หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวยุโรป14 ที่เที่ยวราเวนนา (Ravenna) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

14 ที่เที่ยวราเวนนา (Ravenna) และกิจกรรมน่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

ราเวนนา (Ravenna) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดราเวนนาที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค Emilla-Romagna ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี

สำหรับใครที่สนใจประวัติศาสตร์โรมันน่าจะคุ้นเคยชื่อเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี เพราะราเวนนาเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (Western Roman Empire) ก่อนที่จะสูญสิ้นไปด้วยน้ำมือของอนารยชนกลุ่มต่างๆ ครับ

ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าในเมืองจะยังหลงเหลือโบราณสถานและศาสนสถานหลายแห่งที่สวยงามโดดเด่นจากช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยี่ยมเยือนที่นี่

ในบทความนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับเมืองราเวนนาคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

ความเป็นมาของเมืองราเวนนา (Ravenna)

พื้นที่บริเวณเมืองราเวนนานั้นมีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล แม้ว่าชาวโรมันจะขึ้นมามีอำนาจเหนือบริเวณนี้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก

ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะใกล้เมืองราเวนนาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำติดทะเลที่ยากต่อการสร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ ก็เป็นได้ หรือว่าเพราะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย

ในปีที่ 89 ก่อนคริสตกาล ราเวนนาได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ ในอาณาจักรโรมันที่กำลังรุ่งเรืองขึ้นถึงขีดสุด แต่ก็ยังไม่ได้รับความสำคัญนอกจากเป็นจุดที่จูเลียส ซีซาร์รวบรวมกำลังทหาร และตัดสินใจขั้นสุดท้ายก่อนที่จะยกพลข้ามแม่น้ำรูบิคอน (Rubicon River) เพื่อทำสงครามกับเหล่าสภาเซเนต

ราเวนนาได้รับความสำคัญจริงๆ ในอีกไม่กี่สิบปีต่อมา เพราะออคเตเวียน (Octavian) ผู้สืบทอดของซีซาร์ได้สร้างท่าเรือริมทะเลเอเดรียติกขึ้นห่างจากตัวเมืองไปเล็กน้อย และได้มีแนวปราการป้องกันเป็นอย่างดี

ศูนย์กลางเมืองราเวนนาในปัจจุบัน
by Vivida Photo PC/ShutterStock

นับตั้งแต่นั้นราเวนนาจึงได้กลายเป็นสถานที่ตั้งของกองทัพเรือโรมันในช่วงยุคจักรพรรดิ และรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งครับ

ในปี ค.ศ.408 จักรพรรดิ Honorius ได้ย้ายเมืองหลวงของจักรวรรดิจากกรุงโรมมาตั้งอยู่ที่นี่ เพราะมีชัยภูมิดี ป้องกันง่าย (มีพื้นที่ชุ่มน้ำโดยรอบ) และยังใกล้กับทะเลที่เชื่อมกับจักรวรรดิโรมันตะวันออกอีกด้วย

พื้นที่ชุ่มน้่ำใกล้กับเมืองราเวนนา
พื้นที่ชุ่มน้่ำใกล้กับเมืองราเวนนา by Roberto Binetti/ShutterStock

ตัวเมืองจึงเจรีญขึ้นถึงขีดสุด และด้วยความที่ในช่วงนั้นศาสนาคริสต์เป็นที่นับถือโดยจักรพรรดิโรมัน ทำให้มีการสร้างศาสนสถานขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งได้ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันและได้กลายเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกครับ

จักรวรรดิโรมันตะวันตกถึงกาลล่มสลายเมื่อ Romulus Augustulus ยุวจักรพรรดิถูกถอดจากบัลลังก์ที่ราเวนนา หลังจากนั้นราเวนนาจึงอยู่ในกำมือของชาว Ostrogoth หนึ่งในชนเผ่าเยอรมัน แต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก เพราะกษัตริย์ Ostrogoth ได้สร้างสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่และสวยงามขึ้นที่นี่ครับ

ต่อมาในช่วงปี ค.ศ.540 จักรวรรดิไบแซนไทน์ (หรือโรมันตะวันออก) ได้ตีชิงเมืองราเวนนากลับคืนได้เป็นผลสำเร็จ และได้สถาปนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการปกครองดินแดนต่างๆ ในอิตาลี

by canadastock/ShutterStock

ช่วงนี้ราเวนนาได้กลายเป็นเมืองคริสต์ที่สำคัญ ถึงขนาดที่อาร์กบิชอปของเมืองนั้นมีอำนาจเป็นลำดับสองในศาสนจักรรองมาจากโป๊ป (สันตะปาปา) ที่กรุงโรมพระองค์เดียวเท่านั้น

หลังจากความสับสนชุลมุนในช่วงยุคกลาง ราเวนนาได้กลายเป็นถูกลดความสำคัญลง และกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ศาสนจักรแห่งโรมปกครองโดยตรง หลังจากนั้นราเวนนากลายเป็นหนึ่งในเมืองของสาธารณรัฐเวนิสในช่วงศตวรรษที่ 15 ก่อนที่จะกลับไปอยู่ในศาสนจักรอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่งประเทศอิตาลีได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1861

ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่ได้มีการสร้างคลองหลายสายขึ้นในราเวนนา และสูบน้ำออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม โครงการนี้ได้เกิดผลดีอย่างมากมายแก่ชาวเมือง เพราะได้บุกเบิกพื้นที่การเกษตรมากมาย ซึ่งชาวเมืองได้ใช้ประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้ครับ

เมืองราเวนนาจากมุมสูง
by Sean Pavone/ShutterStock

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ราเวนนาถูกกองทัพพันธมิตรทิ้งระเบิดจนได้รับความเสียหายหนักมาก ซึ่งรวมไปถึงศาสนสถานเก่าแก่หลายแห่งด้วย แต่ตัวเมืองก็ได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาสวยงามดังเดิม

ปัจจุบันราเวนนาเป็นเมืองที่มีมรดกโลกถึง 8 แห่งด้วยกัน และยังมีเทศกาล Ravenna Festival ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายให้มาเยือนที่นี่ในทุกๆ ปีครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปราเวนนาทำอย่างไร?

ราเวนนาเชื่อมกับเมืองอื่นของอิตาลีด้วยรถบัสหรือรถไฟ รถบัสนั้นคุณสามารถใช้บริการของ Flixbus หรือ Sulga จากเมืองใหญ่ของอิตาลี ซึ่งประหยัดแต่ใช้เวลามากกว่ารถไฟครับ

ส่วนรถไฟนั้นคุณจะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูง (Frecciarossa) ไปยังเมืองโบโลญญา แล้วต่อรถไฟท้องถิ่นเข้าราเวนนาครับ การจองได้ทำผ่านเว็บ trenitalia เว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ของอิตาลีครับ

อีกทางเลือกหนึ่งคือการจองผ่านเว็บ Omio เพื่อความสะดวกสบายครับ ซึ่งคุณจะได้ทั้งตรวจสอบเวลา เส้นทางทั้งรถบัสและรถไฟ พร้อมกับจองได้ในเว็บเดียว ซึ่งประหยัดเวลาและสะดวกกว่ามากครับ

ตัวเลือกสุดท้ายคือเช่ารถขับ ซึ่งให้ความสะดวกสบายและคล่องตัว และเปิดกว้างสำหรับการเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ด้วย ราเวนนาเองก็มีที่จอดรถฟรีอยู่หลายแห่ง แต่คุณต้องคำนึงเรื่องค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน รวมไปถึงเรื่อง Limited Traffic Zone (พื้นที่จำกัดการใช้รถยนต์) ด้วยครับ

ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก turismo.ra.it หรือเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวราเวนนา ผมแนะนำให้ตรวจสอบที่ต้นทางอีกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ

การสัญจรในเมืองราเวนนา

ราเวนนามีขนส่งสาธารณะหลายรูปแบบตั้งแต่

  • รถประจำทาง Freecia Blu – ส่งผู้โดยสารตามจุดต่างๆ ในเมือง รวมไปถึงชายฝั่งทะเลเอเดรียติก
  • แท็กซี่
  • เช่าจักรยานและสกู๊ตเตอร์

ข้อควรทราบ

คุณสามารถซื้อตั๋วแบบ Inclusive Ticket ในราคา 12.5 ยูโรเพื่อชมสถานที่ลำดับที่ 1-5 ได้ครับ แต่ควรจะล่วงหน้าทางออนไลน์ (ตามเว็บนี้) เพราะ Mausoleum of Galla Placidia (#1) และ Neonian Baptistery (#3) จะจำกัดจำนวนผู้เข้าชม และแต่ละรอบเปิดให้ชมน้อยมากครับ

1. Mausoleum of Galla Placidia

Mausoleum of Galla Placidia เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในราเวนนา และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 5 เพื่อเป็นสถานที่เก็บพระศพของ Galla Placidia ผู้เป็นน้องสาวของจักรพรรดิ Honorius แต่พระนางกลับไม่ได้ถูกฝังที่นี่เพราะได้สวรรคตไปก่อนที่กรุงโรมครับ

Mausoleum of Galla Placidia
by s74/ShutterStock

ด้านนอกสุสานนั้นดูราบเรียบมาก แต่ด้านในมีความสวยงามเลื่องลือเพราะมีการประดับประดาด้วยโมเสกสีน้ำเงินอย่างอลังการไปทั่วอาณาบริเวณ ราวกับว่าเป็นท้องฟ้าที่มีดาวพร่างพรายครับ

จุดเด่นจะอยู่ที่ตรงกลางจะมีไม้กางเขนแบบละตินตั้งอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงองค์พระเยซูครับ นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์อีกมากมายที่แสดงถึงชัยชนะเหนือความตาย และความสุขนิรันดร์

โดยรวมแล้วที่นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ราเวนนามีชื่อเสียงในเรื่องโมเสกที่งามอันดับต้นๆ ของโลก (เหมือนกับมาดาบาในจอร์แดน) เพราะฉะนั้นไม่ควรพลาดชมทุกประการเลยครับ

2. Basilica of San Vitale

ห่างออกไปไม่ไกลนักคือ Basilica of San Vitale มหาวิหารที่มีโมเสกที่สวยที่สุดของราเวนนา และเป็นผลงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแบบ Early Christian Art ที่ยอดเยี่ยมที่สุดครับ

ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 6 โดยอุทิศให้กับนักบุญ St.Vitale หนึ่งในมรณสักขีคนแรกๆ ของคริสตศาสนา Vitale เป็นทหารโรมันที่ถูกฝังทั้งเป็นเพราะไม่ยอมละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าครับ

Basilica of San Vitale ทีเที่ยวเมืองราเวนนา
by Sean Pavone/ShutterStock

เนื่องจากตัวโครงสร้างของอาคารนั้นไม่เห็นกับมหาวิหารทั่วไป โดยดูเหมือนทรงแปดเหลี่ยมทำให้รูปทรงของที่นี่โดดเด่นไม่เหมือนที่อื่นครับ

แต่ที่โดดเด่นออกมาจริงๆ คือด้านใน เพราะมีทุกด้านตบแต่งด้วยโมเสกขนาดใหญ่ที่แสดงถึงเรื่องเล่าในพระคัมภีร์เก่าและใหม่ รวมไปถึงบุคคลสำคัญในช่วงนั้นอย่างเช่นกษัตริย์ Theodoric แห่ง Ostrogoth หรือจักรพรรดิ Justinian ครับ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงอำนาจของศาสนจักร ซึ่งทรงอิทธิพลอย่างยิ่งยวดในช่วงเวลาดังกล่าวครับ

โมเสกด้านในมหาวิหาร Basilica of San Vitale
by Thomas Marek/ShutterSTock

แต่ที่สำคัญที่สุดคือรูปของ Saint Vitalis ที่รับมอบมงกุฎแห่งมรณสักขีจากพระเยซูคริสต์ครับ

โดยรวมแล้วมหาวิหารแห่งนี้งดงามและน่าสนใจมาก ใครที่ชอบวิเคราะห์สัญลักษณ์ต่างๆ หรือตามรอยเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาไม่ควรพลาดครับ

3. Neonian Baptistery

Neonian Baptistery เป็นอีกหนึ่งปูชนียสถานในช่วงต้นศาสนาคริสต์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีโมเสกที่สวยเลื่องลือที่สุด โดยได้รับการสร้างในช่วงศตวรรษที่ 5 ที่ราเวนนาเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันครับ แต่ที่ทำให้ที่นี่เหนือกว่าที่อื่นคือ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก และอยู่ในสภาพเดิมเหมือนกับเมื่อ 1,500 ปีก่อนครับ

Neonian Baptistery
by lindasky76/ShutterStock

ด้านนอกของปูชนียสถานจะเป็นทรงแปดเหลี่ยม ถ้าเดินจากด้านนอกเข้าไปด้านในจะรู้สึกสว่างขึ้น ซึ่งเป็นกุศโลบายที่แสดงถึงการทำพิธีศีลจุ่มในศาสนาคริสต์ครับ

วิธีการชมโมเสกที่ดีที่สุดคือชมตามลำดับจากด้านล่างเข้าไปที่ตรงกลาง (ด้านบนที่โดม) ครับ

เริ่มแรกคุณจะเห็นรูปธรรมชาติก่อน ตามด้วยบัลลังก์ที่ว่างเปล่า หลังจากนั้นคุณจะเห็นเหล่าสานุศิษย์ทั้ง 12 ของพระเยซูคริสต์ และปิดท้ายด้วยองค์พระเยซูคริสต์ที่ทำพิธีศีลจุ่มที่แม่น้ำจอร์แดนอันใสสะอาด พร้อมกับนักบุญจอห์น (John the Baptist) ครับ

Neonian Baptistery
by mountainpix/ShutterStock

4. Basilica of Sant’Apollinare Nuovo

มหาวิหารสุดอลังการที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 5 ถึงต้นศตวรรษที่ 6 โดยกษัตริย์ Theodoric ของพวก Ostrogoth ผู้นับถือศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า พระองค์ได้โปรดให้สร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นติดกับพระราชวังครับ

by Renata Sedmakova/ShutterStock

เดิมทีมหาวิหารนี้เป็นของนิกาย Arian แต่เมื่อชาวไบแซนไทน์เข้ามาปกครองราเวนนาก็ได้เปลี่ยนที่นี่เป็นของศาสนจักรออร์โธดอกซ์ที่พวกเขานับถือครับ

ถ้าดูจากภายนอกนั้น มหาวิหารนี้เรียบง่ายโดยมีจุดเด่นที่หอระฆังทรงกระบอกที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 แต่ด้านในนั้นงดงามสุดยอด เพราะมีโมเสกสภาพสมบูรณ์ที่เล่าเรื่องราว 26 เรื่องจากพระคัมภีร์ใหม่เป็นแนวเรียงรายกันไป โมเสกของที่นี่ทั้งสวยงามและมีคุณค่าทางศิลปกรรมและศาสนาอย่างเทียบไม่ได้เลยครับ

5. Archiepiscopal Chapel

Archiepiscopal Chapel เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 5 หลังจากที่ชาวไบแซนไทน์ได้ครองเมืองนี้ได้เปลี่ยนตัวโบสถ์ให้เป็นของนักบุญแอนดรูว์ (St.Andrew) ครับ

Neonian Baptistery
by Vivida Photo PC/ShutterStock

ในโบสถ์มีโมเสกอยู่พอสมควร โดยมีรูปของพระเยซูคริสต์ (สวมใส่เกราะเหมือนกับนักรบ โดยถือไม้กางเขนเป็นอาวุธ) มรณสักชี และบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์อื่นๆ

โทนสีของโมเสกนั้นจะมีสีสว่างเรืองรองแทบทั้งหมด ซึ่งจะสวยงามเปล่งประกายในยามที่คุณเดินเข้าไปชมครับ

6. Arian Baptistery

Arian Baptistery เป็นศาสนสถานของนิกาย Arian ที่ชาว Ostrogoth นับถือ โดยตัวอาคารสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 5 แต่ถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์พระแม่มารีในช่วงที่ชาวไบแซนไทน์เข้ามาปกครองที่นี่ครับ

Arian Baptistery
by claudio zaccherini/ShutterStock

ปัจจุบันที่นี่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเช่นกัน แต่สภาพและความอลังการนั้นเทีบบไม่ได้กับ 5 แห่งที่ผมแนะนำไปด้านบน ถึงกระนั้นด้านในก็ยังมีโมเสกทองคำที่แสดงถึงพิธีศีลจุ่มของพระเยซูคริสต์ (ล้อมรอบด้วยเหล่าสานุศิษย์) อยู่ครับ

ค่าเข้าชม: 2 ยูโร

7. Mausoleum of Theodoric

กษัตริย์ธีโอดอริกมหาราช (Theodoric the Great) ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักร Ostrogoth ที่ปกครองอิตาลีหลังจากที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกหายไปจากพื้นพิภพ

Mausoleum of Theodoric
by errness/ShutterStock

ที่นี่เป็นสุสานของพระองค์ครับ ซึ่งสร้างด้วยใช้สถาปัตยกรรมแบบโรมันและตะวันออกผสมผสานกัน ด้านบนของสุสานเป็นโดมที่เป็นหินก้อนใหญ่หนักกว่า 290 ตัน นักประวัติศาสตร์ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้สร้างในสมัยนั้นลำเลียงขึ้นไปได้อย่างไรครับ

ค่าเข้าชม 4 ยูโร

8. Zone of Silence

Zone of Silence เป็นย่านเก่าแก่ในเมืองราเวนนาที่เป็นโครงการในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่จัดสร้างพื้นที่เพื่อระลึกถึงดันเต้ (Dante) ครับ

ดันเต้ผู้นี้เป็นนักเขียนชาวอิตาเลียนผู้ประพันธ์วรรณกรรมอย่าง Inferno และ Paradiso ซึ่งบรรยายถึงนรกและสวรรค์ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ (ถ้าสนใจลองอ่านได้ครับ ผมเคยเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัย แล้วชอบมากเลยทีเดียว)

Basilica di San Francesco
by Basilica di San Francesco by Siby Fanciulli/ShutterStock

ในช่วงชีวิตของดันเต้นั้น เขาอาศัยอยู่ที่ราเวนนา และได้ถึงแก่กรรมที่นี่เช่นกันครับ

จุดที่น่าสนใจได้แก่

  • Dante Alighieri’s Tomb – สุสานในสไตล์ Neoclassical ของดันเต้ที่สร้างขึ้นหลังจากที่เขาล่วงลับไปแล้วกว่า 450 ปี และเป็นสถานที่รักษาร่างของนักประพันธ์ผู้นี้มาจนถึงปัจจุบัน (แม้ว่าจะต้องหลบผู้รุกรานหลายครั้ง อย่างเช่นนโปเลียนเป็นต้น)
  • Basilica of San Francesco – มหาวิหารสร้างด้วยสไตล์ Romanesque ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสุสานของดันเต้ เมื่อครั้งยังมีชีวิต ดันเต้ได้มาที่นี่บ่อยครั้ง และเป็นสถานที่จัดงานศพให้กับเขาด้วยครับ อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นคือชิ้นส่วนของโมเสกใต้น้ำ ซึ่งคุณสามารถชมได้ครับ
  • Museo Dante – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงชีวิตของดันเต้ และเก็บรักษาโบราณวัตถุหลายชิ้นที่เกี่ยวเนื่องกับนักประพันธ์ผู้นี้ครับ

8. Classense Library

Classense Library เป็นห้องสมุดที่ได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ด้านในห้องสมุดได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามอลังการด้วย stucco และ fresco โดยเฉพาะห้อง Aula Magna ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ collection หนังสือที่เก็บรักษาเอาไว้ บางเล่มนั้นมีอายุ 500-1,000 ปี และรวมไปถึงผลงานที่สมบูรณ์ที่สุดของนักประพันธ์อย่างดันเต้ด้วยครับ

9. Piazza Del Popolo

Piazza Del Popolo เป็นจัตุรัสที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของเมืองมาตั้งแต่โบราณ และเป็นพื้นที่โล่งให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันบริเวณนี้มีคาเฟ่และร้านอาหารหลายแห่งที่เปิดรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนอิตาเลียนมาพบปะและชิมของว่างกันครับ

Piazza Del Popolo ศูนย์กลางของเมืองราเวนนา (Ravenna)
by Sean Pavone/ShutterStock

10. Basilica of Sant’ Apollinare in Classe

มรดกโลกแห่งเดียวของราเวนนาที่ตั้งอยู่นอกเมือง โดยมหาวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Classe เมืองท่าโบราณที่ห่างจากราเวนนาไปประมาณ 8 กิโลเมตรครับ

Basilica of Sant' Apollinare in Classe เมืองราเวนนา
by borisb17/ShutterStock

ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นเก่ามาก เพราะสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โน่นเลย โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บร่างของ St. Apollinaris ครับ จุดเด่นของตัวมหาวิหารอยู่ที่ด้านหน้า (Facade) ที่กว้างขวางและสูง และมีหอคอยรูปทรงกระบอกตั้งอยู่เคียงข้างเช่นกัน

ด้านในของ Basilica of Sant' Apollinare in Classe
by javarman/ShutterStock

สำหรับด้านในของมหาวิหารนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพดีเท่าที่อื่นที่อยู่ในเมือง (เนื่องจากการปล้นสะดมหลายครั้งที่เกิดขึ้นตามกงล้อของประวัติศาสตร์) แต่ก็ยังมีโมเสกสวยๆ ที่มีรูปพืชและสัตว์ตามธรรมชาติ ไปจนถึงรูปของนักบุญพร้อมกับลูกแกะ 12 ตัว และพระพักตร์ของพระเยซูครับ

11. ชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

ในเมืองราเวนนามีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน อาทิเช่น

by Pier Giorgio Carloni/ShutterStock
  • MAR – Ravenna Art Museum – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานหลากหลายตั้งแต่งานยุคโบราณมาจนถึงยุคโมเดิร์น นอกจากนี้ยังมีโมเสกในสไตล์ร่วมสมัยให้ได้ชมกันด้วยครับ
  • National Museum of Ravenna – พิพิธภัณฑ์หลักของเมืองที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่ถูกค้นพบมากมายบริเวณเมือง บางชิ้นมีอายุเก่าแก่เกือบสองพันปี และหาชมที่ไหนไม่ได้ด้วย ใครที่ชอบโบราณคดีและประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเลยครับ
  • Tamo Museum – พิพิธภัณฑ์โมเสกที่จัดแสดงโมเสกจากหลายยุคหลายสมัย ซึ่งรวมไปถึงโมเสกที่เล่าสตอรี่ที่ปรากฏในวรรณกรรมอันเป็นผลงานของดันเต้ครับ
  • Natura Museum – พิพิธภัณฑ์สัตว์ที่จัดแสดงสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมากถึง 380 สายพันธุ์ด้วยกันครับ
  • Classis Ravenna – พิพิธภัณฑ์ที่เล่าสตอรี่ของเมืองตั้งแต่ต้นจนจบ และมีโบราณวัตถุอีกมากมายให้เข้าชม ตัวพิพิธภัณฑ์อยู่ในเมือง Classe ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับราเวนนาครับ

12. Cervia Salt Pan

Cervia Salt Pan เป็นส่วนหนึ่งของ Po River Park โดยอยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเล และห่างจากราเวนนาไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ที่นี่เป็นสถานที่ผลิตเกลือมาตั้งแต่อดีตกาลครับ ซึ่งคุณสามารถมาชมวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านได้ครับ

Cervia Salt Pan
by Pratolina AB/ShutterStock

นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดชมนกฟลามิงโก้ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติด้วยครับ ซึ่งถ้ามาตอนช่วงเย็นที่ดวงอาทิตย์ตกดินจะสวยไม่เบาเลยทีเดียว

13. ชมดนตรีช่วงเทศกาล Ravenna Festival

ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมของทุกปี เมืองราเวนนาจะมีจัดเทศกาลใหญ่ชื่อ Ravenna Festival ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีและโอเปร่า สำหรับสถานที่จัดแสดงนั้นจะอยู่ในหลายแห่งในบริเวณตัวเมือง

ถ้าสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มได้ที่เว็บไซต์ทางการของเทศกาลครับ

14. ชายฝั่งทะเลเอเดรียติก

ภายในเขตเมืองมีชายฝั่งทะเลเอเดรียติกที่ยาวถึง 35 กิโลเมตร และมีเมืองรีสอร์ทขนาดย่อยอีก 9 แห่ง เมืองที่น่าสนใจได้แก่

ชายฝั่งทะเลเมืองราเวนนา
by Roberto Binetti/ShutterStock
  • Lido di Salvo – เมืองชายทะเลที่มีชายหาดสุดสวย ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแอ่งเกลือครับ
  • Casalborsetti – อดีตหมู่บ้านชาวประมงที่กลายเป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยม
  • Lido Adriano – เมืองรีสอร์ทที่มีหาดทรายสีทองสวยงาม

แต่ละแห่งมีโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี เหมาะกับการชมวิวและพักผ่อนครับ

15. ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง

ด้วยความที่เป็นเมืองเก่าแก่ ราเวนนามีวัฒนธรรมอาหารที่ทรงพลังและแข็งแกร่งไม่แพ้เมืองในอิตาลี เมนูที่คุณควรจะลองได้แก่

  • พาสต้า – เส้นที่ได้ความนิยมคือ passatelli และ tagliatelle รวมไปถึง cappelleti ครับ
  • Piadina – เมนูขนมปังที่มีให้กินทุกมื้อ
  • Zuppa Inglese – เมนูของหวานแบบคัสตาร์ทรสเลิศ ใครชอบกินของหวานไม่ควรพักทุกประการครับ

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

Most Popular

error: Content is protected !!