญากรรมนั้นไม่ได้มากเท่ากับในอดีตแล้ว ทำให้ย่านนี้โดยรวมมีความปลอดภัยที่ดีขึ้น (แต่ในช่วงแย่ๆ ก็ไม่เท่าในเมืองของสหรัฐอเมริกาอย่างเช่นแอตแลนตาหรือนิวออร์ลีนส์) โดยส่วนตัวผมมองว่าสามารถไปได้ แต่ว่าควรจะระมัดระวังมากกว่าสถานที่อื่นๆ ในญี่ปุ่นเท่านั้นเองครับ
ย่านชินเซไค (Shinsekai) เป็นย่านเก่าแก่ที่เคยเป็นถนนคนเดินที่มั่งคั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ความมั่งคั่งในอดีตนั้นก็ได้ย้ายไปที่ย่านอื่นเรียบร้อยแล้ว ย่านนี้จึงย่านเมืองเดิมที่ให้ความรู้สึกโหยหาอดีต ที่มีร้านอาหารและร้านอิซากายะให้ลิ้มลองมากมายครับ
หนึ่งในเมนูที่ได้รับความนิยมของที่นี่คือของทอดอย่างคุชิคัตสึ (Kushikatsu), คุชิยากิ (Kushiyaki) หรือเนื้อสัตว์เสียบไม้ย่าง เป็นต้นครับ
สัญลักษณ์ของย่านนี้คือหอสึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) ที่สร้างขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนถูกรื้อในช่วงสงครามและสร้างใหม่เพื่อสงครามสิ้นสุด ปัจจุบันหอแห่งนี้มีจุดชมวิวที่สูงจากพื้นประมาณ 93 เมตร ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปชมบรรยากาศของเมืองแบบมุมสูงได้ครับ
12. เที่ยวห้างที่เขตคิตะ
เขตคิตะ (Kita) หรืออุเมดะ (Umeda) เป็นศูนย์กลางเมืองส่วนเหนือของโอซาก้า ย่านนี้เป็นย่านที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าใครชอบเดินช้อป ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ควรมาเยือนเลยครับ
ห้างที่สนใจได้แก่
- Grand Front Osaka – ห้างขนาดใหญ่อันเป็นที่ตั้งของร้านค้าและร้านอาหารกว่า 266 แห่ง เช่นเดียวกับโรงแรมหรูอย่าง InterContinental Osaka
- Osaka Station City/Links Umeda – Entertainment complex ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่รอบสถานีรถไฟโอซาก้า
- Hankyu Entertainment Complex – ห้างขนาดใหญ่ที่มีชิงช้าสวรรค์ตั้งอยู่บนสุดของอาคาร
แต่ถ้าคุณรู้สึกเบื่อห้าง และอยากไปชมแสงสียามค่ำคืน ย่านคิตะชินจิ (Kitashinchi District) คือสถานที่ที่คุณต้องการไปเยือน เพราะย่านนี้คือย่านกลางคืนที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโอซาก้าครับ
13. ชมวิวที่ Umeda Sky Building
Umeda Sky Building เป็นอาคารสูง 173 เมตรที่มีจุดชมวิวอยู่ด้านบน ซึ่งนักเดินทางนิยมขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 39-40 ของอาคาร ด้านบนจะมีคาเฟ่อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นคุณสามารถจิบชาหรือกาแฟไปพร้อมๆ กับชมวิวสวยๆ แบบ bird’s eye view ได้อย่างฟินสุดๆ เลยครับ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่อาคารต่างๆ ในเมืองเปิดไฟสว่าง
สำหรับค่าเข้าชมนั้นจะอยู่ที่ 1,500 เยนต่อคนครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บทางการของตึกครับ
14. เทศกาลเท็นจินมัตสึริ
เท็นจินมัตสึริ (Tenjin Matsuri) เป็นเทศกาลระดับประเทศที่จัดขึ้นที่ศาลเจ้าเทนมันงุ (Tenmangu Shrine) ในเขตเทนมะ (Tenma) ในวันที่ 24-25 กรกฎาคมของทุกปี ความยิ่งใหญ่ของเทศกาลนี้นั้นไม่ได้ด้อยกว่า Gion Matsuri ที่เกียวโตเลยครับ
แกนกลางของเทศกาลนี้คือขบวนแห่ที่จะมีทั้งทางบกและทางน้ำ ผู้เข้าร่วมนั้นจะสวมใส่ชุดพื้นเมืองและแห่ไปตามเส้นทางที่กำหนด ดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน (อย่างเช่นบุนราคุ) จะจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ให้ได้รับชมกัน นอกจากนี้จะมีร้านอาหารมากมายที่จะวางขายในพื้นที่จัดงานเทศกาล ให้คุณได้ลิ้มลองอาหารพื้นบ้านรสชาติดีด้วยครับ
ตัวเทศกาลนั้นจะปิดด้วยการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่อลังการริมแม่น้ำ นักท่องเที่ยวจึงมาจับจองสถานที่ริมน้ำเพื่อชมขบวนแห่ โดยบางจุดนั้นจะเริ่มต้นที่ 3,000 เยน หรืออาจจะแพงได้ถึงเกือบ 50,000 เยนต่อคนเลยครับ
หลังจากที่คุณชมเทศกาลเสร็จสิ้นแล้ว คุณอาจจะเดินไปช้อปปิ้งหรือหาอะไรรับประทานเพิ่มเติมได้ที่ถนนเทนจินบาชิสุจิ (Tenjinbashi-Suji Street) ที่ยาวเกือบสองกิโลเมตร และน่าจะเป็นหนึ่งในถนนคนเดินที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นครับ
15. ชมวิวมุมสูงของเมือง
นอกจากสถานที่ที่ได้แนะนำไปแล้วนั้น โอซาก้ายังมีสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งให้คุณชมวิวมุมสูงของเมืองอีกสองแห่งด้วยกันได้แก่
Tempozan Ferris Wheel – ชิงช้าสวรรค์สูงกว่า 112.5 เมตรที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Osaka Aquarium หลังจากที่คุณขึ้นไปแล้ว คุณจะได้ชมวิวสวยๆ แบบ 360 องศาของย่านอ่าวโอซาก้าครับ
Cosmo Tower – ตึกระฟ้าที่ตั้งอยู่ย่าน Bay Area ด้านบนมีจุดชมวิวที่สูงจากพื้นกว่า 252 เมตร ด้านล่างของตึกมีร้านอาหารและร้านค้าอยู่บ้าง แต่ที่เหลือเป็นออฟฟิศครับ
Abeno Harukas – อดีตตึกที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น ด้านบนมีจุดชมวิวที่คุณชมวิวพาโนรามาของเมืองโอซาก้าได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ (ห้างระดับเรือธงของเครือ Kintetsu) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารให้เลือกจำนวนมาก เรียกได้ว่าตอบโจทย์นักเดินทางทุกรูปแบบเลยครับ
Affiliate Disclosure: ในบทความนี้มี Affiliate Links หมายความว่าถ้าคุณจองสินค้าหรือบริการผ่านลิงค์ดังกล่าว ผมจะได้ส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการครับ
References
- Official Osaka Travel Guide
- Osaka Castle Official Site
- JTA Sightseeing Database
- USJ Ticketing
- Japan Arts Council
- Expo70 Official Site