ซูโจว (Suzhou) เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศจีน โดยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู สำหรับในแง่ของการท่องเที่ยวนั้น ซูโจวมักได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นเวนิสแห่งบูรพาทิศอันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีคูคลองจำนวนมากไม่ต่างอะไรกับเวนิสในประเทศอิตาลีครับ
จากที่ได้ไปเยือนซูโจวมาแล้ว เมืองแห่งนี้จัดว่าเป็นเมืองอีกแห่งหนึ่งที่ผมประทับใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชอบในศิลปวัฒนธรรมจีน ไปจนถึงสถาปัตยกรรมและการจัดสวน ทั้งนี้สวนของซูโจวนั้นถือว่าเป็นอันดับ 1 ของแผ่นดินมังกร จากที่ผมได้เดินทางไปหลายสิบเมืองในประเทศจีน ผมมองว่าไม่มีสวนของเมืองไหนจะสวยงามไปยิ่งกว่าเมืองนี้ครับ
ทั้งนี้บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองซูโจวคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเมืองซูโจว (Suzhou)
สภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองซูโจวนั้นอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง โดยมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ตัวเมืองยังอยู่ใกล้กับทางออกทะเล ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของตัวเมืองครับ
ความเป็นมาของเมืองซูโจวนั้นย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยปี 514 ก่อนคริสตกาล กล่าวคือแคว้นอู๋ที่ปกครองพื้นที่แถบนี้ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองอู๋ซีมายังเมืองกูซู (Gusu) ในสมัยของอู๋หวางเหอหลี่ว์ที่แคว้นอู๋ยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจแห่งยุคชุนชิวครับ อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นไม่นานแคว้นอู๋ก็ถูกกลืนไปโดยแคว้นเยว่ ทว่าแคว้นเยว่ก็ได้ย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่ที่กูซู ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ยังคงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
หลังจากที่ฉินสื่อหวงตี้ (จิ๋นซีฮ่องเต้) รวมแผ่นดินได้เป็นหนึ่ง ซูโจวได้เป็นเมืองหลวงของจังหวัดไคว้จี ซึ่งที่นี่เองเป็นเมืองที่เซี่ยงอวี่ได้ชักธงกบฏต่อต้านราชวงศ์ฉิน ก่อนที่จะขึ้นมาเรืองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อย่างที่รู้จักกันในนามฌ้อปาอ๋องนั่นเองครับ
ความสำคัญของเมืองซูโจวนั้นทวีขึ้นตามลำดับหลังจากที่คลองต้าอวิ๋นเหอ (Grand Canal) ได้ถูกสร้างเสร็จสิ้น เพราะตัวเมืองได้กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่มีบทบาทอย่างสูงทั้งในด้านการค้าขาย และขนส่งเสบียงอาหารจากพื้นที่เพาะปลูกทางตอนใต้ไปยังภาคเหนือของจีนครับ
การเติบโตของซูโจวดำเนินต่อไปไม่หยุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง หมิง และชิง แต่ด้วยความที่เป็นเมืองสำคัญ ทำให้ซูโจวต้องเผชิญกับภัยสงครามใหญ่ที่ทำให้ตัวเมืองได้รับความเสียหายชนิดที่เรียกว่าย่อยยับ ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่จูหยวนจางรบกับจางซื่อเฉิงที่ตั้งเมืองหลวงที่นี่เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง หรือว่าครั้งกบฏไท่ผิงที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง ทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ตัวเมืองซูโจวแทบจะเหลือแต่เพียงเถ้าถ่านครับ
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จีนพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 และต้องเซ็นสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ โดยมีเนื้อหาให้เปิดเมืองท่าหลายแห่งให้กับการค้าขายจากต่างประเทศ ซึ่งซูโจวก็เป็นหนึ่งในเมืองดังกล่าว ทำให้ซูโจวเป็นหนึ่งในเมืองที่ทันสมัยที่สุดในจีน เพราะรับทั้งวิทยาการและวัฒนธรรมจากทั้งชาติตะวันตกและญี่ปุ่นครับ
ซูโจวได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นรุกรานจีน แต่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ฟื้นฟูทั้งเมืองขึ้นมาใหม่ และอนุญาตให้มีการปรับปรุงสวนอันงดงามของซูโจวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่างามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ปัจจุบันซูโจวยังคงเป็นเมืองเศรษฐกิจเช่นเดียวกับในอดีต เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั้งในจีนและต่างประเทศเป็นจำนวนมากในแต่ละปีครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองซูโจว (Suzhou) ทำอย่างไร?
โดยมากแล้วนักเดินทางจะบินไปลงที่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) หลังจากนั้นจะนั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังซูโจว ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 25 นาทีเท่านั้น ตอนที่ผมนั่ง ผมยังงงเลยว่าถึงแล้วเหรอ เพราะว่ามันเร็วกว่าตอนที่ผมไปซูโจวตอนที่ยังไม่มีรถไฟความเร็วสูงมากเลยครับ
อย่างไรก็ดีในการซื้อตั๋วนั้น โปรดตรวจสอบให้ดีว่ารถไฟของคุณออกจากสถานีไหน เพราะเซึ่ยงไฮ้มีสถานีรถไฟถึง 4 แห่งด้วยกัน ตั้งแต่ Shanghai Railway Station (สถานีหลัก) ไปจนถึง Shanghai Hongqiao, Shanghai West และ Shanghai South ถ้าไปผิดสถานี คุณมีโอกาสสูงมากที่จะตกรถ เพราะแต่ละสถานีอยู่คนละฝั่งของเมืองเลยครับ
ไปเที่ยวซูโจวช่วงไหนดี?
ซูโจวนั้นเที่ยวได้ทุกฤดู แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมแนะนำอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงฤดูร้อน (มิถุนายนถึงสิงหาคม) เพราะตอนที่ผมไปนั้น ซูโจวร้อนจัดไม่ต่างอะไรกับประเทศไทย ช่วงอื่นของปีอย่างเช่นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่ามากเลยครับ
ส่วนช่วงอื่นๆที่ต้องหลบหลีกก็คือวันหยุดยาวของจีน ไม่ว่าจะเป็นวันตรุษจีน วันแรงงาน (สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม) และวันชาติ (สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม) เพราะนักท่องเที่ยวจะมหาศาลครับ
การสัญจรในเมืองซูโจวทำอย่างไร?
ตอนที่ผมไปเยือนซูโจวนั้น ผมพึ่งแท็กซี่และ metro เป็นหลัก แต่ถ้าคุณขี้เกียจเดินจริงๆ ผมแนะนำให้เรียกแท็กซี่ไปเลยครับ เพราะสะดวกสบาย ราคาไม่ได้สูงมากนัก (ใกล้เคียงกับประเทศไทย) และช่วยให้คุณทำเวลาได้อีกด้วย
1. ภูเขาหู่ชิว
ภูเขาหู่ชิว (虎丘) หรือ Tiger Hill เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองซูโจว และเป็นภูเขาที่มีโบราณสถานหลายแห่งที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองแห่งนี้ ซูชื่อ นักปราชญ์และกวีสมัยราชวงศ์ซ่งเคยปรารภไว้ว่า “มันเป็นความน่าเวทนาชั่วชีวิตถ้าไปเมืองซูโจวแล้วไม่ได้ไปภูเขาหู่ชิว”
โชคดีที่ผมไม่ต้องมีความรู้สึกดังกล่าว เพราะได้ไปเยือนมาแล้วครับ แต่ผมขอแนะนำอย่างยิ่งให้ไปเยือนเลยสำหรับใครที่ชอบประวัติศาสตร์จีนครับ
ภูเขาแห่งนี้ได้ชื่อว่าภูเขาหู่ชิว หรือว่าภูเขาเสือ เพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ฝังพระศพของอู๋หวางเหอหลี่ว์ กษัตริย์แคว้นอู๋ที่สวรรคตเพราะพ่ายแพ้ต่อแคว้นเยว่ หลังจากที่ฝังเสร็จสิ้นแล้วสามวัน (ตามตำนานว่าฝังคนเป็นๆ ไปด้วยหลายพันคน) ได้มีเสือขาวออกมาปรากฏตัวให้เห็น ทำให้ชาวเมืองเรียกขานภูเขาเสือมานับตั้งแต่บัดนั้นครับ
แลนด์มาร์กของภูเขาแห่งนี้คือ เจดีย์หู่ชิว หรือเรียกอีกชื่อว่าเจดีย์วัดอวิ๋นเหยียน ตัวเจดีย์มีลักษณะเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมเจ็ดชั้น โดยตัวเจดีย์สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ โดยมีรูปแบบเดียวกับเจดีย์ไม้สมัยราชวงศ๋ถังที่พังทลายไปแล้ว
นอกจากนี้ตัวเจดีย์ยังเอียงเล็กน้อย ทำให้มักได้ขนานนามว่าเป็นหอเอนปิซ่าแห่งประเทศจีน แต่อันที่จริงแล้วหอนี้สร้างก่อนหอเอนปิซ่าหลายร้อยปีเลยครับ แต่ในปัจจุบัน ทางรัฐบาลจีนไม่ได้เปิดให้เข้าชม เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยครับ
ส่วนจุดอื่นที่น่าสนใจประกอบด้วย หินลับดาบและสระล้างดาบ ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่อู๋หวางเหอหลี่ว์เคยใช้เป็นจุดทดสอบความคมของดาบและกระบี่ที่ตนเองเก็บสะสมไว้ นอกจากนี้ยังมีบ้านพักแบบจีนโบราณอีกหลายแห่งที่สร้างสมัยราชวงศ์ชิง อย่าง Wanjing Villa ที่คนรักบอนไซไม่ควรพลาดไปเยือนครับ
ค่าเข้าชม: ประมาณ 350 บาท
2. สวนจัวเจิ้งหยวน
สวนจัวเจิ้งหยวน (Zhuozhengyuan) หรือ Humble Administrator’s Garden เป็นสวนจีนโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซูโจว และมีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ชนิดที่ว่าถ้าญี่ปุ่นมีสวนเคนโรคุเอ็นที่คานาซาว่า จีนก็มีสวนจัวเจิ้งหยวนแห่งนี้ครับ
ตัวสวนสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง โดยเดิมทีเป็นสวนส่วนตัวของขุนนางผู้หนึ่งนามว่าหวางเซียนเฉิน ซึ่งรู้สึกผิดหวังกับชีวิตการรับราชการ ทำให้เขาตัดสินใจสร้างสวนแห่งนี้บนพื้นที่เก่าแก่ที่เคยเป็นสวนของวัดโบราณที่ถูกไฟสงครามเผาผลาญในช่วงสถาปนาราชวงศ์หมิง โดยเขาหมายมั่นว่าจะทำสวนและปลูกผักเลี้ยงชีพไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (นี่เป็นที่มาของชื่อสวนที่แสดงถึงความมักน้อยของเจ้าของครับ)
หวางเซียนเฉินใช้เวลาสร้างสวนแห่งนี้อย่างประณีตถึง 16 ปีด้วยแนวทางการจัดสวนสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งความสวยงามของสวนแห่งนี้เป็นที่เลื่องลือตั้งแต่ในยุคนั้น แต่น่าเสียดายที่หลังจากที่เขาล่วงลับไปแล้ว บุตรชายของเขาติดการพนัน ทำให้สวนแห่งนี้ตกไปเป็นของผู้อื่น จนกระทั่งในสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้บูรณะให้สวยงามเช่นเดิม และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ครับ
ตัวสวนนั้นแบ่งออกเป็นสามฝั่งด้วยกัน ได้แก่ฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก และฝั่งกลาง แต่ละฝั่งมีสระน้ำและมีการปลูกต้นไม้อย่างร่มรื่น เช่นเดียวกับอาคารทรงจีน เก๋ง และสะพานแบบจีนอีกหลายแห่ง ซึ่งอาคารเหล่านี้ได้รับการสร้างแต่งเติมในยุคหลัง โดยเจ้าของที่สืบต่อกันมาครับ
ในตอนที่ผมไปได้นั้น ผมรู้สึกว่าสวนนี้มันสุดยอดในด้านทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เพราะผมแทบจะไม่อยากก้าวเท้าออกจากที่นี่ไปเลย เนื่องจากทั้งร่มรื่น (ไปช่วงฤดูร้อนจะรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าเย็นกว่าที่อื่น) และสบาย นอกจากนี้บางช่วงของปียังมีเทศกาลดอกไม้อย่างดอกบัวและ azalea ด้วยครับ
ค่าเข้าชม: ประมาณ 400 บาท
ไม่ไกลจากสวนจัวเจิ้งหยวนจะมีพิพิธภัณฑ์ซูโจว (Suzhou Museum) ตั้งอยู่ โดยตัวพิพิธภัณฑ์ใช้พื้นที่ของจงหวาง หนึ่งในประมุขของกบฎไท่ผิง (ไท่ผิงเทียนกว๋อ) และจัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่ามากมายจากสมัยราชวงศ์หมิงและชิงครับ (แต่ของที่เก่ากว่านั้นก็มีเช่นกัน)
3. สวนหลิวหยวน
สวนหลิวหยวน (Liu Yuan) หรือ Lingering Garden เป็นอีกหนึ่งสวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองซูโจว ขนาดของสวนแห่งนี้จะเล็กกว่าสวนจัวเจิ้งหยวน และจะสร้างขึ้นโดยใช้แนวทางการจัดสวนในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งในบริบททางสถาปัตยกรรมแล้วจะแตกต่างออกไปพอสมควรครับ
อันที่จริงแล้วสวนแห่งนี้มีต้นกำเนิดจากสมัยหมิง แต่องค์ประกอบสำคัญในส่วนแห่งนี้ล้วนแต่เป็นผลงานของเจ้าของในสมัยราชวงศ์ชิงที่บูรณะไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้งานสมัยราชวงศ์ชิงโดดเด่นมากกว่า ตัวสวนแห่งนี้เกือบพังพินาศในสมัยสาธารณรัฐจีนและสงครามโลกครั้งที่สอง แต่รัฐบาลจีนได้ให้ทำการบูรณะ ทำให้หลงเหลือมรดกความสวยงามนี้มาจนถึงปัจจุบันครับ
ส่วนด้านในนั้นแน่นอนว่าจะอุดมไปด้วยสระน้ำพร้อมต้นไม้มากมายที่สร้างความร่มรื่น เช่นเดียวกับอาคาร เก๋ง และสะพานแบบจีนที่ให้คุณเดินชมจุดต่างๆ ในสวนได้อย่างอิสระครับ
ค่าเช้าชม: ประมาณ 280 บาท
นอกจากสวนจัวเจิ้งหยวน และสวนหลิงหยวนแล้ว ซูโจวยังมีสวนสวยอีกหลายแห่ง อาทิเช่นสวนซือจื่อหลินหยวน (Shizilinyuan) หรือสวนหว่างซือหยวน (Wangshiyuan) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้โด่งดังเท่าสองที่ซึ่งผมแนะนำ แต่ก็มีความงดงามที่ไม่ได้ด้อยกว่ากัน ถ้าคุณมีเวลา และชอบสวนมาก คุณสามารถไปเยี่ยมชมได้ครับ
4. วัดหานซาน
วัดหานซาน (Hanshan Temple) เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์เหลียง ซึ่งปกครองภาคใต้ของจีนในช่วงศตวรรษที่ 6 แต่อาคารส่วนใหญ่ของวัดนั้นมีที่มาจากราชวงศ์ชิงที่ได้รับการบูรณะใหญ่ครับ
ในอดีตวัดหานซานมีชื่อเสียงเรื่องระฆังที่ดังกังวานที่เวลาเที่ยงคืน จนถึงกับสร้างแรงบันดาลใจในการรจนาบทกลอนให้กับกวีสมัยราชวงศ์ถัง แต่ระฆังใบดังกล่าวสูญหายไป และไม่ได้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้วัดได้มีระฆังใหม่ และยังมีการทำพิธีสั่นระฆังเพื่อขอโชคลาภเช่นเดียวกับในอดีตครับ
ค่าเข้าชม: ประมาณ 90 บาท
ใกล้กับวัดหานซานมีจุดชมวิวที่ชื่อเสียงนั่นคือที่สะพานเฟิงเฉียว (Fengqiao Bridge) หรือสะพานเมเปิ้ล (Maple Bridge) ที่เชื่อมสองฝั่งของคลองต้าอวิ๋นเหอ พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นเมืองโบราณที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดีครับ
5. เมืองโจวจวง
เมืองโจวจวง (Zhouzhuang Water Town) เป็นเมืองริมน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ทั้งนี้โจวจวงจะไม่ได้อยู่ในตัวเมืองซูโจว แต่จะอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 50 กิโลเมตรทางรถยนต์ วิธีที่ง่ายที่สุดในการเดินทางคือนั่งรถบัสไปจาก Suzhou North Bus Station ครับ แต่แน่นอนว่าถ้าไปหลายคน แท็กซี่ก็น่าสนใจเช่นกัน
ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้วนั้น บรรยากาศของโจวจวงนั้นเหมือนกับเวนิส แต่ว่าสิ่งก่อสร้างจะเป็นแบบจีนโบราณ บริเวณตัวเมืองเต็มไปด้วยคลอง สะพานหิน เช่นเดียวกับบ้านเรือนที่มีอายุนับหลายศตวรรษ โดยส่วนมากจะสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงหรือชิงครับ
ทั้งนี้วิธีการชมเมืองโจวจวงที่ดีที่สุดคือการนั่งเรือพาย ซึ่งผู้ให้บริการจะพาคุณไปชมจุดสำคัญต่างๆ ในเมือง อาทิเช่นสะพานฟู่อันที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน บ้านตระกูลเซินที่เคยเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคเจียงหนาน ไปจนถึงบ้านตระกูลจางที่โอ่โถงอลังการครับ
ในการชมนั้น คุณสามารถเลือกชมได้ในช่วงกลางวันหรือช่วงเย็น โดยช่วงเย็นนั้นจะสวยไปอีกแบบ เพราะมีการเปิดไฟครับ ก่อนจะออกจากโจวจวง ผมแนะนำให้ไปช้อปปิ้งที่ถนนเจินเฟิง (Zhenfeng Street) ที่มีขายของพื้นเมือง เช่นเดียวกับชาแสนอร่อยครับ
ค่าเข้าชม: ประมาณ 500 บาท
นอกเหนือจากเมืองโจวจวงแล้ว ใกล้กับซูโจวยังมีเมืองริมน้ำลักษณะเดียวกันอีกหลายแห่ง อาทิเช่นเมืองมู่ตู๋ (Mudu) ที่กลายเป็นเมืองเพราะการสร้างวังของอู๋หวางฟูไชเพื่อมอบให้กับนางไซซี หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีน ไปจนถึงเมืองถงหลี่ (Tongli) ที่สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์ซ่ง และมีสะพานตลอดจนอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง และเมืองหลู่จื๋อ (Luzhi) ที่ยังอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบเดิมๆ เอาไว้ได้ครับ
ทั้งนี้เมืองเหล่านี้จะเงียบกว่าเมืองโจวจวง เพราะนักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน และยังเดินชมวิวถ่ายรูปแบบชิวๆ ครับ
6. พิพิธภัณฑ์ผ้าไหม
ผ้าไหมของซูโจวนั้นมีชื่อเสียงว่ามีคุณภาพเป็นอันดับต้นๆ ของจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ชนิดที่ว่าเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงและเหล่าเชื้อพระวงศ์นั้นล้วนแต่ทักถอโดยช่างทอชั้นยอดจากเมืองซูโจวแห่งนี้
พิพิธภัณฑ์ผ้าไหม (Silk Museum) จึงนำเสนอกรรมวิธีการผลิตผ้าไหมตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันอย่างละเอียด เช่นเดียวกับโบราณวัตถุต่างๆ ที่ทำจากผ้าไหมครับ ซึ่งคุณสามารถเข้าชมได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
นอกจากนี้คุณยังสามารถซื้อสินค้าจากผ้าไหมชั้นเยี่ยมกลับไปเป็นของฝากราคาสูงให้กับบุคคลที่คุณเคารพได้ด้วย ซึ่งถ้าคุณซื้อจากที่นี่ คุณมั่นใจได้เลยว่าผ้าไหมจะเป็นของแท้ 100% ครับ
ตัวผมเองก็เคยซื้อผ้าห่มผ้าไหมจากที่นี่มาแล้ว แม้ว่าจะราคาค่อนข้างสูง แต่เป็นผ้าห่มที่ผมใช้งานบ่อยและชอบที่สุด และใช้จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปแล้วครับ จุดเด่นของผ้าไหมที่นี่คือนุ่มมาก ห่มแล้วสบายตัวสุดๆ แถมยังให้ความอบอุ่นที่ดีมากด้วยครับ
7. ถนนซานถัง
ถนนซานถัง (Shantang Street) เป็นถนนริมน้ำที่มีความยาวถึงเกือบ 4 กิโลเมตร โดยความเป็นมาของถนนแห่งนี้เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และทุกยุคทุกสมัย ถนนเส้นนี้ก็ได้เป็นย่านการค้าที่สำคัญของเมืองซูโจวครับ
สองฝั่งของถนนซานถังยังคงเป็นอาคารที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของจีน ทำให้มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม ที่ประทับใจผู้คนมาทุกสมัย หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงที่เคยเสด็จมาที่นี่ และโปรดมาก จนถึงกับให้สร้างถนนคล้ายกันในกรุงปักกิ่งครับ
ทุกวันนี้อาคารของสองฝั่งถนนยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ได้เปลี่ยนเป็นร้านค้าและร้านอาหารที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ละช่วงของถนนมีสะพานให้คุณเดินข้ามไปมาได้ระหว่างทั้งสองฝั่ง ทำให้คุณเดินเล่นและถ่ายรูปได้อย่างสะดวกสบาย หรือว่าถ้าอยากจะล่องเรือไปตามคลองก็สามารถทำได้เช่นกันครับ
ถนนอีกเส้นที่มีลักษณะคล้ายกันแต่เก่าแก่กว่ามากคือถนนผิงเจียง (Pingjiang Street) โดยมีอายุมากถึง 2,500 ปี และมีความเป็นมาย้อนไปถึงต้นกำเนิดของเมือง ไฮไลท์ของถนนนี้คือสะพานหิน 17 แห่ง เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์งิ้วจีนหรือ China Kunqu Opera Museum ที่อุทิศกับศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ที่หายากขึ้นทุกทีครับ
8. ทะเลสาบจินจี
ทะเลสาบจินจี (Jinji Lake) เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยตัวเมืองซูโจวนั้นตั้งอยู่ล้อมรอบทะเลสาแห่งนี้ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักท่องเที่ยวนิยมเช่าจักรยานเพื่อชมวิวรอบทะเลสาบครับ
9. ชิมอาหารซูโจว
อาหารซูโจวนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดอาหารทั้งแปดของจีน ซึ่งจากที่ผมได้เคยลิ้มลองมาแล้วนั้น ผมบอกได้เลยว่าไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะหนึ่งในครั้งที่ผมทานอาหารจีนแล้วประทับใจที่สุดในชีวิตก็อยู่ที่เมืองซูโจวนี่เองครับ
เมนูที่น่าสนใจนั้นมีมากมายจนเกินกว่าจะให้ข้อมูลได้หมด แต่เมนูที่ผมชอบที่สุดคือซงซู่กุ้ยหยีว์ (松鼠桂鱼) หรือพูดง่ายๆ คือปลาทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน โดยส่วนตัวแล้วชอบมาก ไม่ควรพลาดทุกประการครับ
จุดเด่นของอาหารซูโจวคือหน้าตาอาหารจะน่าทานมาก เพราะสีสันสวยงาม และการจัดจานถือว่ามากด้วยศิลปะ แต่เมนูปลานั้น คุณอาจจะต้องระวังเรื่องก้างเสียหน่อย เพราะปลาบางชนิดกางเป็นแบบละเอียดที่แยกออกจากเนื้อปลายากมากครับ
ร้านที่เทพที่สุดคือหรือซงเฮ่อโหลว (松鹤楼) ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1757 ตัวร้านมีอยู่ 4 สาขาในเมืองซูโจวครับ ที่ถนนซานถังก็มีเช่นกัน
10. ถนนกวนเฉียน
ถนนกวนเฉียน (Guanqian Street) เป็นถนนคนเดินสายใหญ่ของเมืองซูโจว ซึ่งมีความเป็นมาเกิน 150 ปี และอุดมไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมากมาย ร้านอาหารชื่อดังล้วนแต่มีสาขาที่นี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะหาอะไรอร่อยๆ รับประทาน หรือว่าของฝากกลับไปมอบให้คนที่คุณรักสักชิ้น ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดครับ
ตัวถนนแบ่งออกได้เป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือส่วนตะวันตกที่จะมีแบรนด์ต่างชาติมากมาย ส่วนที่สองคือส่วนตรงกลางที่จะมีวัดเสวียนเมี่ยวตั้งอยู่ และส่วนสุดท้ายคือฝั่งตะวันออกที่มีอาคารแบบจีนที่ขายอาหารพื้นเมือง เช่นเดียวกับของฝากต่างๆ ครับ
11. ล่องคลองต้าอวิ๋นเหอ
คลองต้าอวิ๋นเหอ (Grand Canal) เป็นคลองใหญ่ที่เชื่อมภาคเหนือและภาคใต้ของจีน โดยเริ่มต้นที่เมืองหังโจว และไปสิ้นสุดที่ปักกิ่ง โดยคลองแห่งนี้มีการขุดหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านการค้าขายและการขนส่งให้กับชาวจีนอย่างยวดยิ่ง
ด้วยระยะทางกว่า 1,776 กิโลเมตร ส่วนตัวแล้วผมมองว่าคลองแห่งนี้เป็นโครงการทางน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยครับ ซึ่งส่วนหนึ่งของคลองแห่งนี้ก็ผ่านเมืองซูโจว นักเดินทางจำนวนมากจึงนิยมไปล่องเรือช่วงเย็นเพื่อชมบรรยากาศและทัศนียภาพของสองฝั่งคลองที่สวยงดงามยิ่งครับ
สำหรับท่านใดที่สนใจ คุณจะไปขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือสะพานชินชื่อเฉียว (Xinshiqiao) ในช่วงเวลา 9.00-16.00 หรือ 18.00-20.30 ครับ การล่องจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีครับ