อุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ (Shiretoko National Park, 知床国立公園) เป็นอุทยานสุดสวยที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะฮอกไกโด ตัวอุทยานนั้นมีชื่อเสียงเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า Drift Ice ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายให้เดินทางมาที่นี่ในแต่ละปีครับ
นอกเหนือจาก Drift Ice แล้ว ชิเรโตโกะยังให้ความอลังการทางธรรมชาติที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่ใดในญี่ปุ่น ที่นี่มีทั้งทัศนียภาพที่สวยงาม รวมไปถึงความหลากหลายทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ชิเรโตโกะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโกครับ
ในบทความนี้ ผมจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับอุทยานแห่งนี้โดยคร่าวๆ และจะแนะนำสถานที่เที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักชิเรโตโกะ (Shiretoko)
คำว่า “ชิเรโตโกะ” มีรากศัพท์มาจากภาษาไอนุ ซึ่งแปลว่าสถานที่ซึ่งแผ่นดินพวยพุ่งออกมาครับ ชาวไอนุได้อาศัยในพื้นที่แถบนี้มาตั้งแต่โบราณกาลแล้วครับ
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันพื้นที่ในอุทยานถือว่าห่างไกลจากความเจริญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ดังนั้นจำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่อย่างถาวรจึงมีน้อยมาก แต่นั่นทำให้ที่นี่เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมีสีน้ำตาลซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น ไปจนถึงนกและสัตว์น้ำอีกมากมายครับ
ไม่เพียงเท่านั้นป่าไม้ น้ำพุร้อน และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยังสมบูรณ์มาก ใครรักความสงบหรืออยากทิ้งความเครียดจากการทำงานการเอาไว้เบื้องหลัง ที่นี่ถือว่าน่าสนใจมากครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปชิเรโตโกะทำอย่างไร?
ด้วยความที่อยู่ห่างไกลมาก การเดินทางไปยังชิเรโตโกะจัดว่าซับซ้อนพอตัว แต่ก็ไม่ลำบากจนเกินไปครับ
1. บิน + รถบัส – วิธีนี้ถือว่าเร็วที่สุด โดยคุณจะบินจากโตเกียวหรือซัปโปโรไปยังสนามบินที่อยู่ใกล้กับชิเรโตโกะมากที่สุดคือ Memanbetsu Airport
หลังจากที่มาถึงแล้ว คุณสามารถใช้บริการของ Shari Bus ไปยังเมืองอุโทโระ (Utoro, ウトロ) ซึ่งเป็นปากทางเข้าสู่อุทยานครับ
2. รถบัส – สำหรับใครที่ต้องการความเรียบง่ายและอยากประหยัดค่าใช้จ่าย การใช้บริการรถบัสข้ามคืนของ Eagle Liner เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด รถจะออกจากซัปโปโรช่วงห้าทุ่ม แล้วคุณจะไปถึงชิเรโตโกะช่วงเกือบเจ็ดโมงเช้าครับ การจองล่วงหน้าสามารถทำได้ผ่าน Japan Bus Online ราคาจะเริ่มต้นที่ 4,750 เยนต่อคนครับ
3. รถไฟ + รถบัส – ไม่มีรถไฟสายตรงมายังชิเรโตโกะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะใช้บริการรถไฟจริงๆ ขั้นตอนจะซับซ้อนมากครับ
ขั้นแรกคุณจะต้องนั่งรถไฟไปลงสถานี JR Abashiri Station โดยใช้บริการ Limited Express จากซัปโปโรหรืออาซาฮิคาวะ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนรถเป็นรถไฟที่วิ่งบน Senmo Main Line ไปยังสถานี JR Shiretoko Shari Station และปิดท้ายด้วยการนั่งรถของ Shari Bus อีกทีหนึ่ง
สำหรับตั๋วรถไฟสามารถตรวจสอบได้ผ่าน JR Hokkaido แต่วิธีนี้ผมมองว่ายุ่งยาก เสียเวลา และแพง ดังนั้นไม่น่าสนใจเท่าไรนักครับ
4. เช่ารถขับ – คุณสามารถเช่ารถขับจากซัปโปโรหรืออาซาฮิคาวะแล้วเดินทางไปยังชิเรโตโกะได้โดยตรง (หรืออาจจะนั่งรถไฟไปลงอาบาชิริแล้วค่อยเช่าก็ได้เช่นกัน) วิธีนี้ถือว่าเหมาะสำหรับใครที่อยากเก็บฮอกไกโดตะวันออกทั้งหมดในทริปเดียว ซึ่งหลังจากชิเรโตโกะ คุณสามารถไปเที่ยวคุชิโระ, โอบิฮิโระ หรือแม้กระทั่งโซอุนเคียวออนเซ็นและอาซาฮิดาเกะได้อีกด้วย
ข้อมูลทั้งหมดในส่วนนี้ ผมอ้างอิงจาก Shiretoko Shari-Cho Tourist Association ก่อนออกเดินทาง ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ตรวจสอบผ่านต้นทางอีกครั้ง โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะนั่งรถไฟหรือรถบัส เนื่องจากมีบางกรณีที่รถไฟหรือรถบัสบางสายอาจถูกยกเลิกครับ
ไปเที่ยวชิเรโตโกะช่วงไหนดี?
คุณสามารถไปเที่ยวชิเรโตโกะได้ทุกฤดู แต่ถ้าอยากจะชม Drift Ice นั้น คุณจะต้องไปในช่วงฤดูหนาวหลังจากช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ช่วงที่ดีที่สุดจะอยู่ตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ อย่างไรก็ดีถ้าไปช่วงนี้ สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่ในชิเรโตโกะจะไม่เปิด (แบบเดียวกับคามิโคจิ) นอกจากนี้ถ้าจะไปช่วงนี้ต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ดี เพราะว่าอากาศหนาวจัดครับ
สำหรับช่วงฤดูอื่นๆ นั้นก็จะคล้ายกับอุทยานอื่นๆของญี่ปุ่น นั่นคือใบไม้เปลี่ยนสีช่วงฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้และความเปล่งปลั่งของธรรมชาติในช่วงฤดูร้อน ส่วนฤดูใบไม้ผลิก็จะเป็นช่วงที่หนาวเหน็บน้อยลง แต่ยังมีหิมะหลงเหลือให้ชมครับ แถมสัตว์ต่างๆ เริ่มเผยหน้าเผยตามาให้ชมกันอีกด้วย
เนื่องจากชิเรโตโกะเป็นเขตอุทยานแห่งชาติที่มีสัตว์ใหญ่อย่างหมีจำนวนมาก การไปเที่ยวที่นี่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทางอุทยานอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นคุณอาจจะได้รับอันตรายได้ครับ
ถ้าคุณอยากสัมผัสชิเรโตโกะให้เต็มอิ่ม การพักใกล้กับเขตอุทยานจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักชิเรโตโกะน่าจองของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ชมปรากฏการณ์ Drift Ice
ปรากฏการณ์ Drift Ice หรือริวเฮียว (Ryuhyo) เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของชิเรโตโกะในช่วงฤดูหนาว หรือพูดง่ายๆ ก็คือท้องทะเลจะมีน้ำแข็งจำนวนมหาศาลลอยอยู่จนกลายเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหมดครับ ชาวประมงถึงกับต้องนำเรือของตนเองขึ้นบกเพื่อป้องกันไม่ให้เรือเสียหายจากแรงกดของน้ำแข็งครับ
น้ำแข็งเหล่านี้ถือกำเนิดในแม่น้ำอามูร์ (Amur River) ในรัสเซีย หลังจากนั้นก็ได้ลอยออกทะเลตามกระแสน้ำมายัง Sea of Okhotsk ซึ่งน้ำแข็งจะมาถึงที่นี่ในช่วงปลายเดือนมกราคม ก่อนที่จะละลายหายไปหมดในช่วงต้นเมษายนครับ ทั้งนี้ชิเรโตโกะถือว่าเป็นจุดที่อยู่ใต้สุดในโลกที่คุณสามารถชมปรากฏการณ์นี้ได้ครับ
โดยมากแล้วการชมก็จะชมที่เมืองอุโทโระ (Utoro) หรือราอุสุ (Rausu) ในบางช่วงนั้นคุณสามารถลงไปสัมผัสหรือเดินเล่นบนน้ำแข็งได้เลย บางทัวร์อาจจะพาคุณลงไปแหวกว่ายในทะเลน้ำแข็ง หรือล่องเรือชมแบบชัดๆ ครับ
2. Shiretoko Five Lakes
Shiretoko Five Lakes (Shiretoko Goko) เป็นทะเลสาบห้าแห่งที่ถูกโอบล้อมด้วยแนวภูเขาและผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์นานาชนิดครับ
ตลอดเส้นทางจะมีทางเดินไม้ยกสูงขึ้นมา ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสัมผัสความสวยงามได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเดินท่องป่า และไม่ต้องระวังหมีครับ ถ้าคุณเป็นสายลุย คุณสามารถซื้อทัวร์เดินป่าเพื่อให้ได้รับประสบการณ์อีกแบบได้ด้วยเช่นกัน (แต่ต้องระวังให้ดี เพราะมีโอกาสสูงจะเจอหมีตัวเป็นๆ)
ที่นี่จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่ช่วงฤดูหนาว คุณสามารถซื้อทัวร์เข้าไปชมได้ แต่ราคาสูง และรับผู้สนใจน้อยมากในแต่ละวันครับ
3. Shiretoko Pass
Shiretoko Pass หรือช่องเขาชิเรโตโกะ เป็นช่องเขาที่อยู่ด้านบนสุดของทางหลวง Shiretoko Highway ที่เชื่อมระหว่างอุโทโระและราอุสุ
จุดนี้เป็นจุดยอดนิยมของเหล่านักเดินทางที่จะมาขับรถชมวิวกัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะว่าคุณจะได้เห็นวิวแนวภูเขา หุบเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี หรือแม้กระทั่งมหาสมุทรอีกด้วย
4. ชมน้ำตกสวยๆ
ภายในเขตอุทยานชิเรโตโกะมีน้ำตกสวยๆ อยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น
- Kamuiwakkayu Falls – น้ำตกที่ตัวน้ำได้รับความร้อนจากภูเขาไฟที่อยู่ใกล้กัน และไหลบ่าสู่แม่น้ำเบื้องล่าง เกิดเป็นน้ำพุร้อนที่สามารถเข้าชมได้ครับ
- Furepe Waterfall – น้ำตกอันสูงชันที่ชาวบ้านเปรียบว่าเหมือนกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา พวกเขาจึงเรียกที่นี่ว่าน้ำตาของหญิงพรหมจรรย์ ความพิเศษของน้ำตกแห่งนี้คือไม่ได้มีแหล่งน้ำที่ป้อนสายน้ำให้ แต่น้ำทั้งหมดมาจากใต้ดิน ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะและน้ำฝนเท่านั้นครับ
- Oshinkoshin Falls – น้ำตกโอชินโคชินเป็นน้ำตกสวยที่ติดอันดับสุดยอดน้ำตก 100 แห่งในญี่ปุ่น ตัวน้ำตกได้ชื่อว่าน้ำตกสองสาวงาม เพราะว่าสายน้ำถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน จนดูเหมือนเป็นน้ำตกสองแห่งเคียงข้างกันครับ
5. แหลมปูยุนิ
แหลมปูยุนิ (Cape Puyuni) เป็นแหลมที่เป็นจุดชมวิวทะเล Sea of Okhotsk ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามอย่างมากเลยครับ
แต่ที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นเมื่อมีปรากฏการณ์ Drift Ice เพราะจากตรงนี้ คุณจะเห็นทะเลน้ำแข็งได้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยนั่นเอง
6. หินโอรอนโกะ
หินโอรอนโกะ (Oronko Rock) เป็นหินที่ตั้งชื่อตามชื่อชาวโอรอนโกะ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อดีตกาล ตัวหินตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือเมืองอุโทโระ และทำหน้าที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง
โดยคุณจะต้องขึ้นบันไดไปประมาณ 170 ขั้น แต่เมื่อถึงแล้ว คุณจะเห็นวิวโดยรอบแบบพาโนรามา ตั้งแต่แนวภูเขา ตัวเมือง ไปจนถึงท้องทะเลครับ
7. ชมพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวยุฮิได
คู่รักญี่ปุ่นที่เป็นแฟนกัน หรือว่ามาฮันนีมูนมักจะชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวยุฮิได (Yuuhidai Viewpoint) ซึ่งในช่วง Green Season นั้นดวงอาทิตย์จะทอแสงสีส้มเป็นแนวยาวไปตามท้องทะเล บรรยากาศบริเวณนั้นจึงโรแมนติกสุดๆ ไปเลยครับ
แต่ในช่วงฤดูหนาวจะสวยไปอีกแบบ เพราะดวงอาทิตย์จะทอแสงเหนือน้ำแข็งที่ลอยเต็มทะเล เกิดเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่ใดครับ
8. ราอุสุ
ราอุสุ (Rausu) เป็นเมืองขนาดเล็กในเขตอุทยานชิเรโตโกะ และมีจุดสวยที่น่าไปเยือนหลายแห่ง อย่างเช่น
ทะเลสาบราอุสุ (Lake Rausu) – ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในชิเรโตโกะ ซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยแนวภูเขาและผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ที่นี่มีหิมะปกคลุมบริเวณเกือบตลอดปี แต่ก็เดินเข้าไปชมวิวไม่ยากครับ อย่างไรก็ดีถ้าเป็นไปได้ ไปกับไกด์จะดีกว่า เพราะว่าสัตว์ใหญ่อย่างหมีมีจำนวนมากครับ
ยอดเขาราอุสุ (Mount Rausu) – ยอดเขาที่สูงที่สุดในแถบนี้และติดอันดับ 100 สุดยอดภูเขาในญี่ปุ่น นักเดินทางสายลุยมักจะมาพิชิตยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งจะให้วิวแบบพาโนรามาอันสวยมาก แต่หมีก็เยอะมากเช่นกัน ควรไปกับไกด์ครับ
9. ล่องเรือ
การล่องเรือเป็นหนึ่งใน a must ของการเดินทางมายังชิเรโตโกะครับ เพราะคุณจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของอุทยานแบบเต็มอิ่มแล้ว คุณสามารถเข้าไปชมสัตว์บกอย่างเช่น หมีหรือกวางเอโซะอย่างใกล้ชิด โดยไม่ต้องเกรงอันตรายอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังจะได้เห็นสิงโตทะเล นกอินทรี ไปจนถึงวาฬเพชฌฆาตที่มักเผยให้เห็นอยู่บ่อยๆ ครับ
สำหรับทัวร์ล่องเรือนั้นมีหลายแบบ และมีหลายจุดประสงค์ (ทัวร์ชมวิวกับทัวร์ชมสัตว์จะไปคนละที่) ซึ่งเวลาล่องก็จะมีตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมงครับ เรือมักจะออกจากที่เดียวกัน นั่นคือท่าเรือเมืองอุโทโระครับ
10. Shiretoko Snow Wall Walk
Shiretoko Snow Wall Walk เป็นอีเวนต์ที่จัดในช่วงเดือนเมษายน โดยจะเป็นการเปิดถนนที่ปิดมาตลอดช่วงฤดูหนาวให้ได้เดินผ่านกัน สองข้างทางจะมีกำแพงหิมะเหมือนกับที่โทยามะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) แต่จะสูงไม่เท่าครับ
สิ่งที่น่าสนใจคือ คุณจะได้เห็นกระบวนการนำหิมะออกจากผิวถนนโดยผู้เชี่ยวชาญครับ ซึ่งหาชมที่อื่นไม่ได้ครับ
11. ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง
ชิเรโตโกะเป็นภูมิภาคที่ห่างไกล แต่ก็มีวัฒนธรรมการกินอาหารเป็นของตนเอง เมนูที่ควรลองเมื่อได้มาที่นี่ได้แก่
- Chan Chan Yaki – แซลมอนที่ถูกปรุงรสอย่างดีด้วยมิโซะ นำมาผัดกับผักหลากชนิดในกระทะร้อนๆ
- Ikura Don – ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน ซึ่งมีมากมายที่นี่ (ชาวไอนุถือว่าแซลมอนเป็นปลาของเทพเจ้าครับ)
- Kaisendon – ลิ้มรสซีฟู้ดสดๆ
ตัวอย่างแพลนทริปชิเรโตโกะ
ด้านล่างจะเป็น infographic (สองหน้า) ที่เป็นตัวอย่างแพลนทริปชิเรโตโกะที่ผมจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้คุณสามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้เลยอย่างอิสระครับ
References
- Shiretoko Shari-Cho Tourist Association
- Shiretoko Rausu Tourist Association
- goko.go.jp (เว็บไซต์ทางการของทะเลสาบทั้งห้า)
- National Parks of Japan
- World Natural Heritage in Japan