โอสึ (Otsu) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดชิงะที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่น และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่อยู่ริมทะเลสาบบิวะเช่นเดียวกับฮิโกเนะ และทาคาชิมะ ตัวเมืองนั้นร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรทางท่องเที่ยว เพราะนอกจากสถานที่ทางธรรม่ชาติแล้ว ที่นี่ยังมีปูชนียสถานที่มีความสำคัญยิ่งของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ทำให้โอสึเป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าไปเยือนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเกียวโตครับ
รู้จักเมืองโอสึ (Otsu)
ต้นกำเนิดของเมืองโอสึนั้นเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์จีนและเกาหลี กล่าวคือราชวงศ์ถังของจีนได้ทำลายอาณาจักรแพ็กเจในตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลีในปี ค.ศ.661 ซึ่งทางญี่ปุ่นได้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือแต่ก็ถูกกองทัพจีนตีแตกยับเยินในยุทธนาวีแห่งแพ็กกัง ผลที่ตามมาก็คือจักรพรรดิเทนจิทรงเกรงกลัวว่ากองทัพถังจะยกมารุกรานญี่ปุ่น นอกจากนี้พระองค์ยังต้องการเมืองหลวงอยู่ตรงกลางที่เชื่อมกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศด้วย
ผลสุดท้ายแล้วพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่เมืองโอสึแห่งนี้ และมีการสร้างพระราชวังขึ้นมาด้วย ทำให้ในเวลานั้นโอสึมีสถานะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นครับ
อย่างไรก็ดีจักรพรรดิเทนจิกลับสวรรคตหลังจากนั้นไม่นาน และได้เกิดสงครามแย่งชิงบัลลังก์กัน ทำให้เมืองโอสึและพระราชวังโบราณนั้นเสียหายยับเยิน หลังจากที่จักรพรรดิเทนมุได้รับชัยชนะแล้ว พระองค์จึงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่อาสุกะตามเดิม ทำให้โอสึมีสถานะเมืองหลวงเพียงไม่ถึงสิบปี
หลังจากนั้นด้วยความที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบบิวะ และเป็นจุดบรรจบระหว่างทางหลวงที่เชื่อมภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น (อย่างเช่นนากาเซนโดะและโทไคโด) โอสึได้เป็นเมืองท่าที่มีความมั่งคั่งทางด้านการค้าขายมาตั้งแต่ยุคนารา (ศตวรรษที่ 8) ต่อมาตัวเมืองก็ยิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นไปอีกเพราะว่าเมืองหลวงของประเทศได้ถูกย้ายมาอยู่ที่เกียวโต ทำให้โอสึได้รับสถานะการเป็นประตูสู่เมืองหลวงไปโดยปริยายครับ
โอสึเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงยุคเฮอันและคามาคุระ ในสมัยเฮอันนั้นเชื่อกันว่าโอสึเป็นสถานที่ซึ่งมุราซากิ ชิกิบุรจนาวรรณกรรมญี่ปุ่นระดับคลาสสิคอย่างเก็นจิ โมโนกาตาริ หรือ Tale of Genji ครับ
แต่พอเข้าสู่ยุคเซ็นโกกุ ที่นี่เป็นดินแดนที่เหล่าไดเมียวกลุ่มต่างๆ เข้ามาแย่งชิงกัน ทำให้โอสึถูกเปลี่ยนมือไปมาหลายต่อหลายครั้ง โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ที่ฮิเดโยชิเรืองอำนาจ เขาได้มอบเมืองนี้ให้กับอิชิดะ มิตสึนาริ ผู้ที่เวลาต่อมาเป็นแกนนำพันธมิตรต่อต้านโตกุกาวะ อิเอยาสึก่อนที่จะปราชัยในมหายุทธการแห่งเซกิกะฮาระครับ
ช่วงสมัยเอโดะ รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะเห็นว่าเมืองโอสึเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ดังนั้นจึงไม่ได้มอบให้ไดเมียวผู้ใด และตัวเมืองถูกปกครองโดยตรงจากรัฐบาลกลาง และยังคงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าจวบจนสิ้นสมัยเอโดะครับ
ในสมัยเมจิ โอสึได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดชิงะ และในปี ค.ศ.1891 ตัวเมืองก็ได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะมีความพยายามลอบสังหารเซซาร์เรวิชนิโคลัสแห่งรัสเซีย (ต่อมาคือซาร์นิโคลัสที่ 2) โดยนายตำรวจชาวญี่ปุ่นที่เมืองแห่งนี้ แต่เคราะห์ดีที่พระองค์ทรงไม่ได้รับอันตรายนอกจากบาดแผลยาว 9 ซมที่บริเวณหน้าผากเท่านั้น
เหตุการณ์ที่ว่านั้นมีชื่อไปทั่วโลกในนามเหตุการณ์โอสึ (Otsu Incident) ซึ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศกังวลมากว่ารัสเซียจะประกาศสงคราม แม้ว่าซาร์แห่งรัสเซียจะมิได้เอาความ ถึงกระนั้นชาวเมืองโอสึจำนวนมากยังคงรู้สึกอัปยศจนถึงกับจะเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นอย่างอื่น ทว่าสุดท้ายก็ได้ล้มเลิกแนวคิดนี้ไปครับ
ในช่วงทศวรรษ 1890 ได้มีการขุดคลองโอสึระหว่างโอสึกับเกียวโต ทำให้การขนถ่ายน้ำจากทะเลสาบบิวะเพื่อใช้ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวสะดวกยิ่งขึ้นครับ ตัวเมืองโอสึจึงยิ่งเจริญขึ้นไปอีก ในปัจจุบันตัวเมืองได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว การค้า และคมนาคมที่สำคัญของภูมิภาคคันไซครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองโอสึทำอย่างไร?
โอสึนั้นอยู่ใกล้กับเกียวโตมาก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเริ่มเดินทางที่ไหน คุณควรจะไปลงที่เกียวโตก่อน หลังจากนั้นก็ต่อรถไฟ JR Biwako Line จาก Kyoto Station ไปยัง Otsu Station ครับ อย่างไรก็ดีถ้าคุณเริ่มเดินทางที่โอซาก้าหรือโกเบ คุณอาจจะขึ้นรถไฟ Special Rapid Service ไปยังโอสึโดยไม่ผ่านเกียวโตเลยก็ได้ครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Biwako Otsu (เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวโอสึ) และ JR West โปรดตรวจสอบที่ต้นทางก่อนจองเพราะข้อมูลส่วนนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ
โอสึนั้นเป็นเมืองรีสอร์ทริมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ในอดีต การพักที่เมืองโอสึย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย ถ้าสนใจ ผมแนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. Biwako Terrace
Biwako Terrace เป็นหนึ่งในจุดชมวิวมุมสูงที่คุณได้ชมทะเลสาบบิวะ และตัวเมืองโอสึได้อย่างสวยงามที่สุด ซึ่งตัวจุดชมวิวนั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,100 เมตร แต่การเดินทางก็ไม่ยากอะไร เพราะคุณสามารถใช้บริการกระเช้าขึ้นไปได้ในเวลา 5 นาทีเท่านั้นเองครับ
นอกจากจุดชมวิวแล้ว ด้านบนยังมีร้านอาหารและร้านขายสินค้าแบบ homemade ของจังหวัดชิงะด้วย ส่วนในช่วงฤดูหนาวนั้น พื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นสกีรีสอร์ท (Biwako Valley Ski Resort) ที่มีลานสกีที่เหมาะกับมือใหม่โดยเฉพาะเด็กๆ และคุณยังสามารถเรียนเล่นสกีอีกด้วย
สำหรับค่ากระเช้านั้นในช่วงที่ไม่มีหิมะจะอยู่ที่ 3,500 เยน แต่ถ้าช่วงที่เป็นสกีรีสอร์ทจะอยู่ที่ 6,000 เยน (ขึ้นลงได้ไม่จำกัดในเวลา 1 วัน) ซึ่งราคาจะสูสีกับที่ฮาคุบะหรือยูซาวะครับ ในส่วนของข้อมูลเพิ่มเติมอ่านได้ที่เว็บทางการของ Biwako Terrace ครับ
2. ล่องเรือ
หนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุดคือการล่องเรือชมทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งผู้ให้บริการอย่าง Biwako Kisen นั้นมีบริการล่องเรือด้วยเรือขนาดใหญ่ชื่อ Michigan ซึ่งนอกจากจะได้ชมวิวแล้ว คุณยังจะได้ฟังดนตรี และรับประทานอาหาร (ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะไม่อยู่ในค่าเรือ) อีกด้วย
ทั้งนี้คุณสามารถเลือกได้ว่าจะล่องช่วงสาย ช่วงบ่าย หรือช่วงเย็น โดยราคาจะเริ่มต้นที่ 2,400 เยนสำหรับช่วงสาย และ 3,200 เยนสำหรับช่วงเย็นครับ ทว่าช่วงเย็นจะล่องนานกว่า (90 นาที ส่วนช่วงสายจะอยู่ที่ 60 นาที)
ในกรณีที่คุณไปเมืองอื่นและล่องทะเลสาบบิวะมาแล้ว คุณอาจจะเปลี่ยนไปล่องแม่น้ำเซตะแทนครับ โดยสองข้างริมฝั่งแม่น้ำนั้นมีวัดและศาลเจ้าโบราณที่สวยงามหลายต่อหลายแห่ง ในส่วนของค่าล่องนั้นจะอยู่ที่ 1,300 เยนครับ
อีกหนึ่งการล่องที่ได้รับความนิยมไม่น้อยก็คือการล่องคลองของทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa Canal Cruise) ซึ่งคุณจะได้ล่องไปตามสายน้ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคเมจิที่เป็นช่วงเวลาที่คลองแห่งนี้ได้รับการสร้างขึ้นครับ อย่างเช่นอาคารชลประทานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดับไฟในพระราชวังที่เกียวโตไปจนถึงสะพานอันชุ (Anshu Bridge) ที่เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงครับ
3. ศาลเจ้าโอมิ
ศาลเจ้าโอมิ (Omi Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1940 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 2,600 ปีของการครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่น และอุทิศให้กับจักรพรรดิเทนจิ ผู้สร้างเมืองโอสึเป็นเมืองหลวงและมีคุณูปการต่อการพัฒนาประเทศของญี่ปุ่น ทำให้หลังจากสวรรคตไปแล้ว ชาวญี่ปุ่นนับถือพระองค์เป็นหนึ่งในเทพเจ้าครับ
ปัจจุบันตัวศาลเจ้ามีบรรยากาศที่ร่มรื่นเพราะถูกปกคลุมด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ตรงกลางศาลเจ้ามีประตูสีส้มสองชั้น เช่นเดียวกับอาคารหลักที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโอมิครับ
4. วัดเอ็นยาคุจิ
วัดเอ็นยาคุจิ (Enryakuji Temple) อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาที่มีความสำคัญที่สุดของญี่ปุ่นเลยก็ได้ ตัวศาสนสถานนั้นตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอะ โดยเป็นของนิกายเท็นได หนึ่งในพุทธศาสนานิกายหลักของญี่ปุ่นที่มีผู้นับถือเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ
ตัววัดนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 8 และเป็นสถานที่ฝึกพระสงฆ์ทั้งด้านพระธรรมไปจนถึงการศึกสงคราม โดยพระนักรบที่ลือชื่อของญี่ปุ่น (อย่างที่ปรากฏในหลายเกม) นั้นล้วนแต่มีที่มาจากวัดแห่งนี้ครับ
ด้วยความที่เป็นที่เคารพนับถือของศาสนิกและมีบทบาททางการเมือง แถมยังมีกองทัพในกำมือ ทำให้วัดเอ็นยาคุจิมีอิทธิพลมากในยุคเซ็นโกกุ ถึงขนาดที่ไดเมียวที่ไม่แข็งแกร่งจริงๆ จะไม่กล้ายุ่งเกี่ยว ทว่าในปี ค.ศ.1571 โอดะ โนบุนากะได้ทำศึกใหญ่กับหมู่ผู้ปกครองวัดแห่งนี้และได้รับชัยชนะ พงศาวดารให้ข้อมูลว่าเขาได้ให้สังหารแทบทุกชีวิตบนภูเขาฮิเอะ พร้อมกับทำลายสิ่งก่อสร้างของวัดเกือบทั้งหมด
ในสมัยเอโดะ วัดเอ็นยาคุจิได้รับการดูแลโดยรัฐบาลโชกุนโตกุกาวะและได้สร้างอาคารกลับขึ้นมาหลายแห่ง แต่วัดไม่เคยกลับไปยิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิมอีกเลยครับ
ปัจจุบันวัดเอ็นยาคุจิแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือโทโด (To-do) ส่วนที่เป็นที่ตั้งของ Konpon-Chu-do วิหารหลักของวัด และ Dai-ko-do ที่เป็นสถานที่ให้การศึกษากับพระสงฆ์ครับ
ส่วนที่สองคือไซโต (Sai-to) อันเป็นที่ตั้งของ Shaka-do หนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือมาในปัจจุบัน และ Jodo-in สุสานของเด็นเกียว ไดชิ พระผู้นำพุทธศาสนานิกายมหายานจากจีนมายังญี่ปุ่นครับ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวัด
ในส่วนสุดท้ายเรียกโยโควะ (Yokowa) ที่นี่มีอาคารซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธนิกายสุขาวดีของญี่ปุ่น (นิกายโจโด) ครับ
สำหรับการเดินทางนั้น คุณสามารถใช้บริการของ Sakamoto Cable Car เพื่อขึ้นไปวัดเอ็นยาคุจิได้ตลอดทั้งปี ส่วน Eizan Cablecar และรถบัสจากเกียวโตนั้นจะไม่มีบริการในช่วงฤดูหนาวครับ
บริเวณเชิงเขาฮิเอะนั้นมีสวนญี่ปุ่นที่สวยมากซึ่งเคยเป็นวัดมาก่อนชื่อคิวชิคุรินอิน (Kyu Chikurin-in) ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่พำนักสำหรับนักบวช โดยเฉพาะพระสูงอายุ แต่ในปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นวัดอีกแล้ว ภายในพื้นที่อดีตวัดนั้นมีสวนญี่ปุ่นที่งดงามมากระดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สุดยอดที่สุดครับ
5. วัดอิชิยามาเดระ
วัดอิชิยามาเดระ (Ishiyamadera Temple) เป็นหนึ่งในวัดพระโพธิสัตว์กวนอิม 33 แห่งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาแสวงบุญ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งนักเขียนหญิงนามว่ามุราซากิ ชิคิบุเริ่มรจนาเรื่องเก็นจิ โมโนกาตาริ โดยตามตำนานเล่าว่าเธอคิดพลอตเรื่องได้หลังจากที่มองพระจันทร์เต็มดวงจากวัดแห่งนี้ครับ ปัจจุบันห้องที่เธอเคยพำนักที่นี่ก็ยังอยู่ ณ สถานที่เดิมครับ
ปัจจุบันที่นี่เป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของเมืองโอสึ นอกจากนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิยังมีดอกซากุระให้ชมด้วยครับ
6. สะพานเซตะ โนะ คาราฮาชิ
สะพานเซตะ โนะ คาราฮาชิ (Seta no Karahashi) เป็นหนึ่งในสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตัวสะพานเก่าแก่มากกว่า 1,500 ปี เพราะปรากฏในหนังสือนิฮงโชกิที่เขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 8 ครับ ทว่าตัวสะพานได้รับการปรับปรุงให้มีสองส่วนอย่างในปัจจุบันในสมัยของโอดะ โนบุนากะครับ
ในสมัยเซ็นโกกุนั้นเคยมีคำพังเพยว่าผู้ที่ครองสะพานแห่งนี้จะได้ปกครองแผ่นดิน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่กุมการเดินทางไปยังเมืองหลวงเกียวโตในสมัยอดีตกาล ด้วยเหตุนี้ไดเมียวที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันจึงมักจะมาทำศึกกันบริเวณนี้ครับ
อย่างไรก็ดีตัวสะพานของเดิมนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ตัวสะพานในปัจจุบันถูกสร้างใหม่ด้วยคอนกรีตในปี ค.ศ.1979 ครับ
7. Lake Biwa Great Fireworks Festival
ในวันที่ 8 สิงหาคมของทุกปี เมืองโอสึจะมีการจัดเทศกาลดอกไม้ไฟเหนือทะเลสาบบิวะชื่อ Lake Biwa Great Fireworks Festival ซึ่งจะใช้พลุและดอกไม้ไฟนับหมื่นลูก และกินเวลาการแสดงยาวนานถึงหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่ทุ่มครึ่งถึงสองทุ่มครึ่งครับ
พลุและดอกไม้ไฟจะได้รับการจุดแบบตระการตางานสร้าง ซึ่งไม่น่าแปลกเลยจะมีนักเดินทางมากกว่า 350,000 คนที่เดินทางมาชมท้องฟ้าที่แสงไปด้วยพลุสีสวยในทุกๆ ปีครับ
ตัวอย่างแพลนทริปโอสึ
ด้านล่างของตัวอย่างแพลนทริปที่ผมจัดทำขึ้น โดยมีโอสึเป็นส่วนประกอบ ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ หรือใช้เป็นไอเดียในการแพลนทริปของคุณได้เลยครับ
References
- Biwako Otsu
- Shiga Biwako
- Biwako Terrace Official Site
- Hieizan Official Site