ไซตามะ (Saitama) เป็นจังหวัดเก่าแก่ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโตเกียว เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีเมืองเก่าและปูชนียสถานที่สวยงามมากมาย เช่นเดียวกับธรรมชาติที่ตระการตาไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ โตรก หรือว่าภูเขาครับ
บทความนี้จึงจะมาแนะนำให้คุณรู้จักกับความเป็นมาของไซตามะคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักจังหวัดไซตามะ (Saitama)
ไซตามะเป็นจังหวัดโบราณที่ย้อนกลับไปได้ถึงช่วงก่อนคริสตกาล โดยพื้นที่ปัจจุบันของจังหวัดนั้นอยู่ในจังหวัดโบราณชื่อมูซาชิ (Musashi Province)
จังหวัดนี้มีชื่อเสียงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ทำให้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาทุกยุคทุกสมัยของภูมิภาคคันโตครับ นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับเมืองอย่างเอโดะด้วย รัฐบาลโชกุนจึงมักมอบพื้นที่ส่วนนี้ให้ไดเมียวสายตระกูลที่ใกล้ชิดกับพวกตนที่สุดไปปกครอง
ในช่วงยุคเมจิ รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนการปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด และได้สถาปนาจังหวัดใหม่ขึ้นในนามจังหวัดไซตามะ โดยมีเมืองอุราวะ (Urawa) เป็นเมืองหลวง ก่อนที่จะมีการรวมพื้นที่เมืองโดยรอบเข้ากับอุราวะในปี ค.ศ.2001 จนกลายเป็นเมืองไซตามะ (Saitama City) ในปัจจุบันครับ
ด้วยความที่กรุงโตเกียวอัดแน่นไปด้วยผู้คนในช่วงที่ญี่ปุ่นมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดหลังสงคราม จังหวัดไซตามะจึงมีประชากรมากขึ้นหลายเท่า เนื่องด้วยค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยต่ำกว่าโตเกียว และสามารถเข้าไปทำงานในเมืองหลวงได้ด้วยการใช้ระบบรถไฟที่สะดวกสบายครับ
ด้วยสาเหตุเดียวกันทำให้ไซตามะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัดเช่นเดียวกันครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวจังหวัดไซตามะทำอย่างไร?
โดยมากแล้วเมืองท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในไซตามะสามารถไปถึงได้ด้วยรถไฟ (Tobu/Seibu/JR) จากกรุงโตเกียว โดยรถที่ไซตามะมักจะออกจาก สถานี Ueno/Shinjuku/Ikebukuro ผมให้ตรวจสอบวิธีการไปเมืองต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวไซตามะครับ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและอัพเดตมากที่สุด
หรือทางเลือกหนึ่งที่สะดวกสบายและยืดหยุ่นมากกว่าคือ การเช่ารถขับครับ เพราะไซตามะนั้นอยู่ใกล้กับโตเกียวมาก ทำให้ขับไปเที่ยวได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย
ไปเที่ยวไซตามะช่วงไหนดี?
ไซตามะนั้นสามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดู ช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นมีซากุระให้ชมในหลายสวนด้วยกัน ซึ่งล้วนแต่สวยงามมาก ส่วนช่วงฤดูร้อนนั้นจะมีทุ่งดอกไม้ให้ชม ส่วนสวนผลไม้หลายแห่งก็ฺจะเปิดให้ไปเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นก็จะเป็นช่วงของใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นากาโทโระ ขณะที่ฤดูหนาวจะมีถ้ำน้ำแข็งอันตระการตาให้ชมด้วยครับ
1. คาวาโกเอะ
คาวาโกเอะ (Kawagoe) เป็นเมืองเก่าซึ่งในอดีตเคยเป็นคลังสินค้าและสถานที่จัดส่งอาหารให้กับเมืองหลวงอย่างเอโดะในอดีต รวมไปถึงเมืองการค้าที่รุ่งโรจน์ทำให้ได้สมญาว่าเป็นเอโดะน้อย (Koedo) ครับ
ภายในเมืองมีเมืองเก่าอันสวยงามที่รอดพ้นจากไฟไหม้และไฟสงครามมาได้ ซึ่งคุณสามารถสวมใส่ชุดกิโมโน แล้วเดินสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมผ่านทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ไปจนถึงวัฒนธรรมอาหารที่มีหลายอย่างที่คุณไม่ควรพลาด อย่างเช่นมันหวาน และข้าวหน้าปลาไหลครับ
ที่พัก
คาวาโกเอะเป็นตัวเลือกที่พักที่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าคุณอยากสัมผัสบรรยากาศแบบดั้งเดิม ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักในคาวาโกเอะเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
2. จิจิบุ
จิจิบุ (Chichibu) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดไซตามะ สถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่โดดเด่นทั้งวัฒนธรรมและธรรมชาติเลยครับ
ในเรื่องวัฒนธรรมนั้น จิจิบุเป็นสถานที่แสวงบุญโบราณที่มีวัดมากกว่า 30 แห่งซึ่งเหล่าศาสนิกมักจะมาสวมชุดขาว และเดินตามเส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมไปถึงทำกิจกรรมอย่างเช่นการคัดลอกพระสูตร หรือ ฝึกสมาธิ แน่นอนว่าคุณสามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน
แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือเทศกาลกลางคืนจิจิบุ (Chichibu Night Festival) ที่จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลรถแห่ที่อลังการที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เคียงคู่กับที่ทาคายาม่าและเกียวโตครับ
สำหรับใครที่ชอบชมธรรมชาตินั้น จิจิบุมีของดีให้ชมแทบจะทุกฤดู ตั้งแต่สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park) ที่มีดอกชิบะซากุระมากเป็นลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ไปจนถึงหุบเขานากาสึ (Nakatsu Valley) ที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีระดับท็อป และแท่งน้ำแข็งมิโซสึจิที่เป็นปรากฏการณ์ให้ชมได้ในช่วงฤดูหนาวครับ
3. นากาโทโระ
นากาโทโระ (Nagatoro) เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากจิจิบุ ซึ่งมีโตรกหินที่สวยงาม และมีแม่น้ำอารากาวะไหลผ่าน
นักท่องเที่ยวมักนั่งเรือไม้เพื่อไปชมทัศนียภาพ ซึ่งงดงามและตระการตามาก โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ถนนคิตะซากุระ (Kita Sakura) เพราะมีต้นซากุระเรียงรายให้ชมตลอดสองข้างทางเป็นระยะทางกว่า 2.5 กิโลเมตร ซึ่งสวยงดงามไม่แพ้ที่ใดในญี่ปุ่นเลยครับ
4. เมืองไซตามะ
เมืองไซตามะ (Saitama) หรือเมืองหลวงของจังหวัดนั้นอาจจะไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเหมือนกับที่อื่นๆ แต่ก็มีสถานที่หลายแห่งที่น่าสนใจอย่างเช่น
หมู่บ้านบอนไซโอมิยะ (Omiya Bonsai Village) – หมู่บ้านอายุเกือบหนึ่งร้อยปีซึ่งเก็บรักษาบอนไซอันสวยงามไว้จำนวนมาก นอกจากนี้คุณจะได้เรียนรู้ขั้นตอนการปลูกและรักษาต้นไม้ขนาดเล็กเหล่านี้ให้ออกมาสวยงามตามเทคนิคดั้งเดิมครับ
พิพิธภัณฑ์รถไฟ (Railway Museum) – หนึ่งในพิพิธภัณฑ์รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้านในมีหัวรถจักรเก่าแก่ให้ชมมากมาย รวมไปถึงเทคโนโลยีการเดินรถไฟญี่ปุ่นในแต่ละสมัยอีกด้วยครับ
ข้อเสียของพิพิธภัณฑ์นี้คือต้องไปจองตั๋วล่วงหน้าที่ร้านสะดวกซื้ออย่างเช่น Lawson, 7-11 หรือว่า Ministop ครับ
ศาลเจ้าฮิกาวะ (Hikawa Shrine) – ศาลเจ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ทางศาสนาหลักของจังหวัดมูซาชิ ปัจจุบันมีศาสนิกกว่าสองล้านคนที่มาสักการะและขอพรที่นี่ในทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ครับ
5. เกียวดะ
เกียวดะ (Gyoda) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดไซตามะ ตัวเมืองเป็นเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงเรื่องศิลปะหรือผืนนา่ข้าว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ชาวเมืองสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในปัจจุบันคุณก็ยังสามารถชมได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมครับ
นอกเหนือจากผลงานศิลปะดังกล่าวแล้ว เกียวดะยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งอย่างเช่น
สวนดอกบัวโบราณ (Ancient Lotus Park) – ในสวนมีสระซึ่งมีดอกบัวกว่า 120,000 ดอกจาก 42 สายพันธุ์ให้ได้ชมกันแบบจุใจ นอกจากนี้ในสวนยังมีหอคอยที่คุณสามารถขึ้นไปชมงานศิลปะบนนาข้าวได้อย่างชัดเจนที่สุดอีกด้วยครับ
Sakitama Kofun – สุสานเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 5-7 ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุอันล้ำค่าไว้่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน เช่นเดียวกับซากุระสวยๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ
ปราสาทโอชิ (Oshi Castle Ruins) – ในอดีตที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทโอชิ ปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคคันโต และเคยป้องกันการโจมตีด้วยน้ำครั้งใหญ่ในยุคเซ็นโกกุมาได้ แต่ปัจจุบันของเดิมนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว เหลือแต่เพียงปราสาทจำลองที่สร้างขึ้นในยุคหลังครับ
ถึงกระนั้นด้านในก็มีพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้เข้าชมได้ เช่นเดียวกับต้นซากุระที่บานอย่างงดงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ
6. สวนกอนเก็นโด
สวนกอนเก็นโด (Gongendo Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองซัตเตะ (Satte) ในจังหวัดไซตามะ
ไฮไลท์ของที่นี่คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้ชมความงามของทั้งซากุระ (มีมากกว่า 1,000 ต้น) และทุ่งดอกนาโนะฮานะสีเหลืองไปพร้อมๆ กัน ถ้าคุณหาจุดถ่ายรูปดีๆ คุณสามารถถ่ายทัศนียภาพของทั้งสองดอกไม้ในเฟรมเดียวกันได้อีกด้วยครับ (ช่วงที่ดีที่สุดคือปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน)
แต่ช่วงอื่นก็มีดอกไม้อื่นๆ ให้ชมเช่นกัน อย่างฤดูร้อนจะมีดอก hydrangea ส่วนต้นฤดูใบไม้ร่วงจะมีดอกลิลลี่ ใครที่ชอบดอกไม้ไม่ควรพลาดเลยครับ ก่อนไปอย่าลืมติดตามสถานะของดอกไม้ที่เว็บนี้ จะได้ไปแบบไม่เสียเที่ยวครับ
7. สวนคุมะกายะ ซากุระ สึสึมิ
สวนคุมะกายะ ซากุระ สึสึมิ (Kumagata Sakura Tsutsumi) เป็นสวนสาธารณะในเมืองคุมะกายะ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำอารากาวะ วิวของที่นี่คล้ายคลึงกับที่สวนกอนเก็นโด นั่นคือดอกสีชมพูอ่อนของต้นซากุระที่เรียงรายเป็นแถวจะตัดกับสีเหลืองสดใสของทุ่งดอกนาโนฮานะครับ
ความสวยงามของทัศนียภาพของที่นี่นั้นมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดด้วย ดังนั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเช่นกันครับ
8. ทุ่งคินชาคุดะ ฮิกันบานะ
ทุ่งคินชาคุดะ ฮิกันบานะ (Kinchakuda Higanbana Fields) เป็นพื้นที่ซึ่งปลูกดอกฮิกันบานะ หรือ Red Spider Lily ในภาษาอังกฤษไว้เป็นจำนวนมหาศาล (บ้างกว่ามากถึง 500 ล้านดอก)
ดอกเหล่านี้จะบานสะพรั่งในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นทุ่งสีแดงฉานอย่างงดงามมากครับ
9. Sayama Berryland
Sayama Berryland เป็นฟาร์มผลไม้ที่ตั้งอยู่ในเมืองซายามะ ตัวสวนนั้นมีขนาดใหญ่มาก เรียกได้ว่าเป็นฟาร์มผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันโต แต่ถ้านับเฉพาะสวนบลูเบอรี่และสตรอเบอรี่แล้วนั้น ที่นี่จะใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่นครับ
ปัจจุบันตัวสวนมีกิจกรรมให้เก็บบลูเบอรี่และสตรอเบอรี่ได้ไม่จำกัดในราคา 2,000-2,500 เยน แต่จะมีเวลาให้เก็บแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ดีสตรอเบอรี่และบลูเบอรี่นั้นจะมีให้เก็บในคนละช่วง อย่างสตรอเบอรี่จะเก็บในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคม ส่วนบลูเบอรี่จะอยู่ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสวนครับ
10. Moominvalley Park
Moominvalley Park เป็นสวนสนุกธีม Moomin ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชาวฟินแลนด์ โดยตัวสวนตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฮันโน (Hanno) ในจังหวัดไซตามะครับ
ในสวนสนุกจะมีเมืองที่จำลองมาจากโลกของเหล่า Moomin รวมไปถึงโรงละครที่มีการแสดง เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ และร้านค้าขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าลาย Moomin ให้ได้เลือกซื้อกันด้วยครับ
ค่าเข้าชมอยู่ที่ 3,400 เยน (อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการ)
11. โทริอิคันนง
โทริอิคันนง (Torii Kannon) เป็นพระพุทธรูปองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมสีขาวขนาดใหญ่ที่ตั้งสูงตระหง่านเหนือหุบเขานากุริใกล้กับเมืองฮันโนในจังหวัดไซตามะ โดยสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากความศรัทธาของชายชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งที่ใช้ทุนทรัพย์และเวลาถึง 30 ปีในการรังสรรค์ที่นี่ขึ้นมาครับ
นอกเหนือจากองค์พระแล้ว ด้านในยังมีตัววัดที่มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ต่างๆ ให้คุณได้ไปสักการะ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือการชมวิวครับ วิวบริเวณนี้จะสวยมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะผืนป่าโดยรอบจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง ซึ่งงดงามมากเลยทีเดียว
ไม่ไกลจากองค์พระนั้นมีทะเลสาบสวยชื่อทะเลสาบนากุริ (Lake Naguri) ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ครับ ธรรมชาติรอบทะเลสาบนั้นสวยงามและมีบรรยากาศที่น่าผ่อนคลาย ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมในหมู่ชาวโตเกียวครับ
12. Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel
พออ่านชื่อแล้วหลายคนอาจจะงง แต่เจ้าสิ่งนี้คืออุโมงค์ป้องกันน้ำท่วมที่ใหญ่ที่สุดของโลกครับ ตัวอุโมงค์อยู่ที่เมืองคาสุคาเบะ (Kasukabe) โดยมีหน้าที่ทดน้ำไม่ให้น้ำจากแม่น้ำหลายสายในไซตามะไปท่วมกรุงโตเกียวและเมืองใหญ่ๆ โดยรอบครับ
ปัจจุบันที่นี่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ผู้สนใจได้ไปชมโครงสร้างอันใหญ่โต รวมไปถึงกระบวนการต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ใช้ต่อสู้กับมวลน้ำที่มาจากพายุไต้ฝุ่นและภัยธรรมชาติอื่นๆ ครับ
References
- Chocotabi Saitama (เว็บไซต์ทางการของ Saitama Prefecture Products & Tourism Association)
- Gongendo.jp
- metsa-hanno.com (เว็บทางการของ Moominvalley Park)
- Sayama Berryland Official Site