ปิซ่า (Pisa) เป็นเมืองในดินแดนทัสคานีของอิตาลี และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดชื่อเหมือนกัน ตัวเมืองมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะเป็นที่ตั้งของหอเอนปิซ่า (Leaning Tower of Pisa) ครับ
แต่จริงๆ แล้วปิซ่านั้นมีสถานที่อันน่าสนใจนอกเหนือไปมากกว่าตัวหอเอนปิซ่าอีกมาก จะมีที่ไหนบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ
รู้จักเมืองปิซ่า (Pisa)
เมืองปีซ่านั้นมีประวัติความเป็นมาย้อนไปถึงยุคที่ชาวอีทรัสกัน (Etruscan) ครอบครองพื้นที่แถบนี้ หรือประมาณศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ต่างจากเมืองอื่นๆ ในทัสคานีอย่างเช่นเซียน่าที่ยังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงนั้นปิซ่าได้เป็นเมืองท่าที่รุ่งโรจน์ โดยมีการค้าขายกับเมืองสำคัญอื่นๆ ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้วครับ
ในช่วงยุคโรมัน ปิซ่าเป็นเมืองท่าที่เป็นฐานทัพสำคัญของกองทัพในการทำศึกกับชาติศัตรูกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะเหล่าอนารยชนในดินแดนกอลครับ
แม้ว่าจะเป็นเมืองท่า แต่จริงๆ แล้วปิซ่าไม่ได้ติดทะเล แต่ห่างเข้ามาประมาณ 4-10 กิโลเมตรจากทะเล (แล้วแต่สมัย) โดยเรือที่จะเข้ามายังเมืองจะต้องล่องผ่านแม่น้ำ Arno เข้ามาครับ
หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย ปิซ่ายังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญของอาณาจักรใหม่ที่หมุนเวียนมาครอบครองพื้นที่แถบนี้ ตั้งแต่ไบแซนไทน์ ลอมบาร์ด จนสุดท้ายตกเป็นส่วนหนึ่งของดัชชีแห่งลุกกา (Duchy of Lucca) ซึ่งได้พัฒนาเป็น March of Tuscany ในเวลาต่อมา
ปิซ่าได้อิสรภาพและเป็นสาธารณรัฐในช่วงศตวรรษที่ 11 ในนาม Republic of Pisa ในช่วงนี้เองที่ปิซ่าเผชิญกับภัยคุกคามจากโจรสลัดชาวอาหรับจากแอฟริกา ทำให้ชาวเมืองสร้างกองทัพเรือของตนเองให้แข็งแกร่ง และขับไล่ศัตรูออกไป
กองเรือได้ทำให้ปิซ่าเป็นมหาอำนาจทางทะเล เรียกได้ว่าแทบไม่มีผู้ต่อกรในท้องทะเล ณ เวลานั้น ที่สูสีกันเห็นจะมีแต่เพียงเจนัว (Genoa) เท่านั้นครับ
ความขัดแย้งระหว่างปิซ่าและเจนัวได้ดำเนินไปถึงช่วงศตวรรษที่ 13 สุดท้ายปิซ่าก็พลาดท่าด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในยุทธการแห่ง Meloria ที่สูญเสียกองเรือมากกว่าครึ่งหนึ่งพร้อมกับกะลาสีและทหารเรือที่มีประสบการณ์จำนวนมาก นับตั้งแต่บัดนั้นปิซ่าก็อ่อนแอลงและไม่อาจฟื้นฟูตนเองได้อีกเลย
ในช่วงศตวรรษที่ 15 ปิซ่าได้อยู่ในการครอบงำของเมืองฟลอเรนซ์ที่ได้กลายเป็นมหาอำนาจในเมืองต่างๆ ของทัสคานี แต่ช่วงนี้ปิซ่ากลับมีชื่อเสียงที่สุด เพราะกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร๋เอกของโลกได้เกิดที่เมืองนี้ครับ
ปิซ่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่ได้สถาปนาขึ้นช่วงศตวรรษที่ 19 โดยเป็นเมืองอุตสาหกรรมและศูนย์กลางการค้าขาย หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ตัวเมืองได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของอิตาลี ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวนับล้านที่เดินทางมาที่นี่เพื่อถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กระดับโลกอย่างหอเอนปิซ่าครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังเมืองปิซ่าทำอย่างไร
ปิซ่าเชื่อมกับฟลอเรนซ์ และเมืองอื่นๆ ของอิตาลีด้วยรถไฟ และรถบัสครับ วิธีการจองที่ซับซ้อนน้อยที่สุดคือจองผ่าน Omio ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนต่างๆ ง่ายและสะดวกสบายขึ้นมากเลยครับ
ที่พัก
ถ้าคุณอยากได้ที่พักคุณภาพเยี่ยม ทำเลดี ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักปิซ่าน่าจองของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. หอเอนปิซ่า
หอเอนปิซ่า (The Leaning Tower of Pisa หรือ torre di Pisa ในภาษาอิตาเลียน) เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Piazza dei Miracoli หรือจัตุรัสแห่งความมหัศจรรย์บันลือโลกของเมืองปิซา (Square of Miracles) ซึ่งได้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 ครับ
จริงๆ แล้วหอเอนปิซ่าเป็นหอระฆังของ Cathedral of Santa Maria Assunta มหาวิหารหลักของเมืองที่อยู่ติดกัน ตัวหอระฆังนั้นเอนไป 4-5 องศา (แล้วแต่ยุค ตัวค้ำยัน รวมไปถึงการบูรณะ) เนื่องจากพื้นดินที่สร้างเป็นดินทราย และได้ยุบตัวลงมาตั้งแต่อดีตกาล ก่อให้เกิดเป็นแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงระดับโลกครับ
หอเอนปิซ่านั้นสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และมีทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถเดินขึ้นบันได 294 ขั้นเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ครับ คุณจะได้เห็น Piazza dei Miracoli และตัวเมืองปิซ่าได้แบบพาโนรามาเลยครับ
สำหรับใครที่ชอบประวัติศาสตร์นั้น เกร็ดที่น่าสนใจของหอเอนปิซ่านั้นมีมากมาย ซึ่งคุณจะได้ทราบเมื่อไปเยือนที่แห่งนี้ หนึ่งในนั้นนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ากาลิเลโอไม่เคยทำการทดลองใดๆ ที่หอเอนปิซ่าแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดีเขาได้ตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบ (โดยใช้หอเอนปิซ่าเป็นองค์ประกอบ) ที่แสดงให้เห็นว่าหลักการของอริสโตเติลนั้นไม่ถูกต้องครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้คือถ่ายรูปกับตัวหอเอนปิซ่า ซึ่งตาม social network นั้นมีหลายท่าที่เป็น viral อย่างเช่นท่าผลักตัวหอนั่นเองครับ
ตั๋วเข้าชมหอเอนปิซ่า
คุณสามารถซื้อตั๋วเข้าชมหอเอนปิซ่า (ขึ้นไปจุดสูงสุดของหอ) เช่นเดียวกับมหาวิหาร พิพิธภัณฑ์ และสถานที่เที่ยวอื่นๆ ใน Piazza dei Miracoli ได้ในราคา 27 ยูโร
อย่างไรก็ดีคุณจะต้องจองเวลาขึ้นหอ ถ้าคุณไม่ได้มาในเวลาที่กำหนดก็คือคุณจะหมดสิทธิ์ไปโดยปริยายครับ (ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานผู้ดูแล)
2. Cathedral of Santa Maria Assunta
Cathedral of Santa Maria Assunta หรือดูโอโมแห่งปิซา (Duomo di Pisa/Pisa Cathedral) เป็นมหาวิหารหลักของเมืองที่ตั้งอยู่ใน Piazza dei Miracoli ติดกับหอเอนปิซ่า
จริงๆ แล้วตัวมหาวิหารแห่งนี้ควรเป็นอาคารที่โด่งดังที่สุดของเมือง แต่ด้วยพลังแลนด์มาร์กของหอเอนปิซ่าได้ทำให้ตัวมหาวิหารต้องลงมาเป็นอันดับ 2 ครับ
ตัวมหาวิหารนั้นสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 โดยเป็นผลงานของ Buscheto สถาปนิกที่นำเสนอสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็น Classical, Byzantine, Lombard-Emilia หรือแม้กระทั่งศิลปะอิสลาม
การผสมของ Buscheto เกิดเป็นสถาปัตยกรรมของตนเองขึ้นมาที่สวยสะท้านแผ่นดิน และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเมืองอื่นๆ ให้นำไปสร้างมหาวิหารแบบเดียวกันครับ
ถ้าคุณว่าด้านนอกสวยแล้ว ด้านในนั้นสวยยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นเสาโค้งที่เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอิสลาม ไปจนถึงโดมที่ได้รับการตบแต่งอย่างงามงดด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกของ Girolamo Riminaldi หรือรูปปั้นและประติมากรรมอันล้ำค่าที่เล่าถึงชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล (The Pulpit ผลงานของ Giovanni Pisano ครับ)
โดยรวมแล้วมหาวิหารแห่งนี้เป็นผลงานทางด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่ยากจะหาที่ใดมาเสมอเหมือน แม้กระทั่งในอิตาลีเองก็ตาม ถ้าคุณชื่นชอบผลงานเหล่านี้ การมาชมที่นี่เป็นสิ่งที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
3. Baptistery of San Giovanni
Baptistery of San Giovanni หรือ Baptistery of Pisa เป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ที่ Piazza dei Miracoli จุดประสงค์ของตัวอาคารก็ตามชื่อเลย นั่นคือใช้ทำพิธีศีลจุ่มในคริสตศาสนา ทั้งนี้กาลิเลโอ กาลิเลอี นักวิทยาศาสตร์ของโลกก็ได้ทำพิธีดังกล่าวที่นี่ครับ
จุดเด่นของอาคารทำศีลจุ่มแห่งนี้คือมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกโดยมีเส้นรอบวง 107 เมตร และสูงถึง 55 เมตรด้วยกัน ตัวอาคารเริ่มสร้างในช่วงศตวรรษที่ 12 แต่กว่าจะเสร็จก็ผ่านไปแล้วร้อยกว่าปี ดังนั้นสถาปัตยกรรมจึงเป็นแบบผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์และโกธิคครับ
ด้วยโครงสร้างแบบโดมคู่ และอุปกรณ์ที่ใช้สร้าง ทำให้ด้านในอาคารมีเสียงก้อง (Echo) อันเป็นเอกลักษณ์ โดยเสียงจะดังต่อเนื่องกันไปเหมือนคลื่นต่อเนื่องที่ไล่เรียงไปตามตัวอาคาร
หลายคนเปรียบว่าตัวอาคารแห่งนี้เป็นเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ครับ ทั้งนี้ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจะมีการแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม แน่นอนว่าไม่ควรพลาดเช่นเดิมครับ
4. Camposanto
Camposanto เป็นสถานที่ฝังศพที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 เพื่อเก็บโลงศพสมัยโรมันที่อยู่รอบมหาวิหารหลักของเมืองให้เป็นระเบียบ ตัวสถานที่นั้นมีความโดดเด่นเพราะมีกำแพงหินอ่อนเรียงรายกันไป
ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นด้วยดินศักดิ์สิทธิ์จาก Golgotha หรือจุดที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน ซึ่งปิซ่าได้รับมาจากการที่เข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งที่สอง ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ฝังศพที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของคริสตศาสนาครับ
อย่างไรก็ดีตัวสถานที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สิ่งที่คุณเห็นจึงเป็นผลงานที่เกิดจากการบูรณะอย่างประณีตครับ
ไฮไลท์ของที่นี่คือภาพเขียนสีเฟรสโกอายุหลายร้อยปีที่ตกทอดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดย theme หลักคือชีวิตและความตาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องราวจากพระคัมภีร์เก่าครับ นอกจากนี้ยังมีโลงศพโบราณและรูปปั้นที่มีความสวยงามล้ำค่าที่คุณสามารถชมได้ครับ
5. Piazza dei Miracoli
สถานที่ 4 แห่งที่ผมแนะนำไปด้านบนนั้นล้วนแต่เป็นไฮไลท์ของ Piazza dei Miracoli หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Piazza del Duomo ครับ แต่ด้านในพื้นที่บริเวณนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งที่น่าสนใจได้แก่
- The Museo dell’Opera del Duomo – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ รูปปั้น และภาพเขียน หลายสิ่งเป็นของล้ำค่าที่ตกทอดมานานกว่าหลายร้อยปีครับ
- Sinopie Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษา Sinopia หรือแบบร่างที่จิตรกรใช้วางโครงสร้างของภาพเขียนสีเฟรสโก ซึ่งทางเมืองปิซ่าได้มาหลังจากที่พยายามบูรณะภาพที่ถูกเพลิงเผาไหม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองครับ
6. Arsenali Medicei
Arsenali Medicei เป็นอู่ต่อเรือโบราณที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 หรือช่วงที่ฟลอเรนซ์เข้ามาปกครองปิซ่า โดยตระกูลเมดิซีนั้นต้องการฟื้นฟูปิซ่าให้เหมือนกับช่วงรุ่งโรจน์ครับ
ด้านอู่ต่อเรือมีพิพิธภัณฑ์ (Museum of Ancient Ships) ที่เก็บรักษาเรือเก่าแก่ย้อนไปได้ถึงยุคโรมัน และยังมีโบราณวัตถุกว่า 8,000 ชิ้น ที่เกี่ยวเนื่องกับชาวเรือ กะลาสี และกองทัพเรือที่ทำให้ปิซ่าเป็นมหาอำนาจแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนครับ
ใกล้กับ Arsenali Medicei มี San’Agnese tower ซึ่งเป็นส่วนของอู่ต่อเรือเดิมของยุคสาธารณรัฐปิซ่าอยู่ด้วย รวมไปถึง Guelph Tower หอคอยที่เคยใช้ป้องกันเมือง ซึ่งในปัจจุบันคุณสามารถขึ้นไปชมวิวได้ครับ
7. Church of Santa Maria della Spina
ปิซ่านั้นมีโบสถ์ขนาดเล็กเกินกว่าสิบแห่ง แต่แห่งที่สวยที่สุดน่าจะเป็น Church of Santa Maria della Spina แห่งนี้ครับ ที่นี่ถือว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมสไตล์ Pisan Gothic ครับ
ตัวโบสถ์สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 (หรือก่อนหน้านั้น ทางนักประวัติศาสตร์ไม่ทราบแน่ชัด) จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือเป็นสีขาวสะอาด และมีสามเหลี่ยมสามแท่งอยู่ที่ด้านหน้า (Facade) ครับ
เกร็ดที่น่าสนใจของโบสถ์แห่งนี้คือถูกย้ายมาจากที่อื่นครับ เพราะที่ตั้งเดิมนั้นเกิดการกัดเซาะที่เกิดจากน้ำท่วม ทางการเมืองจึงรื้อโบสถ์แห่งนี้เป็นชิ้นๆ แล้วนำมาเรียงใหม่ ณ สถานที่ในปัจจุบันครับ
8. Piazza dei Cavalieri
Piazza dei Cavalieri เป็นศูนย์กลางการปกครองเมืองเมื่อครั้งอดีตกาล โดยที่นี่มีสถานที่สำคัญหลายแห่งด้วยกัน อาทิเช่น
- Palazzo della Carovana วังเก่าที่เคยถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนอัศวิน (Order of the Knights of Santo Stefano) โดยด้านหน้ามีจุดเด่นคือมีงานภาพขีดเขียน (Graffiti) ครับ
- Scuola Normale Superiore – มหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งโดยนโปเลียน โบนาปาร์ตตามแบบของ École ในกรุงปารีสของฝรั่งเศสครับ
- Palazzo dell’Orologio – อาคารที่ใช้เป็นโรงพยาบาลและคุกขององค์กรอัศวิน
9. Walls of Pisa
กำแพงเมืองปิซ่า (Walls of Pisa) ถือว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยมีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 12 และใช้ป้องกันเมืองมาหลายครั้งครับ
ในปัจจุบันตัวกำแพงได้ถูกบูรณะจนนักท่องเที่ยวสามารถเดินตามกำแพงเพื่อชมวิวสวยๆ ของตัวเมืองได้ครับ
10. Pisa Botanical Garden
Pisa Botanical Garden หรือสวนพฤกษศาสตร์ปิซ่าเป็นสวนริมแม่น้ำ Arno ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และเก็บพันธุ์พืชจากทั่วโลก ซึ่งมีทั้งไม้ยืนต้นอายุหลายร้อยปีไปจนถึงพืชน้ำและสมุนไพรต่างๆ ครับ
ภายในสวนมีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ด้วย โดยตัวพิพิธภัณฑ์มีความเป็นมาย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16 ซึ่งตระกูลเมดิซีใช้เก็บสะสมผลงานต่างๆ ของธรรมชาติครับ ปัจจุบันมีจัดแสดงให้ชมกว่าสามแสนชนิดด้วยกัน ใครที่ชอบต้นไม้ไม่ควรพลาดครับ
11. พิพิธภัณฑ์อื่นๆ
เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ของอิตาลี ปิซ่านั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุอันล้ำค่าที่แสดงถึงความเป็นมาของเมืองได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น
- National Museum of San Matteo – พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในอารามเก่าแก่จากยุคกลาง ปัจจุบันจัดแสดงงานเขียนและรูปปั้นที่มีที่มาจากยุคศตวรรษที่ 12-15 ครับ
- Museum of Pathological Anatomy – พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ที่เก็บชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ตั้งแต่สมัยอีทรัสกันมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงเคสแปลกๆ ที่เกิดกับมนุษย์กว่า 3,000 เคสด้วยกัน รวมไปถึงปรสิตและแมลงมีพิษต่างๆ ด้วยครับ
- Palazzo Blu – วังเก่าสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งใช้เก็บรักษาผลงานศิลปะต่างๆ ของศิลปินชาวอิตาเลียนตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16-20 ครับ
12. Piazza Vittorio Emanuele II
Piazza Vittorio Emanuele II เป็นจัตุรัสอันเป็นศูนย์กลางของเมืองปิซ่า ซึ่งชาวอิตาเลียนมักจะมานัดพบปะกัน โดยมีคาเฟ่ ร้านอาหาร และบาร์อยู่มากมายครับ รวมไปถึงถนน Corso Italia ถนนช้อปปิ้งสายหลักของเมืองอีกด้วย
ใกล้กับบริเวณจัตุรัสมีผลงานกราฟิตี้บนอาคารหลังหนึ่งของโบสถ์ ซึ่งเรียกกันว่า Tuttomondo อันเป็นผลงานของ Keith Haring และมีนัยถึงสันติภาพของโลกครับ ก
13. Lungarni
Lungarni คือพื้นที่ริมแม่น้ำ Arno ซึ่งบริเวณนี้มีบ้านของชนชั้นสูงของเมืองปิซ่าเรียงรายกันไปครับ แต่ในปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร บาร์ คลับ ฯลฯ
ชาวเมืองมักจะมาเดินเล่นกันช่วงค่ำเพื่อสัมผัสบรรยากาศสายน้ำตกกระทบแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิมอันสวยงามครับ
14. เดินเล่นและ Hangout
นอกเหนือจากที่ได้แนะนำไปแล้ว เมืองปิซ่ามีจุดให้เดินเล่นและ Hangout อยู่อีกหลายแห่ง อาทิเช่น Piazza Garibaldi ศูนย์กลางของกิจกรรมยามค่ำคืนที่เมืองแห่งนี้ ไปจนถึง Borgo Stretto ตรอกที่ขนาบด้วยอาคารเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14-15 และปัจจุบันมีร้านค้าและร้านอาหรมากมายครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจได้แก่ Piazza delle Vettovaglie โซนร้านค้าขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเป็นตลาดเช้า ซึ่งชาวเมืองมาจับจ่ายผักผลไม้ชั้นดี
15. Marina di Pisa
Marina di Pisa เป็นเมืองรีสอร์ทซึ่งห่างจากตัวเมืองปิซ่าไปประมาณ 11 กิโลเมตร ในอดีตที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมงแต่ได้พัฒนาเป็นรีสอร์ทช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ
ภายในตัวเมืองมีอาคารสไตล์ Art Nouveau อยู่หลายหลัง และมีร้านอาหารตลอดจนคาเฟ่ริมทะเลสีสวย ทำให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของชาวเมืองครับ
16. ชิมอาหารพื้นเมือง
ปิซ่ามีอาหารพื้นเมืองที่น่าสนใจอยู่หลายเมนูด้วยกัน ซึ่งถ้าคุณไปเยือนไม่ควรพลาดลองชิมอย่างเช่น
- Cinghiale – เนื้อหมูป่าที่มักจะเสิร์ฟแบบผัดมาในซอสมะเขือเทศกับเส้นพาสต้าเส้นใหญ่อย่าง Pappardelle ครับ
- Pilgrim Cake – หรือ Torta co’ bischeri เป็นขนมหวานพื้นเมืองของปิซ่า และมีส่วนผสมของไข่ ถั่ว ช็อคโกแลต ฯลฯ
- Crostini Toscani – ขนมปังกรอบที่กินคู่กับตับไก่
References
- Turismo Pisa (Official Guide)
- Visit Tuscany
- opepisa.it
- Le Navi Antiche di Pisa
- Orto e Museo Botanico