ชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) เป็นเมืองในจังหวัดยามากุจิซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุดของเกาะฮอนชู ตัวเมืองเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจังหวัดเนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุด และเพราะตัวเมืองห่างจากเกาะคิวชูทางทะเลไปเพียง 650 เมตรเท่านั้นเอง ทำให้หลายคนเรียกชิโมโนเซกิว่าเป็นประตูสู่เกาะคิวชูครับ
ตัวเมืองนั้นมีชื่อเสียงเรื่องอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาปักเป้าหรือฟุกุ (Fugu) ที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูซีฟู้ดอันดับ 1 ของที่นี่ แต่สำหรับใครที่เคยอ่านประวัติศาสตร์จีนมาบ้าง ชิโมโนเซกิเป็นเมืองที่จีนเจรจาสงบศึกกับญี่ปุ่นในสงครามจีน-ญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1895 ซึ่งจบลงด้วยความปราชัยย่อยยับของฝ่ายจีนครับ
รู้จักเมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki)
ชิโมโนเซกิเป็นเมืองโบราณที่มีสถานะเป็นเมืองท่าตั้งแต่อดีต และเป็นสถานที่ซึ่งดินแดนญี่ปุ่นได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมและศาสนามาจากจีนและเกาหลี เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณปลายสุดของเกาะฮอนชูครับ ในช่วงยุคเฮอัน เมืองได้กลายเป็นสถานที่ตรวจตราเรือต่างๆ ที่มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลภายในเซโตะของรัฐบาลกลางครับ
ด้วยความที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ยุทธการสำคัญในสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่นจึงเกิดขึ้นที่นี่อย่างเนืองๆ อย่างเช่นในสงครามเกนเปย (Genpei War) ที่ตระกูลไทระและมินาโมโตะต่อสู้กันในยุทธนาวีแห่งดานโนอุระ (Battle of Dan-no-ura) ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันเด็ดขาดของตระกูลมินาโมโตะ กรุยทางไปสู่การสถาปนารัฐโชกุนแห่งคามาคุระครับ
ต่อมาดินแดนบริเวณนี้ได้อยู่ในกำมือของตระกูลโอะอุจิ (Ouchi Clan) ที่มั่งคั่งเพราะเป็นเมืองท่าที่พ่อค้าและทูตจากเกาหลีและจีนเดินทางมาขึ้นฝั่งที่นี่ แต่ตระกูลโอะอุจิสูญสิ้นอำนาจไปในช่วงศตวรรษที่ 16 เพราะปราชัยต่อการกบฏของตระกูลสุเอะ ผู้ทรยศ ก่อนที่ตระกูลสุเอะจะไปแพ้ตระกูลโมริในยุทธการแห่งเกาะมิยาจิม่า ทำให้ชิโมโนเซกิอยู่ในการปกครองของตระกูลโมริที่มีฐานที่มั่นอยู่ที่ฮิโรชิม่าครับ
ในสมัยเอโดะ ชิโมโนเซกิยังคงเป็นเมืองของไดเมียวตระกูลโมริ และรุ่งโรจน์ในฐานะเมืองท่าเช่นเดียวกับในอดีต จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ตัวเมืองได้ถูกยิงถล่มโดยกองเรือของชาติตะวันตกอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกาเพื่อตอบโต้ตระกูลโมริที่มีท่าทีต่อต้านชาติตะวันตก ทำให้ตัวเมืองเสียหายไปน้อยครับ
ปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้พัฒนาประเทศตามแนวทางของชาติตะวันตก ทำให้กลายเป็นมหาอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง และได้ทำศึกกับจีนจนได้รับชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายได้เซ็นสัญญาสงบศึกที่เมืองชิโมโนเซกิแห่งนี้ โดยมีเนื้อหาสำคัญว่าจีนจะต้องยกเกาะไต้หวันให้กับญี่ปุ่นครับ
หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดให้ชิโมโนเซกิให้เป็นเมืองท่าที่เปิดรับการค้าขายจากชาติตะวันตก (เช่นเดียวกับโยโกฮาม่า, ฮาโกดาเตะ และที่อื่นๆ) ครับ ปัจจุบันตัวเมืองก็ยังคงเป็นเมืองที่สำคัญยิ่งทางทิศตะวันตกของญี่ปุ่น เพราะรองรับเรือสินค้ามากมายทั้งจากในประเทศและต่างประเทศครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองชิโมโนเซกิทำอย่างไร?
Sanyo Shinkansen (ขบวน Hikari และ Kodama) เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการเดินทางไปชิโมโนเซกิ (Shin-Shimonoseki Station) จากเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า (Shin-Osaka Station), โกเบ (Shin-Kobe Station) หรือฮิโรชิม่าและฟุกุโอกะ (Hakata Station) เช่นเดียวกับเมืองรองลงมาจากฮิเมจิและคุราชิกิครับ
หลังจากที่คุณเดินทางไปถึงสถานี Shin-Shimonoseki Station แล้ว คุณจะต้องนั่งรถไฟแบบ local train ไปยังสถานี Shimonoseki Station ที่ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองครับ
ข้อมูลและรายละเอียดในการเดินทางต่างๆ ผมแนะนำให้ตรวจสอบเพิ่มเติมกับเว็บของ JR West ครับ
การสัญจรในเมืองชิโมโนเซกิทำอย่างไร?
โดยมากแล้วคุณจะเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในเมืองด้วยการใช้รถบัส แต่จะให้สะดวกจริงๆ การเช่ารถขับจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
1. สะพานคังมง
สะพานคังมง (Kanmon Bridge) หรือคังมงเคียว (Kanmonkyo) เป็นสะพานแขวนที่ข้ามช่องแคบคังมงที่ตั้งอยู่ระหว่างเกาะฮอนชูและเกาะคิวชู สองเกาะใหญ่ของญี่ปุ่น โดยเมืองที่อยู่ฝั่งเกาะฮอนชูนั้นคือเมืองชิโมโนเซกิ ส่วนเมืองที่อยู่ฝั่งเกาะคิวชูคือเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) ครับ
จุดชมสะพานแห่งนี้ที่สวยที่สุดน่าจะเป็นที่สวนฮิโนะยามะ (Hinoyama Park) ที่ครอบครองพื้นที่ด้านบนของภูเขาฮิโนะยามะ จากจุดนี้คุณจะเห็นตัวสะพานใหญ่ 6 เลนได้อย่างชัดเจนครับ แถมด้านในยังมีสวนดอกไม้สีสวยให้ได้ชมอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือสวนมิโมซุโซกาวะ (Mimosusogawa Park) ซึ่งเป็นสวนริมน้ำใกล้กับสะพานคังมงที่คุณจะได้เห็นเกลียวคลื่นของท้องทะเลใต้สะพานอย่างใกล้ชิด แต่ไฮไลท์ของที่นี่คือปืนใหญ่สมัยปลายยุคเอโดะที่ในอดีตเคยได้ยิงต่อสู้กับชาติตะวันตกเมื่อครั้งถูกโจมตีโดยกองเรือครับ ปืนใหญ่เหล่านี้เรียกว่าปืนใหญ่โชชู (Choshu Cannons) ตามชื่อ Choshu Domain หรือพื้นที่ในปกครองของตระกูลโมริที่เป็นอริกับต่างชาติครับ
นอกจากนี้ในสวนแห่งนี้ยังมีอนุสรณ์ของยุทธนาวีแห่งดานโนอุระด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอนุสาวรีย์ของมินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ แม่ทัพผู้มีชัยแห่งมหายุทธนาวีครั้งนี้ครับ
2. ตึกไคเคียว ยูเมะ
ตึกไคเคียว ยูเมะ (Kaikyo Yume Tower) เป็นตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองชิโมโนเซกิ โดยตั้งอยู่ริมช่องแคบคังมง ตัวตึกสูงโปร่งและมีทรงกลมตั้งอยู่ด้านบนเป็นเอกลักษณ์ ด้านบนตึกมีจุดชมวิวที่สูงจากพื้น 143 เมตร ซึ่งคุณได้ชมวิวสวยๆ ของบริเวณโดยรอบอย่างงดงามยิ่ง
สำหรับค่าขึ้นไปนั้นอยู่ที่ 600 เยนครับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของตึกครับ
3. ตลาดคาราโตะ
ตลาดคาราโตะ (Karato Market) เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ขายปลาและอาหารทะเลสดๆ ที่ชั้นล่าง ส่วนชั้นสองจะเป็นที่ตั้งของมร้านอาหารทะเลจำนวนมากที่ให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมารับประทานเมนูอาหารทะเลชั้นดี หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นปลาปักเป้า (Puffer fish) หรือฟุกุ (Fugu) ซึ่งชิโมโนเซกิส่งออกเป็น 85% ของทั้งหมดในประเทศเลยครับ ทำให้ได้สมญาว่าเป็นเมืองหลวงแห่งปลาปักเป้า
ข้อควรทราบเกี่ยวกับปลาปักเป้า
ปลาปักเป้าเป็นปลามีพิษ ซึ่งรับประทานไปโดยไม่ถูกวิธีนั้น มนุษย์และสัตว์จะสิ้นชีวิตด้วยพิษ tetrodotoxin แทบจะ 100% อย่างไรก็ดีคุณสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยถ้าเชฟผู้เชี่ยวชาญและได้รับใบอนุญาตนำส่วนที่มีพิษออกอย่างถูกต้อง
ในชิโมโนเซกิหรือที่ตลาดคาราโตะเองจะมีหลายร้านที่เสิร์ฟเมนูปลาปักเป้า หลายคนเรียกว่านี่เป็นเมนูท้าความตาย ผมมองว่าไม่ได้ต่างจากความจริงเท่าไรนัก เพราะปลาปักเป้าที่สัตว์ที่มีพิษมากเป็นอันดับต้นๆของโลก
ดังนั้นผมแนะนำให้ใคร่ครวญถึงความเสี่ยงก่อนสั่งมารับประทานครับ ผมมองว่าถ้าอยากจะรับประทานจริงๆ เลือกร้านที่ใหญ่และมาตรฐานหน่อยน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หนึ่งในร้านที่ไว้ใจได้คือ Shunpanro ร้านอาหารร้านแรกที่ได้รับอนุญาตให้เสิร์ฟเมนูปลาปักเป้าได้มาตั้งแต่ยุคเมจิครับ และเคยเสิร์ฟเมนูนี้ให้กับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมาแล้วด้วยครับ
4. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคเคียวคัง
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคเคียวคัง (Kaikyokan Aquarium) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสัตว์น้ำกว่า 500 ชนิดจากทั่วโลก แต่ไฮไลท์แน่นอนว่าคือปลาปักเป้าที่มีกว่า 100 สายพันธุ์ ซึ่งคุณจะได้รับชมอย่างใกล้ชิด ที่นี่จึงมีชื่อเสียงว่าเป็นอควาเรียมอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นครับ
สำหรับค่าเข้าชมนั้นจะอยู่ที่ 2,090 เยนต่อคน อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บของพิพิธภัณฑ์ครับ
5. ศาลเจ้าอคามะ
ศาลเจ้าอคามะ (Akama Shrine) เป็นศาลเจ้าที่อยู่ใกล้กับช่องแคบคังมง โดยอุทิศให้กับดวงวิญญาณของยุวจักรพรรดินามว่าจักรพรรดิอันโตคุ (Antoku) พระองค์สวรรคตด้วยวัยเพียง 6 ชันษา เพราะย่าของพระองค์ (ซึ่งมาจากตระกูลไทระ) อุ้มพระองค์กระโดดลงทะเล หลังจากตระกูลไทระพ่ายแพ้ยับเยินในยุทธนาวีแห่งดานโนอุระ เพื่อไม่ให้พระองค์ตกไปอยู่ในกำมือของระกูลมินาโมโตะ
ไฮไลท์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือประตูซุยเทนมง (Suitenmon Gate) ที่ตัวประตูสีส้มตั้งอยู่บนแท่นสีขาว ทำให้มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกับประตูใดครับ
6. เมืองโชฟุ
โชฟุ (Chofu) เป็นเมืองปราสาทเก่าของตระกูลโมริ แต่ด้วยความที่ตระกูลโมริมีปราสาทครอบครองหลายแห่ง ที่นี่จึงถูกรื้อถอนตามคำสั่งของรัฐบาลโชกุนโตกุกาวะที่ให้ไดเมียวแต่ละคนมีปราสาทเพียงหลังเดียวเท่านั้นครับ
ปัจจุบันโชฟุเป็นส่วนหนึ่งของชิโมโนเซกิ แต่ห่างจากใจกลางเมืองไปประมาณ 8 กิโลเมตร ด้านในมีบ้านพักของตระกูลโมริ (Chofu Mori Residence) ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และสวนโชฟุไทเอ็น (Chofu-Taien) ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีที่งามยิ่งครับ
อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจคือวัดโคซังจิ (Kozanji Temple) ที่เป็นวัดเซนแบบคาราโยะ (Karayo) ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งสถาปัตยกรรมนี้มีที่มาจากจีน และมีจุดเด่นที่ความสมมาตรทุกกระเบียดนิ้ว การสร้างลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์ของยุคคามาคุระครับ
References
- Yamaguchi Official Tourism Site
- Kanmon Strait Navigation
- Kaikyokan Aquarium