จังหวัดไอจิ (Aichi Prefecture) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคชุบุ โดยตัวจังหวัดมีพรมแดนติดกับจังหวัดมิเอะ จังหวัดกิฟุ จังหวัดชิซูโอกะ และจังหวัดนากาโน่
ตัวจังหวัดนั้นมีความโดดเด่นทางด้านการค้าและอุตสาหกรรม เพราะเป็นที่ตั้งของนาโกย่า เมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทรถยนต์อย่างโตโยต้าที่คนไทยรู้จักกันดีเป็นต้น
การเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดไอจิ
คุณสามารถเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดไอจิได้โดยใช้ขนส่งสาธารณะอย่างเช่น รถไฟหรือรถบัส แต่ทำใจไว้อย่างหนึ่งว่า สำหรับบางสถานที่นอกเมืองนาโกย่านั้น คุณจะต้องเปลี่ยนรถหลายครั้ง และต้องไปลงที่สถานีต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการรอรถด้วย ทำให้คุณเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว แถมถ้าจะไปที่เที่ยวบางแห่งนั้นไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากแท็กซี่ราคาแพงครับ
ตัวเลือกที่ดีกว่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาเป็นกลุ่มหลายคน) คือการเช่ารถและขับไปสถานที่เหล่านั้นโดยตรงครับ จริงอยู่ว่าค่าใช้จ่ายอาจจะสูงกว่า แต่คุณจะได้เที่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ
1. นาโกย่า (Nagoya)
นาโกย่าเป็นเมืองหลวงของจังหวัดไอจิ แน่นอนว่าเป็นศูนย์รวมความเจริญของจังหวัด ในเมืองนาโกย่ามีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง ตั้งแต่ปราสาทนาโกย่าอันงดงามและศาลเจ้าอัตสึตะที่ชาวญี่ปุ่นมากมายเคารพนับถือไปจนถึงย่านการค้าอย่างซากาเอะที่มีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย นอกจากนี้ยังมีท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่โตอลังการให้ชมและศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์อีกด้วย
2. โตโยต้า (Toyota)
โตโยต้าเป็นเมืองเล็กๆ ที่เคยชื่อว่าโคโรโมะ (Koromo) ซึ่งเคยเป็นเมืองผลิตผ้าไหมอันมั่งคั่ง แต่ตัวเมืองได้กลายเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทโตโยต้าในช่วงปี ค.ศ.1937 โรงงานหลายแห่งของบริษัทที่ถูกเปิดขึ้นที่นี่ ทำให้ตัวเมืองได้เปลี่ยนชื่อเป็นโตโยต้าในปี ค.ศ.1959
ภายในเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่หลายแห่งด้วยกัน อาทิเช่น
- Toyota Kaikan Museum – พิพิธภัณฑ์ที่โตโยต้าใช้จัดแสดงรถรุ่นใหม่ๆ และเทคโนโลยีต่างๆ
- Factory Tours – ทัวร์ชมโรงงานผลิตรถยนต์ของโตโยต้าของจริงที่โรงงานโมโตมาจิ ทากาโอกะ และสึสึมิ ซึ่งคุณจะเห็นทั้ง 4 กระบวนการที่น่าตื่นตาอย่างมาก เพราะมีการใช้หุ่นยนต์และเครื่องจักรที่ทันสมัยครับ ถ้าสนใจจองได้ที่นี่ (แต่ช่วงนี้ปิด เพราะสถานการณ์โรคระบาด)
- Strawberry Park Mifune – สวนสตอเบอรี่ยูการิที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาเก็บและรับประทานได้อย่างอิสระ (ภายในเวลาจำกัด)
- Lake Mikawa – ทะเลสาบที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาพักผ่อนและตกปลาครับ
อีกหนึ่งที่ที่พลาดไม่ได้เลยคือสวนโอบาระฟุเรไอ (Obara Fureai Park) สวนดีถือว่ามีความพิเศษเพราะคุณสามารถชมทั้งใบไม้เปลี่ยนสีและดอกซากุระพร้อมๆ กันได้ เพราะว่าต้นชิกิซากุระ (Shikisakura) ของที่นี่จะบานปีละสองครั้ง ซึ่งครั้งที่สองจะบานในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง หรือประมาณเดือนพฤศจิกายนครับ
3. อินุยามะ (Inuyama)
อินุยามะเป็นหนึ่งในเมืองสวยแห่งหนึ่งในจังหวัดไอจิ โดยเป็นที่ตั้งของปราสาทอินุยามะที่ทั้งเก่าแก่ สวยงามและยิ่งใหญ่ และยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ในเมืองมีหมู่บ้านเมจิมุระที่มีอาคารหลายหลังให้นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อีกด้วย แถมยังมีประเพณีจับปลาพื้นเมืองแบบอุไค (Ukai) ให้ได้ชมอีกด้วย
4. ทุ่งดอกพิงค์มอส
ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายนของทุกปี ที่บริเวณ Mt. Chausu Plateau (เชาสึยามะโคเกน) ของหมู่บ้านโทโยเนะ (Toyone Village) จะเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกพิงค์มอส หรือดอกชิบาซะกุระ โดยในอาณาบริเวณกว่า 22,000 ตารางเมตรจะมีดอกไม้สีชมพู สีม่วง สีขาวเรียงรายกันไปตามสันเขาอย่างสวยงาม
ใครที่ชอบดอกไม้ ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยครับ เพราะในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟที่ทำให้สวยยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
ข้อเสียของที่นี่คือ ถ้าจะใช้ขนส่งสาธารณะ จะไปได้โดยใช้แท็กซี่เท่านั้นจากนาโกย่า (อ้างอิงจากเว็บทางการของการท่องเที่ยวไอจิ) ซึ่งค่าแท็กซี่จะแพงหูฉี่ โดยอยู่ที่ 10,000-13,000 เยน ดังนั้นเช่ารถขับจึงเป็นทางออกที่ดีกว่าครับ (100 กิโลเมตร ใช้เวลาขับประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง)
5. โครังเค (Korankei)
โครังเคเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคชุบุ โดยจุดเด่นคือที่นี่คือต้นเมเปิ้ลกว่า 4,000 ต้นนั้นจะเรียงกันไปตามเส้นทางแม่น้ำ (เพราะชาวบ้านในอดีตเป็นผู้ปลูก) และโตรก ซึ่งตัวโตรกนั้นก็สวยงามมาก ดังนั้นไม่แปลกใจเลยครับที่ชาวญี่ปุ่นจะเดินทางมาชมอย่างล้นหลาม
นอกจากนี้ใกล้กับจุดชมวิวยังมีวัดและศาลเจ้าหลายแห่งที่น่าไปเยือน อย่างเช่นวัดโคจาคุจิ (Kojakuji Temple) วัดเซนอายุกว่า 600 ปีซึ่งเจ้าอาวาสที่เคยริเริ่มการปลูกต้นเมเปิ้ลเคยพำนักอยู่ที่นี่ และมีชื่อเสียงเรื่องการให้คำทำนายที่แม่นยำ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจะมีการประดับโคมไฟกว่า 1,000 ลูกที่ต้นไผ่บริเวณสองข้างทางที่เข้าสู่วัด ซึ่งงดงามมากทีเดียวครับ
6. ชินชิโระ (Shinshiro)
ชินชิโระเป็นเมืองขนาดเล็กในจังหวัดไอจิที่อยู่ห่างจากนาโกย่าประมาณ 80 กิโลเมตร ตัวเมืองเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดไอจิและญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ภูเขาโฮไรจิ (Horai-ji) ซึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีวัดชื่อเดียวกันอายุกว่า 1,300 ปีตั้งอยู่ครับ
วัดแห่งนี้เป็นวัดของพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าที่ชาวพุทธมหายานเชื่อว่าช่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วย ทำให้ตัววัดมีชาวพุทธเดินทางมาแสวงบุญมากมายตั้งแต่ในอดีต แม้แต่ไดเมียวคนสำคัญอย่างทาเคดะ ชินเก็นและโทคุกาวะ อิเอยาสึก็เคยศรัทธาและบริจาคทรัพย์สินเพื่อทำนุบำรุงวัดมาแล้ว
อีกหนึ่งจุดยอดนิยมก็คือแปลงนาข้าว 1,000 แปลงที่ยอตสึยะ เซ็นไมดะ (Yotsuya Senmaida) ที่เป็นแนวข้าวกว่าหนึ่งพันแปลง เรียงรายขึ้นไปตามสันเขา ซึ่งจะให้ภาพที่สวยงามมากครับ ในช่วงฤดูร้อนนั้นรวงข้าวจะเป็นสีเขียวชอุ่ม แต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นจะเป็นสีเหลืองอร่ามงดงาม รับกับใบไม้เปลี่ยนสีรายรอบได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ภายในเมืองชินชิโระยังมีสวนซากุระบูชิ (Sakurabuchi Park) ที่คุณสามารถชมดอกซากุระเบ่งบานตัดกับสายน้ำสีเขียวของลำธารในสวนครับ
7. ชมเทศกาลสึชิมะ เท็นโน
เทศกาลสึชิมะ เท็นโน (Tsushima Tenno Festival) เป็นเทศกาลทางน้ำเก่าแก่ และยิ่งใหญ่อยู่ในอันดับหนึ่งในสามของญี่ปุ่น ในอดีตโอดะ โนบุนากะ ไดเมียวยุคเซ็นโกกุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่บริเวณแถบนี้ก็เคยประืทับใจในเทศกาลนี้อย่างมากเลยครับ
ตัวเทศกาลจะมีทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน โดยไฮไลท์จะอยู่ในช่วงกลางคืนที่จะมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างอลังการงานสร้างไปพร้อมๆ กับมีการล่องเรือที่ประดับประดาไปพร้อมกับโคมไฟไปตามแม่น้ำ และแน่นอนว่าจะมีการเล่นดนตรีพื้นบ้านประกอบอีกด้วย ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาร่วมงานจะใช้ชุดยูกาตะออกมาชมตามริมแม่น้ำครับ
ส่วนในวันรุ่งขึ้นในตอนกลางวันจะมีการแห่เรือไปตามแม่น้ำก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ ทั้งนี้พิธีนี้จะจัดที่เมืองสึชิมะ (Tsushima) จังหวัดไอจิ ในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมครับ นอกจากเทศกาลนี้แล้วตัวเมืองสึชิมะยังมีชื่อเสียงเพราะมีสวนดอกวิสทีเรีย (Wisteria) อย่างสวนเท็นโนกะวะ (Tennogawa) ที่งดงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศครับ
8. โอกาซากิ (Okazaki)
โอกาซากิ (Okazaki) เป็นอีกเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อยอยู่หลายแห่ง ตัวเมืองอยู่ห่างจากนาโกย่าประมาณ 50 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ดังนั้นน่าสนใจไม่น้อยสำหรับการไปเยี่ยมเยือนช่วงสั้นๆ ครับ
จุดที่น่าสนใจได้แก่
- ปราสาทโอกาซากิ (Okazaki Castle) บ้านเกิดของโตกุกาวะ อิเอยาสึ ตัวปราสาทได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี และมีพิพิธภัณฑ์ที่เล่าชีวิตโชกุนผู้นีัอย่างละเอียดอีกด้วย
- Iwazu Tenmangu Shrine – ศาลเจ้าที่อุทิศให้กับเทพเจ้าซุกะวาระ โน มิชิซาเนะ เทพเจ้าแห่งสติปัญญาและความเป็นปราชญ์ของศาสนาชินโต นักเรียนญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาที่นี่เพื่อขอให้สอบเรียนต่อได้รับผลสำเร็จตามที่หวังไว้ครับ
- Okazaki Komadachi – ฟาร์มองุ่น 7 แห่งที่เปิดให้คุณเก็บองุ่นเคียวโฮสดๆ จากต้นมากินได้ไม่จำกัด และไม่มีกำหนดเวลาครับ ค่าเข้าจะสูงหน่อยโดยอยู่ที่ 2,000 เยน แต่ถ้าลองคิดดูว่าองุ่นเคียวโฮที่ไทยพวงนึงก็หลายร้อยบาทแล้ว ยังไงก็คุ้มครับ
โอกาซากิเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีเทศกาลที่น่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่เทศกาลดอกไม้ไฟไปจนถึงเทศกาลหิ่งห้อย ซึ่งถ้ามีโอกาสคุณไม่ควรพลาดเข้าร่วมหรือเข้าชมครับ
9. มินามิชิตะ (Minamichita)
เมืองริมทะเลที่อยู่ห่างจากนาโกย่าประมาณ 55 กิโลเมตร ที่นี่มีไฮไลท์อยู่ที่ทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่อย่างคันโกะโนเอ็น ฮานะฮิริบะ (Kanko Noen Hana Hiroba) ซึ่งมีดอกไม้หลากชนิด โดยเฉพาะดอกทานตะวันซึ่งมีการปลูกเรียงรายกันไปอย่างมากมายครับ จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ คุณสามารถเก็บดอกไม้กลับไปได้คนละ 10 ดอกครับ (แต่ดอกทานตะวันได้แค่ 3 ดอก)
อีกหนึ่งสิ่งที่คุณทำได้คือเก็บเมลอนและสตรอเบอรี่ แต่สองกิจกรรมนี้ walk-in ไม่ได้ครับ คุณจะต้องจองล่วงหน้านานเป็นเดือนทีเดียว เพราะได้รับความนิยมมาก
ใกล้กับมินามิชิตะมีหมู่บ้านออนเซ็นตั้งอยู่ด้วย ซึ่งคุณสามารถแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลาย และชมวิวสวยๆ ของท้องทะเลไปได้พร้อมๆ กันครับ
10. นิชิโอะ (Nishio)
นิชิโอะเป็นอีกหนึ่งเมืองริมทะเลของจังหวัดไอจิ โดยห่างจากเมืองนาโกย่าไปประมาณ 40 กิโลเมตร ตัวเมืองมีบรรยากาศสบายๆ และมีเทศกาลรื่นเริงหลายเทศกาลทุกปี อาทิเช่น โยเนสึ โน คาวามาสึริ (Yonezu no Kawamatsuri) ซึ่งคล้ายกับเทศกาลลอยกระทงของไทย กล่าวคือชาวเมืองจะลอยโคมไฟนับพันไปตามแม่น้ำ พร้อมกับจุดดอกไม้เฉลิมฉลองไปด้วยครับ
นอกจากนี้ในเมืองจะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง อาทิเช่น
- Jokutu Temple – วัดเก่าแก่กว่าพันปีที่มีพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่ ซึ่งชาวเมืองสร้างขึ้นเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของผู้ที่หายไปในท้องทะเลครับ
- Matcha Green Tea Museum Saijoen Waku Waku – เมืองนิชิโอะเป็นเมืองที่ผลิตมัจฉะหรือชาเขียวของญี่ปุ่นได้เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คุณได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชาเขียว ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการผลิต ไปจนถึงวิธีการดื่มชาเขียวต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติดีที่สุดครับ
- Sakushima – เกาะซากุชิมะเป็นเกาะเล็กๆ ที่ห่างไปจากชายฝั่งไม่ไกลนัก ที่นี่มีบรรยากาศอันเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนทั้งกายใจครับ
- Nishio City History Park – สวนที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทนิชิโอะของตระกูลโคโนเอะอันเกรียงไกร ตัวปราสาทมีประวัติความเป็นมากว่า 800 ปี ด้านในมีร้านชาแบบดั้งเดิมที่คุณสามารถชิมชาระดับตำนานของเมืองได้ครับ
11. ทาฮาระ (Tahara)
เมืองทาฮาระเป็นเมืองอันเงียบสงบที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนต่างๆ ตัวเมืองห่างจากนาโกย่าประมาณ 90 กิโลเมตรครับ
สวนที่คุณไม่ควรพลาดก็คือสวนอิราโกะนาโนฮานะ (Irago Nanohana Garden) ซึ่งดอกเรพซีดสีเหลืองจะบานสะพรั่งเต็มทุ่งในจำนวนที่มากถึงสิบล้านดอกทีเดียว ทำให้คุณเห็นเหมือนกับพรมสีเหลืองเต็มคาบสมุทรอัตซูมิเลยครับ นอกจากนี้ในสวนยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน
อีกกิจกรรมที่ชาวญี่ปุ่นชอบมากที่เมืองนี้คือการเก็บเมลอนและสตรอเบอรี่ (เก็บเสร็จแล้วกินได้เลยแบบไม่จำกัด) ซึ่งสามารถเก็บได้ที่หลายสวนด้วยกัน อาทิเช่น Seaside Farm Irago, Maruka Nouen Farm หรือ New Atsumi Kanko Farm
สำหรับราคาเก็บเมลอนจะเริ่มต้นที่ 2,000 เยนต่อคน แต่บางแห่งอาจจะสูงถึง 3,800 เยน เพราะอนุญาตให้คุณนำเมลอนที่เก็บมากลับบ้านได้คนละลูกครับ
นอกจากนี้ทาฮาระยังมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือที่ Hii-no-Sekimon ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเลที่มีช่องทะลุชั้นหินไปตามธรรมชาติ ชาวญี่ปุ่นมักจะนั่งเรือมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงวันปีใหม่ครับ
12. ชมซากุระที่สองฝั่งของแม่น้ำโกโจ
สองฝั่งของแม่น้ำโกโจ (Gojo River) ที่ไหลผ่านเมืองอิวากุระ (Iwakura) ในจังหวัดไอจินั้นมีต้นซากุระที่บานสะพรั่งอย่างหนาแน่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิกว่า 1,400 ต้นเรียงรายกันไปหลายกิโลเมตร ทำให้เป็นทัศนียภาพที่งดงามมากจนติดอันดับ 1 ใน 100 อันดับของจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีเทศกาลและงานรื่นเริงให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอีกด้วย เมืองอิวากุระเองห่างจากนาโกย่าไปแค่ 17 กิโลเมตร ทำให้ใช้เวลาเดินทางไปไม่นานนัก ด้วยการนั่งรถไฟ Meitetsu Inuyama Line ไปลงสถานี Iwakura ครับ