อคาบา (Aqaba) คือเมืองริมทะเลแดง ซึ่งอยู่ใต้สุดของประเทศจอร์แดน ตัวเมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทชั้นนำของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นสู่การดำน้ำในทะเลแดง ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำลึกอันดับต้นๆ ของโลกด้วยครับ
ในบทความนี้ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักเมืองอคาบาโดยคร่าวๆ ก่อน หลังจากนั้นจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความนี้มี Affiliate Links หรือแปลว่าผมอาจจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองทัวร์หรือบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ
ความเป็นมาของเมืองอคาบา (Aqaba)
อคาบาตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยตั้งอยู่ใน Gulf of Aqaba หรือผืนน้ำที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียและแอฟริกา และยังอยู่ใกล้กับดินแดนของอีกสองประเทศ อย่างอิสราเอลและอียิปต์ครับ
เมืองอคาบาเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก โดยย้อนไปได้ถึงช่วง 4000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว จากการตรวจสอบโบราณสถานที่พบแถบนี้แสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยเป็นเมืองผลิตทองแดงที่รุ่งเรืองในยุคนั้น และตัวเมืองเองก็มีระบบชลประทานที่ดี ซึ่งชาวเมืองได้ใช้ปลูกพืชเช่นมะกอกและองุ่น แต่น่าแปลกเช่นกันที่ไม่เคยปรากฏในจดหมายเหตุใดๆ ครับ
ต่อมาในช่วง 1500 ปีคริสตกาล ชาว Edomites ได้สร้างท่าเรือแห่งแรกขึ้นที่นี่ ซึ่งชาวเมืองได้ค้าขายทองแดงกับชาวฟินิเชียนที่มีทักษะการเดินเรืออันดับต้นๆ ของโลกในยุคนั้น ดังนั้นเราจึงเชื่อได้ว่าอคาบา (ชื่อในเวลานั้นของเมืองน่าจะเป็น Elath) เคยรุ่งเรืองมากในช่วงเวลาดังกล่าว
ความรุ่งเรืองดังกล่าวได้ทำให้เมืองถูกยึดครองโดยจักรวรรดิสำคัญๆ ต่อเนื่องกันในช่วง 800-300 BC ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิอัสซีเรียน จักรวรรดิบาบิโลน จักรวรรดิเปอร์เซีย หรือแม้กระทั่งจักรวรรดิมาซิโดเนียของอเล็กซานเดอร์มหาราช แต่ตัวเมืองกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในตะวันออกกลางครับ
ในช่วงยุคโรมัน เมืองนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Aela และยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญของชาวโรมัน และมีการสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่เพื่อป้องกันเมือง เมื่อการเผยแผ่ศาสนาคริสต์มาถึง ที่นี่ก็ได้เป็นเมืองคริสต์ โดยมีบิชอปของเมืองอีกด้วย โบสถ์คริสต์ที่สำคัญก็ได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ครับ
อย่างไรก็ดีเมื่อชาวมุสลิมรุกรานดินแดนแถบนี้ในช่วงศตวรรษที่ 7 อคาบาน่าจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก ผู้ปกครองชาวมุสลิมจึงสร้างเมืองใหม่ขึ้นในบริเวณใกล้ๆ โดยเมืองนี้ชื่อใหม่เป็น Ayla ครับ ส่วนตัวเมืองเก่าก็ถูกทิ้งร้างไม่ได้รับการดูแลรักษาแต่อย่างใด
ชาวมุสลิมได้เปลี่ยนเมืองอคาบาใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายของภูมิภาค รวมไปถึงจุดแวะพักของผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปยังเมกกะ ตัวเมืองจึงเจริญมากในช่วงศตวรรษที่ 7-12 แต่แล้วเมืองกลับถูกนักรบครูเสดเข้ายึดครอง และย้ายศูนย์กลางของเมืองลงใต้ไปประมาณ 500 เมตรจึงเกิดเป็นเมืองใหม่อีกที่นี่หนึ่งนามว่า Elyn
แม้ว่าต่อมาชาวมุสลิมจะตีเมืองกลับคืนมาได้ แต่อคาบาไม่ได้ความสำคัญกลับคืนมา ตลอดช่วงศตวรรษที่ 13-20 อคาบาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านจับปลาเลี้ยงชีพเท่านั้น
อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 20 อคาบาเป็นสมรภูมิสำคัญที่ T.E. Lawrence (หรือ Lawrence of Arabia) และกองกำลังอาหรับที่เป็นพันธมิตรได้มีชัยเหนือกองทัพออตโตมัน ทำให้กองเรืออังกฤษสามารถเข้าสนับสนุนชาวอาหรับที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของออตโตมันได้ครับ
หลังจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง อคาบาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศจอร์แดน เพราะมีทั้งสถานที่ที่น่าสนใจทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ รีสอร์ทมากมายหลายแห่งจึงได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ครับ
การเดินทางไปยังเมืองอคาบา
อคาบาเป็นเมืองท่องเที่ยวดังนั้นคุณสามารถเดินทางไปได้ไม่ยากจากกรุงอัมมานครับ โดยมีวิธีดังต่อไปนี้
รถบัส – มีรถบัสจากกรุงอัมมาน (7th circle) ไปยังอคาบาทุกวัน วันละหลายเที่ยว ผู้บริการชั้นนำอย่าง Jett นั้นให้บริการถึงวันละ 6 เที่ยวด้วยกัน โดยค่ารถจะอยู่ที่ 10 ดีนาร์ หรือประมาณ 500 บาทครับ นอกจากนี้คุณยังสามารถนั่งไปจากเพตราได้อีกด้วย
เช่ารถ – คุณสามารถเช่ารถในจอร์แดนและขับไปเอง โดยระยะทางอยู่ที่ประมาณ 338 กิโลเมตรครับ ทั้งนี้คุณจะเลือกเส้นทางไปได้ระหว่าง King’s Highway หรือ Desert Highway ทั้งนี้เส้นแรกจะสวยกว่า แต่เส้นหลังจะเร็วกว่าครับ (อ้างอิงจาก Visit Jordan) ตัวเลือกนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะคุณสามารถขับไปเพตราและวาดิรัมได้ด้วยโดยไม่ต้องพะวงเรื่องไม่มีรถครับ
ที่พัก
สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พักในเมือง ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักในอคาบาของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ดำน้ำชมปะการังในทะเลแดง
สำหรับใครที่หลงรักโลกใต้ทะเล ถ้าคุณเดินทางมาถึงอคาบาแล้ว กิจกรรมนี้ถือว่าพลาดไม่ได้ 100% เพราะทะเลแดงเป็นจุดดำน้ำอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชมดำน้ำเรือจม นอกจากนี้ปะการังและสัตว์ทะเลของที่นี่อุดมสมบูรณ์มากครับ
จุดดำน้ำในบริเวณนี้มีถึง 25 แห่งโดยมีจุดยอดนิยมดังต่อไปนี้
Cedar Pride – ที่นี่เป็นที่ตั้งของเรือสินค้าซึ่งยาวถึง 80 เมตร ซึ่งถูกทำให้จมลงโดยรัฐบาลจอร์แดนเพื่อให้เป็นปะการังเทียม ในปัจจุบันสัตว์น้ำบริเวณนี้ถือว่าอุดมสมบูรณ์มาก และอุดมไปด้วยปะการัง จุดนี้จึงถือว่าเป็นจุดดำน้ำลึกที่ยอดนิยมที่สุดในอคาบาครับ และยังใกล้ฝั่งมากอีกด้วย
Aqaba Underwater Military Museum – จุดดำน้ำซึ่งใต้ท้องทะเลมีทั้งรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในช่วงสงครามครับ เหมาะกับใครที่อยากได้ประสบการณ์แปลกใหม่ในการดำน้ำ
Japanese Garden – จุดนี้เป็นจุดสำหรับนักดำน้ำตื้น เพราะคุณสามารถเห็นทั้งปะการังและสัตว์น้ำได้อย่างมากมาย โดยที่ไม่ต้องดำน้ำลึกครับ ปลาและเต่าในจุดนี้ถือว่ามากมายเลยทีเดียว
Power Station – จุดดำน้ำลึกที่มีปะการังอันอุดมสมบูรณ์ และยังมีโอกาสสูงที่จะได้เจอสัตว์ทะเลขนาดใหญ่อย่างฉลามอีกด้วย จุดเด่นของที่นี่คือเป็นจุดแบบ Wall Diving ที่มีกำแพงปะการังแนวตั้งลึกลงไปในท้องทะเลครับ ซึ่งพื้นสมุทรที่นี่อาจจะลึกได้มากกว่า 200 เมตรเลยทีเดียว
Black Rock – จุดดำน้ำที่มีเสาปะการังเรียงรายกันไป และมีไฮไลท์ที่สัตว์น้ำจำนวนมหาศาลและยังหลากหลายอีกด้วยครับ
ทัวร์ดำน้ำ
ทัวร์ดำน้ำที่ทะเลแดงจากอคาบานั้นมีให้เลือกมากมาย ผมแนะนำให้จองผ่าน Viator เพื่อความสะดวกสบาย และรับประกันได้ว่าไม่โดนมิจฉาชีพหลอกลวงอย่างแน่นอน
2. นั่งเรือกระจกชมปะการัง
สำหรับใครที่ขี้เกียจหรือว่าไม่กล้าลงดำน้ำ คุณสามารถไปนั่งเรือที่มีท้องเป็นกระจกใสแบบผมได้ครับ ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังดำน้ำตื้น แต่ไม่ต้องเปียกนั่นเอง
ตอนที่ผมไป ผมชอบนั่งเรือแบบนี้มาก เพราะว่าใต้ทะเลของที่นี่สวยมาก น้ำใสมาก และปะการังต่างๆ ก็สวยและอุดมสมบูรณ์ ข้อเสียอย่างเดียวคือให้ชมสั้นไปมาก (รู้สึกว่าควรจะนานกว่านี้มาก) ดังนั้นถ้าคุณพร้อมจะดำน้ำ ผมแนะนำว่าการดำน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
แต่ถ้าสนใจ คุณสามารถดูรูปและรายละเอียด พร้อมจองได้ผ่าน Viator เหมือนเดิมครับ
3. เดินเล่นตามชายหาดต่างๆ
อคาบาเป็นเมืองที่มีชายหาดสวยงามหลายแห่ง ซึ่งความสวยงามจะแปลกตาไม่น้อยในสายตาคนไทย เพราะจะเป็นภูมิทัศน์แบบทะเลทรายมาบรรจบกับท้องทะเลสีน้ำเงินใสสะอาดครับ
หาดที่น่าสนใจได้แก่
- Al-Hafayer Beach/Palm Beach – หาดสวยๆ ในเมืองที่มีทรายสีทองเป็นทางยาว และมีคาเฟ่หลายแห่ง
- Berenice Beach – หาดทรายที่มีที่นั่งมากมาย และปะการังต่างๆ ยังอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งอีกด้วย
- Tala Bay Beach – ห่างจากอคาบาประมาณ 14 เมตร คุณสามารถเห็นประเทศอิสราเอลและอียิปต์ได้จากหาดทรายสีทองแบบนี้ครับ
4. ชมปราสาทอคาบา (Aqaba Castle)
ปราสาทอคาบา (Aqaba Castle) หรืออีกชื่อหนึ่งป้อมมัมลุก (Mamluk Fort) เป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่านักรบครูเสดหลังจากที่ยึดครองดินแดนเหล่านี้ได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีตัวป้อมกลับถูกทำลายเป็นสุลต่านซาลาดินในช่วงปลายศตวรรษที่ 12
ถึงกระนั้นสุลต่านราชวงศ์มัมลุกจะให้สร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อใช้เป็นที่พักและดูแลความปลอดภัยให้กับเหล่าชาวมุสลิมที่เดินทางมาจากอียิปต์ไปยังนครเมกกะครับ ซึ่งตัวป้อมสมัยศตวรรษที่ 16 นี้เองที่หลงเหลือให้ชมในปัจจุบัน
5. ชมมัสยิด Sharif Hussein bin Ali Mosque
Sharif Hussein bin Ali Mosque เป็นมัสยิดสำคัญที่ถูกตั้งตามชื่อของ Hussein bin Ali ผู้นำในการลุกฮืออาหรับในช่วงศตวรรษที่ 20 และเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านอำนาจของออตโตมันครับ
ตัวมัสยิดจะเป็นสีขาวแทบทั้งหลัง และได้รับการสร้างอย่างประณีต จนเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์แดนอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นที่เดินทางมาทำละหมาดของชาวเมืองอคาบาครับ
6. ชมซากเมืองโบราณ Ayla
อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้วด้านบน เมือง Ayla นั้นเป็นเมืองมุสลิมที่รุ่งโรจน์ก่อนการเข้ามาของนักรบครูเสด ซึ่งในปัจจุบันยังหลงเหลือโครงของเมืองที่คุณสามารถเข้าไปเดินชมและศึกษาเพิ่มเติมได้ว่า ตัวเมืองเคยมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และชาวเมืองใช้ชีวิตกันอย่างไรครับ
7. ชม Aqaba Church
Aqaba Church หรือโบสถ์คริสต์แห่งอคาบาเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองที่หลงเหลือซากมาจนถึงปัจจุบัน และน่าจะเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งด้วยครับ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลงเหลือมาจนทุกวันนี้คือซากปรักหักพังที่ดูเหมือนเป็นโครงเท่านั้น ส่วนอื่นนอกจากนั้นสูญสลายไปแล้วตามกาลเวลาครับ
8. ชมโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑ์
อคาบาเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจมาก สำหรับใครที่ชอบประวัติศาสตร์และโบราณคดี ผมแนะนำให้เดินทางไปพิพิธภัณฑ์ Aqaba Archaeological Museum ซึ่งเก็บรวบรวมโบราณวัตถุเก่าแก่จากทุกยุคทุกสมัยให้คุณได้ชมครับ
บางชิ้นถือว่าหาชมยากมากเพราะมีอายุกว่า 6,000 ปีเลยทีเดียว ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในบ้านเดิมของ Hussein bin Ali ครับ
9. เดินเล่นและช้อปปิ้ง
ภายในเมืองอคาบามีหลายจุดให้เดินเล่น ช้อปปิ้ง ไปจนถึงอาหารอร่อยๆ รับประทาน โดยจุดที่น่าสนใจได้แก่
- Souq by the Sea – ตลาดที่มีงานช่างฝีมือสวยๆ มากมายให้เลือกซื้อเป็นของฝาก
- King Hussein Street – ถนนริมทะเลแดงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณนี้ยังมีร้านอาหารและคาเฟ่มากมายอีกด้วย
- Raghadan Street – ถนนที่มีผักผลไม้สดๆ ให้ได้เลือกซื้อ (มาจอร์แดนต้องลองน้ำทับทิมครับ อร่อยมากเลยทีเดียว)
- Zaharan Street – เต็มอิ่มไปด้วยกลิ่นอายของเครื่องเทศหลากชนิดครับ