ปาร์มา (Parma) เป็นเมืองในภูมิภาค Emilia-Romagna ของประเทศอิตาลี ตัวเมืองเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวโลกเพราะเป็นต้นกำเนิดของ Parmesan Cheese และ Parma Ham หรือว่าใครที่ติดตามฟุตบอลกัลโช่ก็น่าจะคุ้นเคยกับชื่อทีมนี้อยู่บ้าง เพราะเคยเป็นขาประจำลีกสูงสุดของอิตาลี ก่อนที่จะตกชั้น (เพราะปัญหาทางการเงิน) แล้วลงไปเล่นในลีกล่างในปัจจุบันครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองแห่งนี้คร่าวๆ ก่อนที่ไปว่ากันถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักปาร์มา (Parma)
ปาร์มาเป็นเมืองเก่าแก่ไม่แพ้เมืองใดในอิตาลี นักประวัติศาสตร์ค้นพบว่ามีหลักฐานของชุมชนอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ช่วง 3,500 ปีก่อน แต่ก็ยังไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดเป็นเมือง โดยปาร์มาเริ่มเป็นเมืองในยุคที่ชาวอีทรัสกันปกครองภาคเหนือของอิตาลีครับ
ต่อมาในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล ปาร์มาได้อยู่ในการปกครองของชาวโรมันที่แผ่อำนาจมาถึงบริเวณนี้ และได้กลายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญของทางหลวงโรมันที่เชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ทว่าตัวเมืองค่อนข้างโชคร้าย เพราะถูกทำลายและปล้นสะดมหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ช่วงยุคโรมันมาจนถึงต้นยุคกลาง แต่ก็ได้รับการสร้างใหม่ทุกครั้งเพราะทำเลที่ตั้งล้วนๆ เลยครับ
ในช่วงยุคกลาง ปาร์มาเป็นเมืองคมนาคมที่สำคัญซึ่งเชื่อมอิตาลีกับส่วนอื่นของยุโรป ทำให้มีผู้แสวงบุญและพ่อค้าเดินทางผ่านมามากมาย ทำให้ตัวเมืองเจริญมาก และมีสิ่งก่อสร้างมากมายที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับผู้คนเหล่านี้
สมัยช่วงศตวรรษที่ 12-13 เป็นช่วงที่ปาร์มาเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร ก่อนที่จะถูกสลับเปลี่ยนมือไปมาในหมู่รัฐที่ขึ้นมามีอำนาจในยุคนั้นอย่างเช่นมิลาน ฝรั่งเศส หรือว่ารัฐของพระสันตะปาปา (Papal States) ก่อนที่จะได้รับสถานะปกครองตนเองในปี ค.ศ.1545 ในนามดัชชีแห่งปาร์มา (Duchy of Parma)
แม้ว่าจะเป็นรัฐอิสระแต่ดัชชีแห่งปาร์มาก็มักอยู่ในการครอบงำของรัฐอื่นอยู่ดี ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ปาร์มาอยู่ในการควบคุมจากฝรั่งเศส แต่ช่วงนี้กลับเป็นช่วงที่ตัวเมืองมั่งคั่งมากเพราะการปกครองที่มีประสิทธิภาพของ Guillaume du Tillot ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันสมัย สิ่งก่อสร้างสำคัญหลายแห่งก็ได้ถูกสร้างขึ้นซึ่งทำให้ปาร์มาเป็นเมืองสวยแห่งหนึ่งของอิตาลีครับ
หลังจากนโปเลียนพ่ายแพ้สงคราม ปาร์มาได้ถูกฝ่ายพันธมิตรยกให้กับมารี หลุยส์ เจ้าหญิงออสเตรียที่เป็นมเหสีคนที่สองของนโปเลียน ซึ่งพระนางก็ได้ปกครองปาร์มาเป็นเวลากว่าสามสิบปีจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ต่อมาตัวเมืองได้ถูกยกให้กับราชวงศ์บูร์บอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานตัวเมืองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่ตั้งขึ้นใหม่ในช่วงปี ค.ศ.1860
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ชาวเมืองปาร์มาต่อต้านทหารเยอรมันอย่างดุเดือด และเป็นหนึ่งในเมืองที่สามารถขับไล่เยอรมันออกไปด้วยตนเอง (ด้วยการช่วยเหลือบ้างจากกองทัพบราซิลที่ส่งทหารมาในสมรภูมิยุโรป) โดยตัวเมืองเสียหายไปไม่น้อย แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ
ปัจจุบันปาร์มาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญเมืองหนึ่งของเขต Emilia-Romagna เช่นเดียวกับโบโลญญ่าและราเวนนา และมีชื่อเสียงในเรื่องวัฒนธรรมอาหาร ทำให้ได้รับสถานะเป็น Creative City of Gastronomy จากองค์การยูเนสโกครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองปาร์มาทำอย่างไร?
ปาร์มานั้นเดินทางไปได้ไม่ยากเลย คุณสามารถเดินทางโดยใช้รถไฟหรือรถบัสไปได้จากเมืองใหญ่ของอิตาลีทุกเมือง (สำหรับรถไฟอาจจะต้องมีเปลี่ยนขบวนบ้าง) ไม่ว่าจะเป็นโรม มิลาน ฟลอเรนซ์ หรือเจนัว แต่เมืองที่ไปง่ายที่สุดย่อมเป็นโบโลญญ่า เมืองหลวงของเขตที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักครับ
ในการจองผมแนะนำให้จองผ่าน Omio (จองได้ทั้งรถบัสและรถไฟ) หรือ Rail Europe (รถไฟเท่านั้น) เพื่อความสะดวกสบายครับ
1. Parma Cathedral (Duomo)
Parma Cathedral หรือ Duomo di Parma เป็นมหาวิหารหลักประจำเมืองซึ่งตั้งอยู่ในจัตุรัส Piazza Duomo และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง ตัวมหาวิหารนั้นอุทิศให้กับพระแม่มารี (Virgin Mary) ครับ
ทางด้านสถาปัตยกรรมนั้น มหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Romanesque ในสมัยศตวรรษที่ 12 และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในยอดมงกุฎของสถาปัตยกรรมรูปแบบดังกล่าว
ด้านหน้าของมหาวิหารสร้างขึ้นจากหินทราย และได้รับการตบแต่งอย่างสวยงาม แต่คงไม่เท่าด้านในที่มีภาพเขียนสีเฟรสโกสไตล์ Mannerist ให้นักท่องเที่ยวให้ยลความงามตามโครงสร้างวิหารรูปไม้กางเขน โดยเฉพาะงานระดับตำนานของ Corregio อย่าง Assumption of the Virgin ที่ดูมีมิติลุ่มลึกและให้ความสมจริงอย่างมากเลยครับ โดยรวมแล้วถ้าคุณหลงรักงานศิลปะ คุณไม่ควรพลาดมหาวิหารแห่งนี้ครับ
2. Baptistery
Baptistery เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่เคียงข้าง Parma Cathedral ใน Piazza Duomo ตัวอาคารสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12-14 ด้วยการใช้หินอ่อนสีชมพูชั้นเลิศจากเมืองเวโรนา และเป็นสิ่งก่อสร้างไม่กี่แห่งที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของสถาปัตยกรรมจาก Romanesque มาสู่ Gothic ครับ
ส่วนตัวอาคารนั้นทำพิธีศีลจุ่ม (Baptism) ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดของชาวคริสต์ ด้านในอาคารล่างสุดมีรูปปั้นสัตว์ในตำนานตั้งแต่ยูนิคอร์น เซนทอร์ หรือแม้กระทั่งสัตว์นรก ส่วนสูงขึ้นไปจะเป็นเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล ส่วนด้านบนสุดจะเป็นพระเยซูคริสต์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยทวยเทพสององค์และสัญลักษณ์ของ evangelists ทั้ง 4 ครับ
3. Regio Theatre
Regio Theatre หรือ Teatro Regio เป็นโรงละครขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือช่วงที่พระนางมารี หลุยส์ทรงปกครองปาร์มา ด้านนอกนั้นดูเรียบง่ายเพราะเป็นแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิกที่มีเสาไอโอนิกแค่สิบต้น แต่ด้านในนั้นคนละเรื่องเลยครับ เพราะยิ่งใหญ่ อลังการ สง่างามเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลีเลยก็ว่าได้
ตัวหอละครใหญ่นั้นแบ่งออกเป็นสี่ชั้น และตบแต่งด้วยสีขาวและสีทองอย่างประณีต ตรงกลางมีโคมไฟแบบ Chandelier ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากผู้ผลิตชั้นนำในยุคนั้นจากกรุงปารีสครับ ซึ่งน้ำหนักของโคมไฟนี้มากถึง 1 ตันเลยทีเดียว
นับตั้งแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบัน ที่นี่เป็นโรงละครโอเปร่าที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทุกวันนี้ก็ยังมีการจัดแสดงโอเปร่าและคอนเสิร์ตตนตรีอยู่ ถ้าสนใจสามารถจองบัตรได้ที่เว็บของโรงละครครับ
4. Pilotta Palace
Pilotta Palace หรือ Palazzo Della Pilotta เป็นพระราชวังของดยุคแห่งปาร์มาสายตระกูล Farnese ที่เรืองอำนาจ โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ทว่าที่นี่เป็นที่ตั้งของอาคาร 4 แห่งที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของปาร์มาครับ
National Gallery – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก็บรักษาผลงานศิลปะที่ดยุคแห่งปาร์มาได้เก็บสะสมมาหลายชั่วคน เพิ่มด้วยคอลเล็คชั่นของพระนางมารี หลุยส์ ผลงานที่จัดแสดงมีตั้งแต่งานสมัยยุคศตวรรษที่ 13-19 โดยงานที่โดดเด่นที่สุดคือของสมัยศตวรรษที่ 15-17 ครับ หนึ่งในนั้นคือ Head of the Young Girl ซึ่งน่าจะวาดโดยดาวินชีครับ
Farnese Theatre – ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงละครที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี และมีพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยสำหรับยุคนั้นเพื่อให้การแสดงสมจริง น่าเสียดายที่ถูกทิ้งระเบิดจนราบเป็นหน้ากลองในช่วงสงคราม แต่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในแบบเดิมและวัสดุเดิมในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ครับ
National Archaeological Museum – พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่เปิดตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุที่พบในเขตเมืองปาร์มา เช่นเดียวกับบริเวณเมืองโดยรอบ ด้านในมีโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคจักรวรรดิโรมันให้ผู้สนใจได้เข้าชมครับ
Palatina Library – ห้องสมุดเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1761 ด้านในห้องสมุดนั้นยิ่งใหญ่อลังการ และเก็บหลักฐานอันล้ำค่ามากกว่า 700,000 ชิ้นครับ ปัจจุบันคุณสามารถเข้าไปชมด้านในได้ครับ
5. Ducal Palace
Ducal Palace เป็นพระราชวังเดิมที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นสถานที่พำนักของดยุคแห่งปาร์มา ด้านในตบแต่งด้วย stucco อย่างงดงามยิ่ง เช่นเดียวกับภาพเขียนสีเฟรสโกอายุเกิน 400 ปีที่งดงามยิ่งครับ
อย่างไรก็ดีปัจจุบันที่นี่ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพราะใช้เป็นสถานที่ของกรมตำรวจ (Carabinieri) ครับ
6. Piazza Garibaldi
Piazza Garibaldi เป็นจัตุรัสใหญ่ที่คับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปาร์มา และเป็นศูนย์กลางของอำนาจการปกครองเมืองมาตั้งแต่อดีต ที่นี่เป็นที่ตั้งของที่ว่าการรัฐ (Town Hall) และสถานที่พำนักของผู้ว่าราชการเมือง (Governor’s Palace) ครับ
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านค้า บาร์ และร้านอาหารมากมาย ทำให้เป็นสถานที่ที่ชาวเมืองมักจะมาพบปะกันครับ
7. Basilica of St Mary of Steccata
Basilica of St Mary of Steccata เป็นมหาวิหารจากยุค Renaissance ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ที่นี่สร้างเสร็จขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16 เพื่อเก็บรักษารูปภาพของมาดอนนาที่เชื่อกันว่าแสดงปาฏิหาริย์และเป็นที่นับถือของชาวเมืองครับ
เช่นเดียวกับมหาวิหารอื่นๆ ด้านในได้รับการประดับประดาด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกอย่างสวยงามด้วยผลงานของ Parmigianino ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้วาดจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และยังมีภาพ Madonna Suckling the Child ที่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าศิลปินท่านใดเป็นคนวาดครับ
8. Monastery and Church of San Giovanni Evangelista
Monastery and church of San Giovanni Evangelista เป็นอารามขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งในอารามนั้นประกอบด้วยโบสถ์ที่ด้านหน้าเป็นสถาปัตยกรรมแบบ baroque ที่หรูหราสวยงามครับ
ในโบสถ์นั้นมีภาพเขียนสีเฟรสโกที่มีชื่อเสียงมากอย่าง Vision of St. John at Patmos ซึ่งตบแต่งโดมของโบสถ์ ตัวภาพนั้นจะเป็นชายชราที่มองหน้าขึ้นฟ้าไปสู่สรวงสวรรค์ครับ เช่นเดียวกับภาพเขียนสีเฟรสโกที่สวยไม่แพ้กันอยู่อีกหลายภาพ
ส่วนด้านนอกนั้นจะมี Chapter House ซึ่งในอดีตเป็นที่ประชุมนักบวชรวมไปถึงห้องสมุดสมัยศตวรรษที่ 16 ตั้งอยู่ ทั้งสองแห่งสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมสมัยยุค Renaissance และได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีอย่างเลอค่าเช่นกันครับ
9. Castle of Torrachiara
Castle of Torrachiara หรือ Castello di Torrachiara เป็นปราสาทสวยที่ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากเมืองปาร์มาไปประมาณ 20 กิโลเมตร
ตัวปราสาทนั้นมีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ด้วยศิลปะแบบยุคกลางที่งดงามไม่เหมือนที่ใด โดยเจ้าของปราสาทแห่งนี้คือ Pier Maria Rossi แม่ทัพของทหารรับจ้างในสมัยนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อป้องกันพื้นที่แถบนี้ให้กับผู้รุกราน และระลึกหญิงคนรักของเขาครับ
ส่วนด้านในนั้นยังหลงเหลือบรรยากาศแบบ 600 ปีก่อนให้คุณได้สัมผัสอย่างเต็มอิ่ม ตั้งแต่ห้องครัว โรงม้า และห้องใต้ดิน แต่ที่พิเศษที่สุดคือผลงานศิลปะด้านในอย่างภาพเขียนสีที่ล้วนแต่บรรยา พรรณนา และเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักของเจ้าของปราสาท ผู้รักเดียวใจเดียวครับ
10. The Puppets Castle – Giordano Ferrari Museum
The Puppets Castle เป็นพิพิธภัณฑ์การแสดงหุ่นที่เลื่องลือของเมืองปาร์มา และสืบทอดกันมาโดยตระกูล Ferrari ที่ได้ผลิตหุ่นเหล่านี้มีหลายชั่วคน เช่นเดียวกับหุ่นอีกมากมายจากผู้ผลิตต่างๆ รวมแล้วเกือบ 3,000 ตัวด้วยกัน
หุ่นเหล่านี้มีหลากหลายแบบ และมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป บางตัวนั้นอายุเกือบ 2 ศตวรรษและยังอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นผลงานศิลปะอีกชนิดหนึ่งที่ล้ำค่าครับ
11. Camera di San Paolo
Camera di San Paolo หรือ Chamber of Saint Paul เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่พำนักของประมุขสงฆ์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งดูเผินๆ แล้วที่นี่อาจจะไม่มีอะไร แต่ด้านในนั้นมีภาพเขียนสีเฟรสโกระดับ masterpiece ของ Correggio ซึ่งประดับตัวเพดานของอาคารที่แบ่งออกเป็น 16 ส่วนตามสันแบบโกธิค
แต่ละภาพที่เกี่ยวเนื่องกับการล่าสัตว์ครับ ซึ่งจริงๆ แล้วภาพเขียนนี้มีนัยสำคัญทางการเมืองสำหรับยุคนั้น เพราะเป็นปุคคลาธิษฐานที่แสดงถึงการต่อสู้ระหว่างประมุขสงฆ์ในอารามแห่งนี้กับองค์กรทางศาสนาครับ
12. ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง
การไปเมืองปาร์มายากที่จะครบถ้วนถ้าคุณไม่ได้ลองอาหารพื้นเมืองที่ทำให้ปาร์มาได้รับสมญาว่าเป็น City of Gastronomy เมนูที่คุณไม่ควรพลาดทุกประการได้แก่
- Prosciutto di Parma หรือที่รู้จักกันดีในนาม Parma Ham รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์แบบ Cold Cuts ต่างๆ
- เมนูพาสต้าอย่าง Cappelletti หรือ Tortelli d’erbetta
- ผลิตภัณฑ์จากชีสอย่าง Parmigiano Reggiano (Parmesan Cheese)
- เมนูจากเห็ดทรัฟเฟิล
References
- Parma Welcome (Official Travel Site)
- Emilia Romagna Turismo