บา อะทอลล์ (Baa Atoll) เป็นหนึ่งในหมู่เกาะยอดนิยมของประเทศมัลดีฟส์ เนื่องด้วยที่นี่เป็นที่ตั้งของ UNESCO Biosphere Reserve ทำให้มีระบบนิเวศทางน้ำที่สมบูรณ์แบบยิ่ง สัตว์น้ำจึงมีจำนวนมหาศาลตามไปด้วย โดยเฉพาะเหล่าแมนต้าเรย์และฉลามวาฬที่มักจะมารวมตัวกันที่ Hanifaru Bay ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน เพราะกระแสน้ำจะกวาดเอาแพลงตอนอันเป็นอาหารของสัตว์เหล่านี้เข้าไปในบริเวณอ่าวเป็นจำนวนมากครับ
นอกจากนี้ทัศนียภาพของบา อะทอลล์ก็สวยงามมิใช่เบา จนอาจจะเรียกได้ว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศก็ว่าได้ ทำให้นักเดินทางจำนวนมากเลือกที่จะพักที่นี่ครับ
บทความนี้จึงจะมาแนะนำรีสอร์ทที่น่าสนใจในบา อะทอลล์ จะมีที่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติมได้ในด้านล่างเลยครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองโรงแรมในบา อะทอลล์ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
ข้อควรทราบ
เกณฑ์การเลือกที่พักในบทความ
สำหรับที่พักแต่ละแห่งในบทความนี้ ผมจะระบุถึงจุดเด่นของแต่ละที่ด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งผมได้สรุปมาจากรีวิวของผู้เข้าพักจริงจากแพลตฟอร์มจองโรงแรมต่างๆ ผมเชื่อว่าข้อมูลส่วนนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกที่พักที่เหมาะสมได้มากขึ้นครับ
บา อะทอลล์ vs. อะทอลล์อื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับมาเล่
จุดแข็งของบา อะทอลล์คือทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง โดยเฉพาะสัตว์น้ำนานาชนิดอย่างเช่นแมนต้า เรย์ การันตีด้วยสถานะ UNESCO Biosphere Reserve นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรีสอร์ทที่น่าจะเรียกได้ว่าคุณภาพสูงที่สุดในหมู่เกาะมัลดีฟส์ โดยแต่ละโรงแรมถึงเป็นเกาะส่วนตัว ส่วนนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้มีจำนวนมากเกินไป ทำให้เรื่องความเป็นส่วนตัวตลอดจนวิวทิวทัศน์ทั้งบนฝั่งและใต้ทะเลสวยอลังการ ที่นี่ได้ AAA ทั้งหมดครับ
แต่จุดด้อยของบา อะทอลล์คือระยะห่างที่ไกลจากมาเล่ ทำให้คุณจะต้องจ่ายค่า Seaplane ในราคาที่สูงมาก โดยไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งต่างจากอะทอลล์อื่นๆ ใกล้กับมาเล่ที่คุณอาจจะนั่งเรือไปได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปครับ
การเดินทางไปยังที่พัก
ค่าโรงแรมต่อคืนนั้นจะยังไม่รวมค่าบริการ Seaplane จากมาเล่ เมืองหลวงของมัลดีฟส์ไปยังบา อะทอลล์อีกประมาณ 500-2000 USD ต่อคน ซึ่งส่วนมากแล้วผู้เข้าพักจะให้ทางโรงแรมจัดการจองให้ โดยคุณจะต้องไปจ่ายเงินที่โรงแรมทีหลังครับ
เรทราคาอาจจะทำให้คุณรู้สึกขยาดอยู่ไม่น้อย (ไม่ใช่คุณเพียงคนเดียว แต่ผมก็ด้วย และนักเดินทางคนอื่นอีกมากมายก็คิดแบบเดียวกัน) แต่ถ้าคุณมองว่าคุณได้ชมวิวสวยๆ ของอะทอลล์ต่างๆ ของประเทศมัลดีฟส์จากท้องฟ้าอย่างใกล้ชิด ผมมองว่าก็เป็นการลงทุนที่ไม่ได้แย่เกินไปนักครับ
อีกหนึ่งที่คุณต้องทราบคือ ทาง Seaplane จะให้คุณนำกระเป๋าใบใหญ่ได้คนละ 1 ใบ โดยมีน้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม เช่นเดียวกับ Carry-on อีกใบที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัมครับ
Beach Villa vs Water/Ocean Villa
โดยมากแล้วห้องพักในแต่ละรีสอร์ทจะแบ่งหลักๆ ได้เป็นสองแบบนั่นคือ Beach Villa หรือ Water/Ocean Villa ครับ
Beach Villa คือเป็นวิลล่าที่ตั้งอยู่บนชายหาด ดังนั้นคุณจะเข้าถึงชายหาดอันขาวสะอาดได้ง่ายดายและสะดวกสบาย แต่เรื่องวิวทะเลย่อมสู้ Water/Ocean Villa ไม่ได้ เนื่องจากส่วนมากแล้ววิลล่าแต่ละแห่งจะถูกโอบล้อมโดยต้นไม้และสวนขนาดใหญ่ ทำให้วิวทะเลนั้นไม่เป็นแบบพาโนรามา เพราะจะถูกต้นไม้บัง หรือในที่พักบางแห่ง คุณอาจจะต้องเดินออกมายังลานส่วนตัวเพื่อชมวิวทะเลครับ
อย่างไรก็ดีบรรยากาศบริเวณตัวห้องของ Beach Villa จะร่มรื่นกว่า Water/Ocean Villa เวลานอนเล่นก็จะสบายกว่า เพราะมีจุดให้หลบแดดมากกว่าด้วย
ส่วน Water/Ocean Villa นั้นพูดง่ายๆ ก็คือวิลล่าลอยน้ำหรือวิลล่ากลางน้ำ นั่นคือวิลล่าของคุณจะตั้งอยู่เหนือท้องทะเล ส่วนมากแล้วจะมีบันไดให้คุณลงทะเลไปว่ายน้ำเล่น หรือดำน้ำตื้นได้โดยตรง ใครที่ชอบกิจกรรมทางน้ำ ย่อมจะต้องชอบที่พักแบบนี้มากกว่า
ไม่เพียงเท่านั้น ในที่พักบางแห่ง คุณอาจจะเห็นสัตว์น้ำต่างๆ อาทิเช่นฉลามหรือแมนต้าเรย์มาว่ายป้วนเปี้ยนให้คุณชมได้ตลอดทั้งวัน แถมวิวทะเลก็จะเห็นเป็นแบบพาโนรามาที่งดงามยิ่ง แต่จุดด้อยคืออาจจะไกลจากชายหาด และไม่มีต้นไม้ใดๆ มาช่วยบังแดดเลย ความน่านั่งน่านอนกลางแจ้งย่อมน้อยกว่าแบบวิลล่าชายหาดครับ
ว่าด้วย All-Inclusive
All-Inclusive ในบริบทของมัลดีฟส์คือ ในการจองห้องพักนั้นจะรวมอาหาร 3 มื้อ ซึ่งจะรวมทั้งอาหารและของว่างอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ดีทุกโรงแรมหรือรีสอร์ทจะมีข้อจำกัดในส่วนนี้แตกต่างกันไป อย่างเช่นบางโรงแรมจะจำกัดสิทธิ์ All-Inclusive ให้อยู่แค่ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์เท่านั้น (ไม่รวม Fine Dining) หรือบางแห่งอาจจะรวมกิจกรรมบางอย่างนอกเหนือจากอาหารเข้าไปด้วย เช่นพายเรือคายัค แต่แห่งอื่นๆ ไม่รวมเป็นต้น
แต่ที่แน่ๆ ในทุกแห่งคือ All-Inclusive ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างในโรงแรมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญยิ่งคือต้องอ่านเงื่อนไขของแพคเกจ All-Inclusive ของรีสอร์ทให้ถี่ถ้วนก่อนจองครับ เพราะว่าแต่ละรีสอร์ทให้ไม่เท่ากันนั่นเอง
เลือก Package อาหารรูปแบบไหนดี?
Package อาหารของรีสอร์ทที่บา อะทอลล์นั้นมีให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่ไม่รวมอาหารเลย ไปจนถึงรวมอาหารเช้า รวมอาหารเช้าเย็น (Half-board) และรวมอาหาร 3 มื้อ (All-Inclusive) ครับ
แพคเกจที่ผมไม่แนะนำคือไม่รวมอาหารเลย เพราะว่ารีสอร์ทในบา อะทอลล์ส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในเกาะส่วนตัว ดังนั้นคุณไม่มีโอกาสจะหาอะไรอื่นรับประทานไม่ได้เลย ดังนั้นแพคเกจอย่างต่ำที่คุณเลือกนั้นควรจะเป็นแบบรวมอาหารเช้าครับ
ส่วน Half-board และ All-inclusive นั้น ความน่าสนใจจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางรีสอร์ท เพราะบางแห่งอาจจะ 1. ไม่รวมเครื่องดื่ม หรือ 2. มีร้านอาหารหลายแห่งซึ่งอาจจะไม่ได้รวมอยู่ในแพคเกจอาหารครับ
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเลือกทานห้อง Fine Dining ที่ต้องจ่ายเพิ่ม คุณย่อมเสียมื้อเย็นที่ห้องบุฟเฟต์ที่รวมอยู่แล้วในแพคเกจไปฟรีๆ แต่ถ้ารีสอร์ทที่คุณเลือกให้คุณทานได้ในทุกห้องทุกแบบ หรือว่ามอบส่วนลดให้แทน ในแง่นี้ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ
นอกจากนี้สิ่งที่คุณควรพิจารณาร่วมคือ plan ด้านกิจกรรมของคุณเองด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณวางแผนจะออกไปเที่ยวนอกรีสอร์ททั้งวันอย่างไปทริปดำน้ำล่องเรือ การจองแบบ All-inclusive ก็อาจจะไม่คุ้มค่า เพราะว่าคุณไม่ได้อะไรจากมื้อกลางวันนั่นเองครับ ในแง่นี้การจองแบบ Half-board ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ
ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ คุณอาจจะเลือก package มาตรฐานไปก่อนตอนจองโรงแรม และค่อยไปพิจารณาอัพเกรดตอนอยู่ที่โรงแรมก็ได้ครับ
ว่าด้วยสกุลเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆ
จริงอยู่ว่าประเทศมัลดีฟส์เป็นสกุลเงินของตนเอง แต่สกุลเงินที่ทางโรงแรมคิดค่าใช้จ่ายเสริม ไม่ว่าเป็นอาหารและกิจกรรมต่างๆ จะเป็น US Dollar ครับ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเตรียม US Dollar ไปด้วย เพราะทางโรงแรมจะตัดบัตรเครดิตอยู่แล้วครับ
หลายรีสอร์ทในบา อะทอลล์จะมีแพคเกจพิเศษ (มักจะเรียกว่า Stay Longer) ที่ลดค่าใช้จ่ายทั้งค่าห้องและค่าอาหารในกรณีที่คุณพักเกิน 5 คืนขึ้นไป ส่วนลดที่ได้จากแพคเกจเหล่านี้ถือว่าไม่น้อย ในบางแห่งนั้นอาจจะลดค่าห้องถึง 25% และยังแถมอาหารเย็นให้อีกด้วยครับ
ข้อมูลแพคเกจอาหารและสิทธิพิเศษของแต่ละรีสอร์ทสามารถเปลี่ยนได้ทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วงที่มีโปรโมชั่น ดังนั้นโปรดตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งก่อนจอง เพราะคุณอาจจะได้ดีลที่ดีขึ้นอีกก็ได้ครับ
ที่พักที่บา อะทอลล์ (Baa Atoll) น่าจอง
1. Soneva Fushi
ถ้าเอ่ยถึงสุดยอดโรงแรมของบา อะทอลล์ หรือเกาะมัลดีฟส์แล้ว ย่อมจะขาดโรงแรมของเครือ Soneva ไปไม่ได้ Soneva Fushi นั้นเป็นรีสอร์ทระดับ 6 ดาวที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนผืนน้ำ คุณจะได้รับประสบการณ์การพักผ่อนในระดับสุดยอดอย่างที่ยากจะหาที่อื่นมาเปรียบได้ครับ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือที่นี่คือ เวลาที่เกาะส่วนตัวของโรงแรมนั้นถูกปรับให้เร็วกว่ามาเล่ 1 ชั่วโมง (ยกเว้นช่วงเดือนรอมฎอน) เพราะผู้เข้าพักจะได้เวลาช่วงกลางวันมากยิ่งขึ้น แม้ว่าอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็แสดงถึงความเอาใจใส่ของทางโรงแรมได้เป็นอย่างดีครับ
- ที่ตั้ง: Kunfunadhoo Island, Eydhafushi, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 600-1300 USD ราคาที่แตกต่างกันมากมาจากเครื่องบินที่มีให้เลือกสองแบบครับ
ห้องพัก
สำหรับห้องพักของที่นี่นั้นจะแบ่งได้เป็นสองฝั่ง นั่นคือฝั่ง Sunrise และ Sunset โดยฝั่ง Sunrise จะมีข้อดีคือเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และได้วิวท้องทะเลแบบไม่มีอะไรขวางกั้น นอกจากนี้ยังให้ความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า ส่วนฝั่ง Sunset นั้นจะมีโลมามาให้เห็นบ่อยครั้ง รวมไปถึงสัตว์น้ำอื่นๆ ถ้าคุณชอบดำน้ำตื้น ฝั่งนี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
ส่วนการตบแต่งห้องพักจะเป็น island style ที่ใช้ไม้เป็นหลัก ซึ่งดูกลมกลืนกับธรรมชาติอันสวยงามโดยรอบ และผสานไปด้วยความทันสมัยของสไตล์โมเดิร์น ทำให้ในห้องมีบรรยากาศสบายๆ นอกจากนี้ทุกห้องยังมีเพดานสูง ช่วยให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งด้วย
ห้องพักที่นี่มีเฉพาะแบบวิลล่าเท่านั้น โดยมีจำนวนทั้งหมด 56 หลัง รูปแบบที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- 1/2 Bedroom Crusoe with Pool – 145/394 ตร.ม. ห้องแบบ Duplex Villa สองชั้นแต่ตบแต่งในสไตล์ rustic เหมือนคนติดเกาะอย่างโรบินสัน ครูโซครับ ห้องนี้จะตั้งอยู่ริมหาด ช่วยให้คุณเล่นน้ำได้อย่างสบาย ทั้งนี้ห้องแบบสองห้องนอนจะเพิ่มห้องอบไอน้ำให้คุณใช้บริการได้ครับ
- 1/2 Bedroom Crusoe Suite with Pool – 264/412 ตร.ม. คล้ายกับห้อง Crusoe ธรรมดาโดยมี 1-2 ห้องนอนเหมือนกัน แต่ว่าจะเพิ่มห้องครัว และห้องอาหาร ตลอดจนพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเข้ามาครับ
- Villa/Family Villa/4 Bedroom Villa Suite with Pool – 272/360/721 ตร.ม. วิลล่าแบบชั้นเดียวที่มี 1-4 ห้องนอนที่ตั้งอยู่ริมหาดทรายขาว โดยห้อง Family จะใหญ่ขึ้นมาพอสมควร แต่โครงสร้างห้องจะไม่ได้มีอะไรเพิ่มเข้ามา ห้องนี้ถือว่าสะดวกกับครอบครัวที่มีเด็กและสูงอายุ เพราะไม่มีบันไดครับ
- 1/2 Bedroom Water Reserve with Slide – 585/857 ตร.ม. วิลล่ากลางมหาสมุทรแบบสุดหรู โดยมีสไลด์ให้คุณและบุตรหลานสามารถเล่นลงน้ำได้อีกด้วย
- 3 Bedroom Sunrise Retreat – 884 ตร.ม. ห้องพักนี้จะเป็นบังกะโลแบบ duplex สามหลังเชื่อมติดกันอยู่ที่ริมหาด และมีห้องฟิตเนส ห้องครัว ห้องอบไอน้ำ ฯลฯ
- Jungle Residence – 1,590 ตร.ม. วิลล่าแบบสามห้องนอนที่ตั้งอยู่ริมหาด ด้านในมีสไลด์เดอร์ สปา ห้องฟิตเนส ห้องสมุด หรือแม้กระทั่งห้องเก็บไวน์
- Sunset Reserve – 2,234 ตร.ม. วิลล่าขนาด 7 ห้องนอนที่มีต้นไม้โบราณ (Banyan Tree) เป็นศูนย์กลาง บริเวณโดยรอบจะมีการปลูกต้นไม้อย่างเช่นต้นปาล์มอย่างหนาแน่น ทำให้มีความร่มรื่นเป็นพิเศษ
- Villa – 1,420-3,048 ตร.ม. วิลล่าแบบ 3-9 ห้องนอนที่ตั้งอยู่ริมหาด แน่นอนวามีทั้งสปา ซาวน่า ห้องฟิตเนส ห้องสมุดส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกมากมายครับ
จุดเด่นของห้องพักของที่นี่คือ gimmick เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาจจะมีบทบาทในการยกระดับประสบการณ์การพักของคุณ อย่างเช่นใต้โต๊ะอาหารของห้องกลางน้ำอาจจะเป็นกระจกที่คุณสามารถมองเห็นใต้ทะเลเบื้องล่างได้ หรือหลังคาห้องนอนอาจจะเปิดได้เพื่อให้คุณชมดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ฯลฯ
ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละห้องถือว่ายอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นมินิบาร์ฟรี สระว่ายน้ำส่วนตัว ห้องอาบน้ำแบบ outdoor ห้องนั่งเล่นพร้อมโทรทัศน์ อุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องทำกาแฟ Nespresso ฯลฯ ขณะที่ขนาดห้องพักแต่ละห้องถือว่าใหญ่มากในทุกระดับ โดยเฉพาะวิลล่า 9 ห้องนอนที่ใหญ่แบบอลังการ จนน่าเรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของหมู่เกาะมัลดีฟส์เลยก็ว่าได้ครับ
สำหรับทุกห้องพักนั้นจะได้รับการดูแลอย่างส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมงโดยเหล่า butler (หรือที่ทางโรงแรมเรียกว่า Barefoot Guardian) ที่จะเอาใจใส่และช่วยเหลือคุณในทุกสิ่งที่ต้องการครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหาร 11 แห่ง
- ห้องช็อคโกแลตและไอศกรีม + ห้องชีสและของทานเล่น
- ห้องฟิตเนสกลางและคอร์ดเทนนิส + โยคะและการทำสมาธิ
- กิจกรรมทางน้ำ (ฟรีสำหรับกิจกรรมที่ไม่มีการใช้เครื่องยนต์) + ทัวร์ดำน้ำลึก ชมโลมา ฯลฯ
- บริการสปาแบบครบวงจรที่ Soneva Soul
- บริการถ่ายรูปและวิดีโอสำหรับบันทึกความทรงจำดีๆ ของคุณ เช่นเดียวกับถ่ายรูปหรือวิดีโอโดยใช้โดรน
- The Den (สวนน้ำขนาดเล็กสำหรับเด็ก) + Soneva Academy (คอร์สเรียนที่ให้ความรู้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ขวบ)
- Cinema Paradiso สำหรับฉายภาพยนตร์กลางแจ้ง
- เรียนรู้ดาราศาสตร์ และชีววิทยาทางทะเลกับผู้เชี่ยวชาญ
- สวนขนาดใหญ่ของโรงแรม (ทางโรงแรมจัดทัวร์พาไปชมจุดที่น่าสนใจให้ได้)
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
สำหรับแพคเกจมาตรฐานของ Soneva Fushi นั้นจะเป็น Bed & Breakfast ที่รวมอาหารเช้าให้ 1 มื้ออยู่แล้ว พร้อมกับสิทธิ์ในการเข้าห้องช็อคโกแลต ไอศกรีม ชีส และของว่างของโรงแรมครับ
อย่างไรก็ดีคุณสามารถเลือกอัพเกรดแพลนของคุณได้เช่นกัน โดยมีให้เลือกดังต่อไปนี้
Half-board ($210 ต่อวันต่อคน) – ได้อาหารมื้อเย็นเพิ่ม โดยเลือกได้จาก 5 ร้านอาหาร แต่ถ้าคุณเลือกทานในร้านที่ไม่เข้าร่วม คุณจะได้ส่วนลดค่าอาหาร $210 ครับ
Full Board ($350 ต่อวันต่อคน) – เงื่อนไขเหมือนกับ Half-board ทุกประการแต่เพิ่มมื้อเที่ยงเข้าไปด้วย ทั้งนี้ถ้าคุณไม่ได้ทานใน 5 ร้านที่กำหนดให้ คุณจะได้รับเครดิต $110 เป็นส่วนลดสำหรับมื้อเที่ยงในร้านอื่นๆครับ
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทราบสำหรับ Half-board และ Full-board ของที่นี่ก็คือ คุณจะต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเพิ่มครับ
Soneva Unlimited ($1,220 ต่อวันต่อคน) – สำหรับแพคเกจนี้คือตามชื่อเลย นั่นคือไม่มีลิมิตใดๆ ทั้งสิ้นในรีสอร์ท คุณจะทานที่ร้านไหนก็ได้ในสามมื้อ แถมด้วยเครื่องดื่มแอลกฮออล์ นอกจากนี้กิจกรรมต่างๆ ที่ทางรีสอร์ทมีให้ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม (รวมไปถึงดำน้ำด้วย) นอกจากนี้ยังรวมสปาและทรีตเมนต์แบบไม่จำกัดด้วยครับ
จากที่ผมได้ตรวจสอบเมนูของร้านอาหาร 5 แห่งที่อยู่ใน Half-board และ Full-board แล้ว ราคาจะอยู่ใกล้เคียงกับร้านอาหารชั้นนำที่อยู่ในเมืองเอกของโลก อย่างเช่นปารีสหรือนิวยอร์ก แต่ไม่ได้สูงระดับที่ทาน 1-2 จานแล้วจะเกิน $210 อันเป็นราคาของ Half-board ผมจึงมองว่าถ้าคุณทานไม่มากอยู่แล้ว คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องอัพเกรดเลยครับ
แต่ถ้าคุณอยากสัมผัสกับสุดยอดประสบการณ์ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ โดยทานอาหารจากเชฟมิชลินสตาร์ และปรารถนาจะทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ผมแนะนำให้อัพเกรดเป็น Soneva Unlimited ครับ
สรุป
จุดเด่น
Soneva Fushi
หนึ่งในสุดยอดโรงแรมของโลกที่ปรนเปรอคุณด้วยวิลล่าขนาดยักษ์ที่มีทุกสิ่งครบเครื่อง พร้อมด้วยบรรยากาศชายทะเล หรือกลางมหาสมุทรที่คุณใฝ่ฝัน วิวจากทุกส่วนของโรงแรมสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกก็ตามครับ
ส่วนร้านอาหารก็มีให้เลือกสรรกว่ารีสอร์ทชั้นนำอื่นๆ พร้อมด้วยห้องของทานเล่นและของหวานที่ให้คุณใช้บริการได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ส่วนกิจกรรมก็มีหลากหลายจนเรียกได้ว่ามีอะไรให้ทำทั้งวัน โดยเฉพาะกิจกรรมเทพๆ อย่างดำน้ำตื้นกับแมนต้าเรย์ หรือว่าล่องเรือชมดาวพร้อมทานอาหารค่ำครับ ส่วนการบริการนั้นถือว่ายอดเยี่ยม เพราะคุณจะมี butler ที่ดูแลคุณทุกวินาทีที่อยู่ในรีสอร์ทครับ
2. Amilla Maldives
Amilla Maldives เป็นอีกหนึ่งสุดยอดรีสอร์ทที่อยู่ใกล้กับ Hanifaru Bay เพราะฉะนั้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของใต้ทะเลรอบรีสอร์ทจึงไม่ต้องพูดถึง ตัวเกาะส่วนตัวนั้นจะเป็นทรงวงรีที่สวยงาม และมีต้นมะพร้าวปกคลุมตลอดทุกส่วนของเกาะอย่างสวยงามยิ่ง ซึ่งมอบทั้งความร่มรื่นและสงบร่มเย็นให้กับผู้เข้าพักครับ
- ที่ตั้ง: Finolhas, 20275, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 800++ USD สำหรับ Seaplane ที่ไปจอดที่รีสอร์ทโดยตรง หรือบินในประเทศแล้วต่อเรือ (วิธีหลังนี้จะถูกกว่าพอสมควร)
ห้องพัก
วิลล่าของที่นี่เป็นแบบร่วมสมัย โดยจะผสมผสานด้วยการออกแบบแนว island style เข้ามาพอสมควร แต่ละห้องจะใช้สีขาวสะอาดเป็นองค์ประกอบหลัก ช่วยให้ตัววิลล่าดูสว่างและปลอดโปร่งครับ ทั้งนี้รูปแบบที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Lagoon/Reef/Sunset Water Pool Villas – 220/350 ตร.ม. วิลล่ากลางน้ำสามแบบที่แตกต่างกัน โดยแบบ Reef นั้นจะอยู่ติดกับแนวปะการัง เพราะฉะนั้นคุณสามารถสวมใส่อุปกรณ์ดำน้ำตื้น และลงไปดำได้ทันที ส่วนฝั่ง Sunset นั้นจะเป็นทะเลเปิดที่เห็นตะวันตกดินเหนือน้ำได้อย่างงามงดครับ อย่างไรก็ดีทั้งแบบ Reef และ Sunset จะมีเฉพาะแบบห้องนอนเดียว มีแค่แบบ Lagoon เท่านั้นที่มีสองห้องนอน (350 ตร.ม.) ให้เลือกด้วยครับ
- Treetop Pool Villa – 250 ตร.ม. วิลล่าแบบพิเศษที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงระดับเดียวกับยอดของต้นมะพร้าว เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นท้องทะเลสี turquoise ได้จากมุมสูง ซึ่งจะงดงามไปอีกแบบถ้าเทียบกับด้านล่าง
- Beach Pool Villa – 470/530 ตร.ม. วิลล่าชายหาดที่มีให้เลือกทั้งแบบ 1 หรือ 2 ห้องนอน จุดเด่นของบีชวิลล่าที่นี่คือพื้นที่บริเวณชายหาดจะเปิดโล่ง ช่วยให้คุณเห็นวิวสวยๆ ของท้องทะเลได้โดยไม่มีอะไรกั้นครับ
- 4 Bedroom Beach Residence – 920 ตร.ม. วิลล่าขนาดใหญ่ระดับ 4 ห้องนอน โดยมีสระว่ายน้ำส่วนตัวยาว 11 เมตรให้ว่ายสบายๆ เช่นเดียวกับพื้นที่สำหรับย่าง BBQ ทานในครอบครัว และ Game Terrace สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ครับ
- The Great Beach Residence – 2,400 ตร.ม. หนึ่งในวิลล่าชายหาดที่ใหญ่ที่สุดของบา อะทอลล์อย่างปราศจากข้อสงสัย เพราะมีห้องนอนถึง 8 ห้อง และสระว่ายน้ำอีกสองสระ เหมาะกับคณะขนาดใหญ่ที่ต้องการพักร่วมกันครับ
- The Amilia Estate – 2,550 เมตร อีกหนึ่งบีชวิลล่าขนาดยักษ์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของหมู่เกาะ ห้องพักของวิลล่ามีทั้งหมด 6 ห้อง แต่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ยาวถึง 20 เมตร พร้อมด้วยห้องฟิตเนสและสปาส่วนตัว
ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ทางรีสอร์ทได้จัดให้อย่างครบถ้วน ทุกห้องจะมีทีวีพร้อมระบบดาวเทียม (และระบบเสียงคุณภาพเยี่ยมจาก Bose) เครื่องทำกาแฟและชุดชา สระว่ายน้ำส่วนตัว จักรยานส่วนตัวสำหรับเดินทางไปจุดต่างๆ อุปกรณ์อาบน้ำอย่างครบครัน ไปจนถึงมินิบาร์ และ wine cellar ครับ นอกจากนี้ทุกห้องจะมีหน้าต่างแบบ floor-to-ceiling เพื่อการชมวิวแบบจุใจอีกด้วย
แต่ถ้าเป็นห้องระดับ Residence นั้น facilities ต่างๆ จะได้รับการยกระดับอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรถบั๊กกี้ที่คุณสามารถขับได้อย่างอิสระ อุปกรณ์อาบน้ำจากแบรนด์ Marie-Stella-Maris เครื่อง PlayStation 5 ไปจนถึงโต๊ะปิงปองและบอร์ดเกมต่างๆ ครับ และแน่นอนว่ามีห้องครัว ซึ่งคุณสามารถขอให้เชฟมาปรุงอาหารให้แบบส่วนตัวในวิลล่าได้ด้วยครับ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)
ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยนั้น วิลล่าทุกหลังกว้างขวางสะดวกสบาย เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคณะที่เดินทางไปเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญครับ นอกจากนี้คุณจะได้รับการดูแลโดย butler (ทางโรงแรมเรียกว่า Katheeb) ตลอด 24 ชั่วโมงครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหารและบาร์รวม 10 แห่ง พร้อมด้วยบริการอาหารพิเศษอื่นๆ เช่น Floating Breakfast, Sandbank Picnic (ปิกนิกบนลานทรายเหนือลากูนที่วิวสวยมาก รับรองได้ว่าไม่มีที่อื่นครับ) ฯลฯ
- Mystique Garden – สวนแบบ organic ของโรงแรมที่ปลูกผักและผลไม้
- ห้องฟิตเนสกลางผืนป่า และสระว่ายน้ำกลางแจ้งริมทะเล
- คอร์ดเทนนิส สนามฟุตบอล สนาม pickleball
- บริการสปาอย่างครบวงจร โยคะ
- กิจกรรมทางน้ำทุกรูปแบบ รวมไปถึงไปดำน้ำตื้นที่ Hanifaru Bay, ช่วยนักชีววิทยา “ปลูก” ปะการัง, นั่งเรือกึ่งดำน้ำ, ล่องเรือชมโลมา (กีฬาทางน้ำที่ไม่ต้องใช้มอเตอร์จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)
- Kids’ Club, Art Studio, และ Private Cinema (แบบกลางแจ้ง)
- ร้านค้าแบบ boutique
- บริการจัดอีเวนต์ในโอกาสสำคัญต่างๆ
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจอาหารของรีสอร์ทในปัจจุบันจะเป็นแบบ Bed & Breakfast เท่านั้น ซึ่งจะรวมอยู่แล้วในทุกการจอง อย่างไรก็ดีเท่าที่ผมตรวจสอบ ทางรีสอร์ทอาจจะมีแพคเกจแบบ Half-board และ All-Inclusive ด้วย ถ้าคุณไปถึงรีสอร์ทแล้ว อาจจะสอบถามตรงนี้เพิ่มเติมก็ได้ครับ
สรุป
จุดเด่น
Amilla Maldives
รีสอร์ทระดับ 6 ดาวที่ผู้เข้าพักหลายคนขนานนามว่าเป็น paradise ของประเทศมัลดีฟส์ เพราะว่าทุกสิ่งที่ทางรีสอร์ทแห่งนี้มอบให้กับนักท่องเที่ยวนั้นแทบไม่มีอะไรด้อยกว่าคำว่าดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นห้องพักอันโอ่โถง สิ่งอำนวยความสะดวกระดับ luxury ไปจนถึงกิจกรรมที่มีให้ทำอย่างล้นเหลือตั้งแต่กีฬาไปจนถึง wellness
ด้านร้านอาหารและบาร์นั้นมีให้เลือกถึง 10 แห่ง ทำให้เรื่องเบื่อหน่ายเมนูแทบจะไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นเลย ส่วนการบริการนั้น แทบทุกคนชื่นชมว่าไร้ที่ติ มีคนหนึ่งบรรยายไว้อย่างน่าสนใจว่าดุจดั่งคุณเป็นราชาครับ
3. Finolhu Baa Atoll Maldives
Finolhu Baa Atoll Maldives เป็นรีสอร์ทระดับ 5 ดาวที่มีเกาะส่วนตัวถึง 4 เกาะที่เชื่อมกันทางตอนใต้ของบา อะทอลล์ คุณจะได้สัมผัสกับหาดทรายสีขาวอันสวยงามที่ยาวกว่าสองกิโลเมตรและโอบล้อมไปด้วยทะเลที่เต็มไปด้วยชีวิตใต้ทะเลของบา อะทอลล์อย่างเต็มอิ่มครับ ตัวรีสอร์ทนั้นเปิดให้บริการในปี 2016 ซึ่งถือว่ายังค่อนข้างใหม่ทีเดียวสำหรับมัลดีฟส์ครับ
- ที่ตั้ง: Kanufushi Island, Hithaadhoo, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane ไปกลับ: 590++ USD
ห้องพัก
ห้องพักของรีสอร์ทแห่งนี้มีทั้งหมด 125 ห้อง โดยจะเป็นแบบวิลล่าทั้งหมด 100% โดยจะแบ่งได้สามแบบใหญ่ๆ ได้แก่ วิลล่าริมหาด ริมลากูน หรือว่าวิลล่าลอยน้ำ ซึ่งคุณสามารถเลือกได้อย่างอิสระครับ
ในส่วนของดีไซน์นั้น ห้องพักจะเป็นแบบร่วมสมัยอันเป็นผลงานของ Muza Lab จากลอนดอน ซึ่งทางดีไซเนอร์ได้สอดแทรกที่ใส่ theme เกี่ยวกับทะเลและธรรมชาติลงไปอย่างลงตัว ผลที่ได้คือวิลล่าทุกห้องดูสวยงาม และเข้ากับมหาสมุทรสีครามอย่างดียิ่ง
รูปแบบห้องพักที่มีให้จองประกอบด้วย
- Lagoon Villa – 145 ตร.ม. ตัวห้องหันหน้าไปยังทะเลส่วนที่เป็นฝั่ง lagoon (ทะเลที่อยู่ด้านในของตัวหมู่เกาะ)
- Ocean Pool Villa – 180 ตร.ม. ตัวห้องจะหันหน้าออกไปมหาสมุทรแบบเปิดโล่ง
- Beach Villa/Beach Pool Villa/Private Pool Villa – 205 ตร.ม. ทุกห้องจะมีสวนส่วนตัว เพราะฉะนั้นจะไม่ได้เห็นวิวทะเลแบบชัดๆ จากตัวห้องพัก แต่แค่เดินผ่านสวนส่วนตัวออกไปก็จะถึงชายหาดหรือ lagoon ทันที เหมาะกับใครที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่งครับ
- Two Bedroom Water Villa with Pool – 460 ตร.ม. วิลล่าขนาดสองห้องนอนที่มีสวนส่วนตัว เช่นเดียวกับวิวมหาสมุทรอันสวยงาม ห้องรูปแบบนี้จะมีห้องพิเศษชื่อ Rock Star ที่จะมี Rock Star Buggy ให้คุณนั่งและขับได้แบบส่วนตัว เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอพาหนะของโรงแรมครับ
- Two Bedroom Beach Villa – 530 ตร.ม. เหมือนกับห้อง Beach Villa ด้านบนแต่เพิ่มพื้นที่ใช้สอยและห้องนอน แน่นอนว่ายังคงมีสวนส่วนตัว และเข้าถึงชายหาดได้อย่างสบายๆ
- Beach Bubble Tent – ขนาดไม่ระบุ ตัวห้องจะเป็นทรงกลมกระจกใสที่ตั้งอยู่หน้าชายหาด เพราะฉะนั้นคุณสามารถมองเห็นนอนดูดาวยามค่ำคืนได้อย่างสุดโรแมนติก
วิลล่าแต่ละห้องนั้นมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ใช้สอยของแต่ละห้องนั้นเกินพอสำหรับคู่รักที่ไปฮันนีมูน หรือว่าครอบครัวที่เดินทางไปพักร้อน ดังนั้นคุณไม่มีทางรู้สึกอึดอัดเลยตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่ครับ
ส่วนเรื่อง facilities นั้นครบเครื่องมาก ชนิดที่ว่าอยู่เป็นสัปดาห์ก็ได้อย่างไม่เบื่อ โดยห้องเกินครึ่งหนึ่งจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัว ขณะที่ทุกห้องจะมีห้องน้ำแบบ indoor และ outdoor ระบบ Entertainment อย่างดีพร้อมด้วยระบบเสียงของแบรนด์ Marshall ระเบียงส่วนตัวพร้อมเตียงอาบแดด โซฟาและเก้าอี้สำหรับนั่งชมทะเล ฯลฯ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหาร + บาร์รวม 5 แห่งพ่วงด้วย Milk Lab + บริการ Floating Breakfast (อาหารเช้าใส่ถาดลอยน้ำสำหรับทานในสระว่ายน้ำ)
- ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องโยคะ คอร์สเทนนิส และ Golf Studio
- Art Studio ให้คุณเพ้นท์ลายเสื้อ หรือปั้นเครื่องปั้นดินเผา)
- ซาวน่าและ Hydrotherapy
- บริการนวดและทรีตเมนต์
- กิจกรรมทางน้ำ (ดำน้ำลึก พายเรือคายัค ขับเจ็ตสกี ล่องเรือชมโลมา ฯลฯ) ทั้งนี้กิจกรรมส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ยกเว้นพายเรือคายัค Windsurf และเล่นเรือใบที่ฟรีครับ)
- Water Club สำหรับเด็ก
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
ทางรีสอร์ทมีให้แพคเกจอาหารให้เลือกถึง 4 แบบด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
แบบแรกคือ Bed & Breakfast แพคเกจมาตรฐานซึ่งจะรวมอาหารเช้าอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนบริการอาหารอื่นๆจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มทั้งหมด และไม่ได้ส่วนลดใดๆ
แบบที่สองคือ Half-board ($120 ต่อคนต่อวัน) แต่จะได้อาหารเย็นเพิ่มเข้ามา ซึ่งมื้อเย็นจะเลือกได้ระหว่างทานที่ห้องอาหารหลัก (Beach Kitchen) หรือว่า Pizza Counter นอกจากนี้ถ้าพักเกิน 5 คืนจะได้รับส่วนลดร้านอาหารอื่นๆ คนละ 50 USD ต่อวันต่อคนครับ
แบบที่สามคือ All-Inclusive ($240 ต่อคนต่อวัน) แพคเกจนี้จะรวมอาหารสามมื้อที่ห้องอาหารหลัก ถ้าพักเกิน 5 คืนจะเลือกทานที่ร้านอื่นได้อีก 3 ร้าน (มื้อละร้าน) เช่นเดียวกับส่วนลดร้านอาหารอื่นๆ คนละ 50 USD ต่อวันต่อคน
นอกจากนี้ยังไปรับพิซซ่าฟรีได้คนละชิ้นที่ Pizza Counter ในช่วงบ่าย/เย็น เช่นเดียวกับได้ Standard Beverage Package (ได้เครื่องดื่มแบบไร้แอลกอฮอล์ในห้องฟรี เช่นเดียวกับเครื่องดื่มทุกประเภทใน List ซึ่งรวมถึงน้ำผลไม้และเครื่องดื่มแอลกฮออล์บางส่วนจากบาร์และร้านอาหาร
แบบสุดท้ายคือ All-Inclusive Premium ($315 ต่อคนต่อวัน) แพคเกจนี้จะเหมือนกับ All-Inclusive แต่ให้สิทธิ์คุณเลือกทานอาหารกลางวันและเย็นที่ร้านไหนก็ได้ ได้เครื่องดื่มทุกประเภทใน Premium Beverage List เช่นเดียวกับส่วนลด $50 กับเครื่องดื่มแอลกฮออล์ มินิบาร์ในห้องนั้นทานได้ฟรีทุกประเภท เช่นเดียวกับของว่างใน Milk Lab
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าแพคเกจอาหารของที่นี่จัดว่าค่อนข้างคุ้มค่า เพราะมีตัวเลือกที่หลากหลายในเรื่องอาหารตลอดทั้งวัน และยังมีส่วนลดที่ช่วยประหยัดไปได้อีกหลายมื้อครับ สำหรับนักเดินทางทั่วไป แพคเกจระดับ Half-board ขึ้นไปถือว่าน่าสนใจไม่น้อยครับ
สรุป
จุดเด่น
Finolhu Baa Atoll Maldives
โรงแรมที่น่าจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของ Baa Atoll และมัลดีฟส์ ตั้งแต่ห้องพักแบบวิลล่าอันใหญ่โตที่กว่าครึ่งมีสระว่ายน้ำส่วนตัว และเข้าถึงทะเลได้ทุกห้อง ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบเครื่อง ร้านอาหารที่มีหลากหลายสัญชาติ และการบริการที่ดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุดครับ
สิ่งที่อาจจะเป็นจุดด้อยของที่นี่คือ ตัวรีสอร์ทมีขนาดใหญ่มากถึงขนาดที่เดินไปร้านอาหารหรือบาร์ต้องใช้เวลาถึง 15-20 นาทีเลยทีเดียว แม้โรงแรมจะมีบริการรถรับส่ง แต่ก็อาจจะไม่พอกับความต้องการของผู้เข้าพักในเวลานั้นครับ
4. The Nautilus Maldives
The Nautilus Maldives เป็นรีสอร์ทสุดหรูที่ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวบริเวณด้านนอกของหมู่เกาะบา อะทอลล์ และน่าจะเป็น Top 3 ของรีสอร์ทที่ luxury ที่สุดและให้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุด และแน่นอนว่าราคาแรงที่สุดในหมู่เกาะแห่งนี้ด้วยครับ
ทั้งนี้ห้องพักที่นี่จะมีแค่ 26 ห้องเท่านั้น ทำให้พนักงานสามารถให้บริการแบบ personalized service เพื่อให้ตอบโจทย์คุณอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ
- ที่ตั้ง: Thiladhoo, Baa atoll 20066, Maldives
- Check-in/out: 14.00/11.00
- ค่า Seaplane ไปกลับ: 1750 USD
ห้องพัก
ห้องพักของที่นี่มีหลากหลายแบบให้เลือกสรร แต่ทุกห้องจะใช้การออกแบบแนว Bohemian design ที่มีการใช้ลวดลายและสีสันที่สะดุดตาผสมผสานกับสไตล์ร่วมสมัยและองค์ประกอบของทะเล ทำให้วิลล่าของคุณทั้งสวยงาม ผ่อนคลาย หรูหรา และให้ความรู้สึก chic ไปในเวลาเดียวกันครับ
ทั้งนี้ห้องที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Beach/Ocean House – 282-309 ตร.ม. บ้านพักแบบวิลล่าที่ตั้งอยู่บนชายหาด หรือเหนือลากูน ด้านในมีห้องนอน 1 ห้อง ซึ่งจะเหมาะกับผู้เข้าพัก 2 ท่านครับ
- Beach/Ocean Residence – 415-453 ตร.ม. บ้านพักแบบสองชั้นซึ่งคุณเลือกได้เช่นกันว่าต้องการอยู่บนหาดหรือเหนือผืนน้ำทะเลของลากูน แต่ว่าจะมีห้องนอนห้องเดียวเท่ากับแบบ House ครับ
- The Nautilus Retreat – 542 ตร.ม. วิลล่าแบบสองห้องนอนที่ตั้งอยู่บน Lagoon สุดสวยของบา อะทอลล์
- Two Bedroom Beach Residence – 610 ตร.ม. เหมือนกับ Residence ธรรมดา แต่เพิ่มห้องนอนเข้าไปอีกห้อง และจะมีเฉพาะที่ตั้งอยู่บนหาดเท่านั้นครับ
- The Nautilus Mansion – 922 ตร.ม. วิลล่าระดับสุดยอดของรีสอร์ท โดยทางโรงแรมเปรียบว่าเป็นปราสาทสไตล์ Bohemian ที่ตั้งอยู่บนชายหาดสีขาวสะอาดอันงดงามของบา อะทอลล์ ทั้งนี้ตัววิลล่าเป็นแบบ 2 ชั้นและ 3 ห้องนอน พร้อมพื้นที่ใช้สอยอีกมากมายสำหรับครอบครัวใหญ่ครับ
วิลล่าทุกหลังจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัวแบบ infinity pool ที่หันหน้าออกไปยังมหาสมุทร เช่นเดียวกับลานใหญ่สำหรับนั่งเล่นและอาบแดด นอกจากนี้การจัดเรียงส่วนต่างๆ ของวิลล่าจะหันหน้าออกไปทางทะเลหรือชายหาดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงในห้องนอน หรือโซฟาในห้องนั่งเล่น และโต๊ะอาหารในห้องอาหาร เพราะฉะนั้นคุณจะได้ใช้เวลาชมวิว และเสพความโรแมนติกได้อย่างอิ่มเอมครับ
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ นั้นน่าจะเรียกได้ว่าครบทุกสิ่งที่คุณจะนึกออก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำกาแฟ ทีวีแบบ flat-screen พร้อมระบบดาวเทียม อ่างอาบน้ำแบบ free-standing สุดหรู อุปกรณ์อาบน้ำระดับ luxury เครื่องดื่มฟรี ผลไม้ฟรี แชมเปญฟรี 1 ขวด ฯลฯ
พื้นที่ใช้สอยของวิลล่าแต่ละห้องถือว่าอยู่ในระดับ ultimate luxury อย่างแท้จริง นั่นคือทุกห้องใหญ่ระดับโรงแรม 5 ดาวแก่ๆ หรือแม้กระทั่ง 6 ดาว เพราะฉะนั้นเรื่องพื้นที่ไม่พอนั้นตัดไปได้เลยครับ
นอกจากนี้ทุกห้องจะมาพร้อมกับบริการดีๆ อย่าง butler service ซึ่งคุณสามารถแจ้งพนักงานได้ทุกเมื่อว่าขาดตกบกพร่องอะไร หรือบริการซักผ้าฟรี 4 ชิ้นต่อวันต่อวิลล่าครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหาร 4 แห่ง (โดยมีไฮไลท์อยู่ที่อาหารแบบ Ayurveda หรืออาหารที่ปรุงตามคอนเซปต์อายุรเวทย์ 6 ประการของอินเดียที่ช่วยสร้างความสมดุลของร่างกายและบำรุงสุขภาพ)
- บริการของว่างฟรีที่ pool bar (ยกเว้นช่วงเย็น) + มีบรรเลงดนตรีสดให้ฟัง
- ห้องฟิตเนสและ The Arena – คอร์ดสำหรับเล่นกีฬาหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นแบดมินตัน เทนนิส ฟุตซอลหรือวอลเลย์บอล
- กีฬาทางน้ำ (ยกเว้นที่ใช้เครื่องยนต์) และอุปกรณ์ดำน้ำตื้นฟรี
- ทัวร์และกิจกรรมทางน้ำต่างๆ เช่นดำน้ำกับ Manta Ray
- บริการสปาและทรีตเมนต์แบบครบวงจร
- VIP Arrival Service – จัดการทุกสิ่งที่สนามบินมาเล่ให้กับคุณ โดยพนักงานจะจัดการขั้นตอนทุกสิ่งให้ตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงศุลกากร โดยคุณจะนั่งสบายๆ ที่ Executive Lounge ที่สนามบินครับ
- แพทย์ประจำโรงแรมที่ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจอาหารของที่นี่เรียบง่าย เพราะมีอยู่แค่แพลนเดียวเท่านั้น นั่นคือแบบ Half-board ซึ่งจะรวมอาหารเช้าที่ห้องอาหารหลัก และอาหารเย็นที่ร้านอาหารใดก็ได้ (1 ใน 4 แห่ง) ครับ โดยแพลนนี้จะรวมอยู่ในทุกการจองอยู่แล้ว ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องอัพเกรดใดๆ เพิ่มครับ
จุดแข็งสำคัญของเรื่องอาหารที่นี่คือ โรงแรมจะให้ความยืดหยุ่นระดับสูงสุดตามคอนเซปต์ Anytime, Anywhere, Anything กล่าวคือคุณอยากเลือกทานอาหารตอนไหน หรือสถานที่ไหนก็ได้ตามต้องการ ส่วนเมนูก็เป็นแค่ guideline เท่านั้นครับ
สรุป
จุดเด่น
The Nautilus Maldives
รีสอร์ทระดับ ultimate luxury ของหมู่เกาะมัลดีฟส์ที่ยากจะหาที่พักใดมาต่อกร ตั้งแต่วิลล่าสุดหรูที่ทั้งใหญ่ และมีสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมด้วยวิวมหาสมุทรระดับสุดยอด ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบเครื่องทั้งในและนอกห้องพัก อาหารรสชาติเยี่ยมที่ให้คุณเลือกทุกสิ่งได้ตามใจปอง และปิดท้ายด้วยการบริการอย่างมืออาชีพตั้งแต่คุณก้าวเท้าลงจากเครื่องบินจนกระทั่งคุณอำลาประเทศนี้ไปครับ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่แลกกับประสบการณ์เช่นนี้คือค่าห้องต่อคืนที่สูงมาก เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้เข้าพักหลายคนมองว่าราคาสูงเกินไปครับ
5. Four Seasons Resort Maldives at Landaa Giraavaru
Four Seasons Resort Maldives at Landaa Giraavaru เป็นรีสอร์ทระดับเรือธงของเครือ Four Seasons ในหมู่เกาะมัลดีฟส์ เรื่องความหรูหราจึงไม่มีคำถามสำหรับเครือโรงแรมระดับโลกเช่นนี้ครับ
ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ในเกาะส่วนตัวที่มีชายหาดขาวสะอาดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอันงดงาม วิวทะเลจากที่นี่จึงน่าจะเรียกว่าวิวมูลค่าล้านเหรียญเลยก็ว่าได้ครับ
- ที่ตั้ง: 20097, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane ไปกลับ: 840-1960++ USD ราคาที่แตกต่างกันมากมาจากเครื่องบินที่ต่างกัน โดยทางโรงแรมมีเครื่องบินทะเลส่วนตัวแบบพรีเมียมให้บริการ แต่คุณสามารถใช้บริการของ Trans Maldivian Airways ที่ราคาถูกกว่าได้ด้วยครับ
ห้องพัก
สำหรับห้องพักของที่นี่จะเป็นแบบวิลล่าทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็นวิลล่ากลางน้ำ (Water Villa) หรือวิลล่าริมหาด (Oceanfront Villa) ทั้งสองแบบจะให้บรรยากาศที่ต่างกัน อย่าง Water Villa นั้นคุณสามารถลงไปดำน้ำตื้นและชมสัตว์น้ำได้ทันที ขณะที่ถ้าคุณพักที่ Oceanfront Villa นั้น คุณจะเหยียบย่างลงบนผืนทรายขาวสุดนุ่ม ทันทีที่เดินออกมาจากห้องพักครับ
ในส่วนของห้องพักจะเป็นสไตล์โมเดิร์นที่ใช้สีขาวอมเทา ตัวห้องจะมีเพดานสูงที่ช่วยให้คุณรู้สึกปลอดโปร่ง และให้สายลมทะเลอันสดชื่นผ่านเข้าไปได้ในทุกส่วนของห้องครับ
ทั้งนี้รูปแบบห้องที่มีให้จองประกอบด้วย
ห้องพักระดับมาตรฐาน
- Premier/Family Oceanfront Bungalow with Pool – 77-99 ตร.ม. ที่พักแบบบังกาโลที่ให้คุณชมวิวสุดสวย ด้านนอกจะมีพื้นที่ระเบียงอีก 91 ตร.ม. ทำให้พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดอยู่ที่ 168-190 ตร.ม.
- Sunrise/Sunset Water Villa with Pool – 90 ตร.ม. สองห้องนี้ต่างกันที่ตำแหน่งของห้องพัก ซึ่งจะช่วยให้ชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินได้ครับ ตัววิลล่ามีพื้นที่ระเบียงด้านนอกอาคารอีก 183 ตร.ม. (รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 273 ตร.ม.)
- Sunrise/Sunset Family Water Villa with Pool – 112 ตร.ม. โครงสร้างคล้ายกับห้องด้านบน แต่เพิ่ม Sofa Bed เป็น 2 ตัวและมีพื้นที่ในห้องเพิ่มขึ้น พื้นที่ระเบียงมีเท่ากัน ทำให้พื้นที่ใช้สอยโดยรวม = 295 ตร.ม.
- Beach Villa with Pool – 137-164 ตร.ม. ในวิลล่ายังมีพื้นที่ด้านนอกอีก 260 ตร.ม. พื้นที่โดยรวมจึงอยู่ที่ 397-424 ตร.ม. จุดเด่นของห้องนี้คือตั้งอยู่ที่ชายหาดอันขาวสะอาดของเกาะ เพราะฉะนั้นคุณออกไปเดินเล่นได้อย่างอิสระ
- Two Bedroom Oceanfront Bungalow/Villa – 287/312 ตร.ม. (ยังไม่รวมพื้นที่ของระเบียงอีก 340/312 ตร.ม.) ห้องนี้มีลักษณะคล้ายกันนั่นคือเป็นสองห้องนอน แต่แบบบังกาโลจะได้แค่ partial sea view เพราะมีการปลูกต้นไม้ที่ริมหาด ทำให้บังวิวไปบางส่วนครับ
ห้องสวีท
- Sunset/Sunrise Two-Bedroom Water Suite – 182 ตร.ม.+ พื้นที่ระเบียง 200 ตร.ม. ห้องสวีทกลางน้ำแบบสองห้องนอนที่เป็นเวอร์ชันอัพเกรดของ Water Pool พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดอยู่ที่ 382 ตร.ม.
- Sunset/Sunrise Three-Bedroom Water Suite – 294 ตร.ม. + พื้นที่ระเบียง 397 ตร.ม. อีกหนึ่งอัพเกรดของ Family Villa แต่เพิ่มห้องนอนเป็นสามห้อง โดยพักได้สูงสุดถึง 6 คนทีเดียว พื้นที่ใช้สอยโดยรวมอยู่ที่ 691 ตร.ม.
- Two-Bedroom Royal Beach Villa – 310 ตร.ม. + พื้นที่ด้านนอกอีก 890 ตร.ม. วิลล่าริมหาดแบบสองห้องนอนที่เป็นตัวเลือกชั้นยอดสำหรับใครที่ชอบพื้นที่ outdoor ใหญ่ๆ ในการทำกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดใหญ่ถึง 1,200 ตร.ม.
- Three Bedroom Land and Ocean Suite – 680 ตร.ม. ทางโรงแรมไม่ได้ระบุพื้นที่ด้านนอก แต่ให้ข้อมูลว่าครอบคลุมพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะทั้งหมด ห้องนอนในห้องพักจะมีให้เลือกทั้งที่ตั้งอยู่บนบกและเหนือน้ำ
- Four-Bedroom Landaa Estate – 800 ตร.ม. + พื้นที่ด้านนอกอีก 2,000 ตร.ม. วิลล่าขนาดยักษ์แบบ 4 ห้องนอนที่พักได้ทั้งหมด 12 คน ชนิดที่คู่ควรกับคณะของมหาเศรษฐีระดับโลก ด้านในมีสระว่ายน้ำส่วนตัวยาว 20 เมตร หาดส่วนตัวยาว 80 เมตร น้ำตก ระเบียงแบบ rooftop ไปจนถึงห้องสมุดและห้องครัวครับ พื้นที่ใช้สอยรวมทั้งหมด 2,800 เมตร
แม้ว่าขนาดของตัววิลล่าแต่ละหลังจะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ทดแทนด้วยพื้นที่ใช้สอยแบบ outdoor ที่ใหญ่มากกว่าที่อื่นอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นคุณแทบจะมั่นใจได้เลยว่าคุณจะมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ และได้ความเป็นส่วนตัวอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ
ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ทุกห้องพักจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัวให้คุณคลายร้อน ออกกำลังกาย และแช่น้ำบรรเทาความเครียด ไปจนถึง Smart TV ขนาด 55 นิ้วพร้อมช่องดาวเทียม อุปกรณ์อาบน้ำของแบรนด์ ila หมอนหลากหลายแบบให้เลือก ผลไม้ฟรี ชาและกาแฟฟรี น้ำแร่อย่างดี ฯลฯ
ในส่วนของการบริการนั้น ทางโรงแรมจะทำความสะอาดห้องพักให้วันละ 2 ครั้ง ดังนั้นวางใจได้เลยเรื่องความสามารถและความเป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังมี turndown service ที่ช่วยปรับบรรยากาศในห้องพักให้เอื้อต่อการนอนของคุณได้อีกด้วย
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหาร 4 แห่งพร้อมด้วยบริการพิเศษ (เสิร์ฟที่ชายหาดหรือแท่นกลางทะเล) + เลาจน์อีก 4 แห่ง
- สระว่ายน้ำ 4 แห่ง (รวมสระเด็กแล้ว) และฟิตเนสเซนเตอร์
- Marine Discovery Centre และจุดอนุบาลเต่าทะเล สำหรับใครที่อยากศึกษาชีวิตสัตว์น้ำเพิ่มเติม (เข้าชมฟรี)
- ทดลองดำน้ำ (Orientation Dive) เป็นเวลา 45 นาที
- กิจกรรมทางน้ำอย่างเช่นดำน้ำตื้น พายเรือคายัค, Windsurf โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ถ้าเป็นดำน้ำลึกหรือกิจกรรมที่ใช้เครื่องยนต์ เช่นเดียวกับให้อาหารปลาฉลามจะต้องจ่ายเพิ่มครับ
- บริการสปาอย่างครบวงจร + ปรึกษาแพทย์ทางอายุเวทย์ของอินเดียได้ฟรี เพื่อปรับไลฟ์สไตล์ของคุณ + Hair Salon
- บริการประชุม สัมมนา และอีเวนต์
- ร้านค้าแบบ boutique 3 แห่ง
- Kids’ Club
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจอาหารของโรงแรมจะมีแค่ Bed & Breakfast เท่านั้น นั่นคือจะมีเฉพาะอาหารเช้า ส่วนมื้ออื่นคุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งในเรทต่อคืนของที่นี่ถือว่าสูงมากอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเปรียบกันแล้ว แพคเกจของที่อื่นจะเป็นมิตรกับผู้เข้าพักมากกว่าครับ
สรุป
จุดเด่น
Four Seasons Resort Maldives at Landaa Giraavaru
อีกหนึ่งสุดยอดโรงแรมของบา อะทอลล์ และมัลดีฟส์อย่างปราศจากข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นห้องพักกว้างๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดสบาย บรรยากาศอันสุดโรแมนติก เช่นเดียวกับวิวทะเลที่ไม่เป็นสองรองใคร ส่วนกิจกรรมในโรงแรมนั้นก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกีฬา กิจกรรมทางน้ำ หรือแม้กระทั่งชมสัตว์น้ำให้คุณเลือกสรรอย่างที่ต้องการ ส่วนอาหารการกินและการบริการนั้นอยู่ในระดับดีเยี่ยมครับ
ด้วยราคาต่อคืนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ แต่กลับรวมแค่อาหารเช้านั้นถือว่าด้อยกว่าที่อื่นอยู่บ้างในเรื่องความคุ้มค่าครับ
6. Anantara Kihavah Maldives Villas
Anantara Kihavah Maldives Villas เป็นรีสอร์ทที่บา อะทอลล์ของเครือโรงแรมอนันตราที่มีชื่อเสียงจากประเทศไทยของเรานั่นเอง ตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวขนาดเล็กที่มีต้นไม้ปกคลุมอย่างหนาแน่น และห้อมล้อมไปด้วยหาดทรายสีขาวและท้องทะเลสีฟ้าอ่อน เรียกได้ว่าทัศนียภาพและบรรยากาศอยู่ในระดับท็อปเลยครับ
นอกจากนี้โรงแรมยังอยู่ในเขต Biosphere Reserve ขององค์การยูเนสโกด้วย เพราะฉะนั้นผู้เข้าพักจึงนิยมลงไปดำน้ำตื้น และแหวกว่ายไปกับเหล่าเต่าทะเลและแมนต้าเรย์ที่มาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งครับ
- ที่ตั้ง: Kihavah Huravalhi Island Baa Atoll, 20215, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 750 USD++
ห้องพัก
ห้องพักแต่ละห้องของรีสอร์ทได้รับการดีไซน์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศาลาไทย ผสมผสานกับการออกแบบสไตล์ร่วมสมัย ทำให้มีกลิ่นอายความเป็นไทยแบบอ่อนๆ ช่วยให้คนไทยรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายครับ ส่วนโครงสร้างของห้องนั้นจะเป็นแบบ Pool Villa ทั้งหมด โดยจะแตกต่างที่ตั้งอยู่บนหาดทรายสีขาว หรือว่าลอยอยู่บนน้ำทะเลสี turquoise เท่านั้นเองครับ
ตัวเลือกที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Beach Pool Villa – 258 ตร.ม. เลือกห้องที่เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินสวยเป็นพิเศษได้ เช่นเดียวกับห้องที่มีห้องนอนเด็ก แต่ห้องพิเศษนี้จะแพงกว่าห้องทั่วไปประมาณ 10-20% ครับ
- Overwater Pool Villa – 267 ตร.ม. ตั้งอยู่เหนือน้ำทะเลในบริเวณลากูน โครงสร้างห้องเหมือนกับวิลล่าชายหาด และเลือกห้องฝั่งที่เห็นวิวตะวันตกดินได้สวย หรือห้องที่มีห้องนอนเด็กได้ด้วยได้เช่นกัน
- Two Bedroom Family Beach Pool Villa – 412 ตร.ม. เหมือนกับ Beach Pool Villa แต่เพิ่มห้องนอนและพื้นที่ใช้สอยเข้ามา
- Two Bedroom Beach Pool Residence – 1,300 ตร.ม. มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับห้องฟิตเนส และห้องทำสปาส่วนตัว
- Two Bedroom Sunset Overwater Pool Residence – 1,500 ตร.ม. ห้องนี้มีวิวตะวันตกดินที่สวยงามที่สุดในรีสอร์ท โครงสร้างห้องเหมือนกับห้อง Beach Pool Residence แต่ว่าจะเพิ่มครัวและเครื่องครัวอย่างครบครัน
- Three/Four Bedroom Beach Pool Residence – 1,770/2,000 ตร.ม. เหมือนกับแบบสองห้องนอน แต่เพิ่มพื้นที่สำหรับย่าง BBQ เช่นเดียวกับ Lounge ให้คุณนั่งเล่นครับ
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ทางโรงแรมได้จัดเต็มในทุกบริบท ไม่ว่าจะเป็นศาลาสำหรับรับประทานอาหาร สระว่ายน้ำส่วนตัว จักรยานส่วนตัว เครื่องทำกาแฟ Nespresso ทีวีแบบ flat-screen พร้อมระบบเสียงของ Bose ไปจนถึงอุปกรณ์อาบน้ำ บอร์ดเกม ฯลฯ ช่วยให้การพักผ่อนของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและสบายที่สุดครับ
ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลย ขนาดของวิลล่าระดับเริ่มต้นนั้นใหญ่กว่ารีสอร์ทระดับ 5 ดาวอื่นๆ แทบทั้งหมด ส่วนวิลล่าระดับท็อปก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับที่อื่นครับ ดังนั้นครอบครัวของคุณจะพักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องการบริการนั้น ทางโรงแรมจะจัดสรร butler ให้กับทุกห้องพัก ซึ่งจะช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ห้องพักของคุณจะได้รับการทำความสะอาดวันละสองครั้งด้วยครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหาร 7 แห่ง หนึ่งในนั้นคือร้าน SEA ซึ่งอยู่ใต้ทะเล เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นหมู่ปลาใหญ่เล็กแหวกว่ายในธรรมชาติ ระหว่างที่รับประทานอาหารสไตล์มัลดีฟส์เลิศรสครับ
- สระว่ายน้ำแบบในร่ม คอร์ดแบดมินตัน วอลเลย์บอล และเทนนิส พร้อมด้วยฟิตเนสเซนเตอร์
- กิจกรรมทางน้ำต่างๆ ตั้งแต่ดำน้ำไปจนถึงล่องเรือ
- บริการสปาและทรีตเมนต์อย่างครบวงจร
- Sky Bar บาร์ลอยน้ำสำหรับนั่งดูดาวยามค่ำคืน และมีกล้องโทรทรรศน์ให้ใช้ชมดาวอีกด้วย (ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ)
- บริการจัดงานแต่งงาน + บริการสุดพิเศษสำหรับคู่รักที่ไปฮันนีมูน อาทิเช่นชมภาพยนตร์ใต้แสงดาว นั่งเรือยอร์ชสุดหรู ฯลฯ
- Kids Club
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจมาตรฐานของที่นี่คือ Bed & Breakfast ซึ่งจะรวมอาหารเช้าที่ห้องอาหารหลักของโรงแรม โดยจะมีให้อยู่แล้วในทุกการจอง แต่คุณสามารถอัพเกรดได้ด้วยเช่นกัน โดยมีสองแพลนให้เลือกดังต่อไปนี้
- Half-board (ประมาณ $102 ต่อคนต่อวัน) – เพิ่มอาหารมื้อเย็น (ทานได้ในร้านที่กำหนดไว้เท่านั้น)
- Best of Maldives (ประมาณ $134 ต่อคนต่อวัน) – เพิ่มอาหารมื้อเย็นสำหรับทุกวัน อาหารเที่ยง 1 วันที่ร้านอาหารลอยน้ำอย่าง SKY และได้กิจกรรมอย่างดำน้ำตื้นกับแมนต้าเรย์ หรือว่าล่องเรือชมโลมา
โดยส่วนตัวผมมองว่าแพคเกจ Best of Maldives คุ้มค่ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ เพราะได้อาหารเที่ยงเพิ่ม 1 มื้อ และกิจกรรมเสริมที่มูลค่าเกินกว่า $32 ที่จ่ายไปอยู่แล้ว นอกจากนี้ตัวแพคเกจอาหารเองถือว่าราคาไม่สูงด้วยเมื่อเทียบกับที่อื่น ทำให้ผมมองว่าคุ้มค่าสำหรับการอัพเกรดครับ
สรุป
จุดเด่น
Anantara Kihavah Maldives Villas
รีสอร์ทชั้นนำของบา อะทอลล์โดยเครือโรงแรมจากไทย บรรยากาศในที่พักจึงอบอุ่นและครบครันไปด้วยสิ่งที่คนไทยคุ้นเคย ตัวห้องพักกว้างขวาง สวยงาม สะอาด และครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านกิจกรรมและร้านอาหารก็หลากหลาย โดยเฉพาะร้านอาหารใต้น้ำอย่าง SEA ที่ถือเป็นไฮไลท์ของรีสอร์ท
ด้านแพคเกจอาหารก็ราคาเหมาะสม ส่วนการบริการนั้นเป็นระดับ world-class เพราะฉะนั้นเป็นรีสอร์ทที่น่าสนใจมากอีกแห่งหนึ่งเลยครับ
7. The Westin Maldives Miriandhoo Resort
The Westin Maldives Miriandhoo Resort เป็นโรงแรมแบรนด์ The Westin ของเครือ Marriott ซึ่งคนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี โรงแรมอยู่ทางตอนใต้ของบา อะทอลล์ ซึ่งเป็น Biosphere Reserve ขององค์การยูเนสโก เพราะฉะนั้นพื้นที่บริเวณนี้จึงอุดมไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด และทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง
- ที่ตั้ง: Miriandhoo Island, 06060, Maldives
- Check-in/out: 15.00/12.00
- ค่า Seaplane: เริ่มต้นที่ 500 USD สำหรับตั๋วไปกลับ
ห้องพัก
แม้ว่าจะเป็นรีสอร์ทกลางมหาสมุทรอินเดีย แต่ที่นี่ก็ไม่ได้ทิ้งคอนเซปต์แบบร่วมสมัยที่พบเห็นได้ในโรงแรมเครือนี้ทุกแห่ง เพราะฉะนั้นห้องพักของคุณจะยังคงความทันสมัย และสวยงามมีสไตล์ในรูปแบบที่คุณคุ้นเคยครับ
รูปแบบห้องที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Beach Villa – 140 ตร.ม.
- Deluxe Beach Villa – 164 ตร.ม.
- Overwater Villa – 194 ตร.ม. วิลล่าที่ตั้งอยู่เหนือทะเล เห็นวิวมหาสมุทรอินเดียได้อย่างพาโนรามา
- Two Bedroom Villa – 294 ตร.ม.
- Heavenly Beach Residence – 508 ตร.ม.
สำหรับห้องพักระดับเริ่มต้นของที่นี่จะกว้างขวางใกล้เคียงกับรีสอร์ทระดับ 5 ดาวอื่นๆ แต่ห้องระดับสูงขึ้นมาจะไม่ใหญ่เท่าไรนัก และที่สำคัญที่สุดคือ ทางโรงแรมจะไม่มีห้องใหญ่เกิน 600 ตร.ม.สำหรับครอบครัวใหญ่เหมือนกับรีสอร์ทแห่งอื่น ทว่าถ้าพิจารณาถึงค่าห้องต่อคืนที่ย่อมเยากว่าอย่างชัดเจนแล้ว ผมมองว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลครับ
แต่ละห้องพักจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัว อุปกรณ์อาบน้ำอย่างดี ห้องนั่งเล่น เครื่องทำกาแฟ โต๊ะทำงาน รองเท้าแตะ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้คุณพักผ่อนและทำงานได้อย่างราบรื่นครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหารและบาร์ 4 แห่ง
- ฟิตเนสเซนเตอร์ เส้นทางสำหรับวิ่ง คอร์ดเทนนิส โยคะ และสระว่ายน้ำแบบ outdoor
- Lounge หลายแห่งสำหรับนั่งเล่นชมวิว
- บริการสปาแบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงซาวน่า อบไอน้ำ บริการนวดและทรีตเมนต์
- Kids’ Club
- กิจกรรมทางน้ำต่างๆ (ฟรีเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้น)
- เรียนรู้กับนักชีววิทยาทางทะเล
- บริการประชุม สัมมนา และจัดอีเวนต์
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจพื้นฐานของรีสอร์ทคือ Bed & Breakfast (รวมอยู่แล้วไม่ต้องจ่ายเพิ่ม) ซึ่งจะรวมเฉพาะอาหารเช้าที่ห้องอาหารหลักเท่านั้น แต่แน่นอนว่าคุณสามารถอัพเกรดแพคเกจได้ในอีก 2 รูปแบบนั่นคือ
Full-Board Feast – $255 ต่อคนต่อวัน แพคเกจนี้จะเพิ่งอาหารเที่ยงและเย็น โดยจะเลือกทานได้ที่ห้องอาหารหลัก (Island Kitchen) และ Hawker เท่านั้น บาร์และร้านอย่าง The Pearl จะไม่สามารถใช้บริการได้ นอกจากนี้จะเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการ Fitness Studio ครับ ทว่าแพคเกจนี้จะไม่รวมเครื่องดื่มครับ
Ultimate All-Inclusive – $460 ต่อคนต่อวัน แพคเกจนี้คือแพค Full-Board Feast ที่เพิ่มอาหารพิเศษในส่วนของ EatWell ให้คุณเลือกทานได้ นอกจากนี้จะรวมเครื่องดื่มแบบไม่จำกัดที่คุณสั่งจากร้านอาหารและบาร์ของโรงแรมครับ
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าแพคเกจ Full-Board Feast ถือว่าคุ้มค่าดี เพราะเพิ่มมื้ออาหารให้ถึงสองมื้อ และราคาไม่ได้แพงเกินไปนัก แต่แพลน Ultimate นั้น ผมมองว่าราคาสูงเกินไป เนื่องจากไม่ได้เพิ่มอะไรมากเข้ามาเท่าไรนักด้วยครับ
สรุป
จุดเด่น
The Westin Maldives Miriandhoo Resort
รีสอร์ทชั้นยอดจากเครือโรงแรมที่คุณคุ้นเคย ห้องพักของที่นี่อาจจะไม่ได้มีให้เลือกเป็น collection เหมือนกับที่อื่นๆ แต่ก็สะอาด กว้างขวาง และมี facilities ชั้นเลิศอย่างสระว่ายน้ำส่วนตัว ส่วนเรื่องกิจกรรมนั้นก็มีให้หลากหลาย แต่สิ่งที่ผู้เข้าพักกล่าวถึงมากที่สุดน่าจะเป็นการดำน้ำตื้นที่มีสัตว์น้ำให้ชมมากมายครับ
ส่วนเรื่องอาหารการกินและการบริการนั้นล้วนแต่อยู่ในระดับดีมาก แต่ที่โดดเด่นคือราคาต่อคืนที่ถูกกว่ารีสอร์ท 5 ดาวอื่นๆ อย่างชัดเจน ทำให้เป็นรีสอร์ทที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับใครที่ไม่อยากจ่ายแพงเกินไปครับ
8. Vakkaru Maldives
Vakkaru Maldives เป็นอีกหนึ่งรีสอร์ทของบา อะทอลล์ที่ตั้งอยู่ในเขต UNESCO Biosphere Reserve โดยตัวรีสอร์ทตั้งอยู่เกาะปะการังส่วนตัวที่มีหาดทรายสีขาวตลอดทั่งทั้งเกาะ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ หรือว่าความสวยงามของทัศนียภาพครับ
จุดเด่นอีกอย่างของที่นี่คือบนเกาะจะมีต้นมะพร้าวมากถึง 2,300 ต้น ด้านในย่อมร่มรื่นมากเป็นพิเศษ และบรรยากาศดีตามบริบทของเกาะสวรรค์ทุกอย่างครับ
- ที่ตั้ง: Vakkaru Island Baa Atoll, 20301, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 950 USD
ห้องพัก
เช่นเดียวกับรีสอร์ทอื่นๆ รูปแบบห้องพักของที่นี่จะเป็นวิลล่าชายหาด หรือวิลล่าลอยน้ำ เพราะฉะนั้นคุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการบรรยากาศแบบใด ส่วนดีไซน์จะเป็นแบบร่วมสมัยที่ผสมผสานกับเสน่ห์วัฒนธรรมชาวเกาะของประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทออกแบบชื่อดังของประเทศเนเธอร์แลนด์ครับ
รูปแบบห้องพักที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Beach Villa with Plunge Pool – 115 ตร.ม. วิลล่าชายหาดที่มีสระขนาดเล็ก (12 ตารางเมตร) ที่เพียงพอสำหรับการแช่ตัว เช่นเดียวกับจากุชชี่แบบ open-air ที่ให้คุณแช่น้ำพร้อมกับรับลมทะเลจากชายหาดครับ
- Overwater Villa – 140 ตร.ม. วิลล่ากลางน้ำที่มีทางลงไปเล่นน้ำในลากูน รวมไปถึงดำน้ำตื้นในอย่างอิสระ ห้องนี้จะไม่มีสระให้แช่ตัว แต่จะมีห้องน้ำที่มีกระจกบานใหญ่แบบ floor-to-ceiling ซึ่งคุณสามารถแช่น้ำในอ่าง และชมวิวสวยๆ ของลากูนได้
- Overwater Pool Villa – 165 ตร.ม. โครงสร้างห้องเหมือนกับห้องด้านบน แต่จะเพิ่มสระว่ายน้ำแบบ Infinity Pool ขนาดเล็ก (พื้นที่ประมาณ 24 ตร.ม. ถือว่าพอว่ายเล่นได้ครับ)
- Beach Pool Villa – 250 ตร.ม. เวอร์ชันอัพเกรดของ Beach Villa ด้านบน โดยจะเพิ่มพื้นที่ใช้สอย และมีสระน้ำที่ใหญ่ขึ้นครับ
- One Bedroom Over Water Pool Residence – 310 ตร.ม. เวอร์ชันอัพเกรดของ Overwater Pool Villa โดยสระว่ายน้ำจะใหญ่ขึ้นเป็น 50 ตร.ม. และมีพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้นด้วย
- Beach Pool Residence – 240-900 ตร.ม. วิลล่าแบบ 1-4 ห้องที่ตั้งอยู่บนชายหาดขาวสะอาด สระว่ายน้ำของแต่ละห้องจะใหญ่กว่าวิลล่าทั่วไป เช่นเดียวกับลานขนาดใหญ่สำหรับนั่งเล่นและทำกิจกรรมต่างๆ
- The Vakkaru Over Water Residence – 950 ตร.ม. วิลล่าระดับ signature ของทางรีสอร์ท เพราะว่านี่คือหนึ่งในวิลล่ากลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะมัลดีฟส์ ด้านในมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ (55 ตร.ม.) และสระขนาดเล็ก (12 ตร.ม.) นอกจากนี้ห้องนี้ยังได้บริการพิเศษเหนือกว่าห้องอื่นๆ อาทิเช่น บริการทรีตเมนต์ฟรี 60 นาทีสำหรับผู้เข้าพักทุกคนครับ
พื้นที่ใช้สอยของวิลล่าแต่ละหลังอาจจะไม่ได้หวือหวาเหมือนกับรีสอร์ทบางแห่ง แต่ก็เกินพอสำหรับคณะส่วนใหญ่ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกเองก็ครบเครื่อง ไม่ว่าเป็นระเบียงหรือลานสำหรับชมวิวชายหาดหรือมหาสมุทร อุปกรณ์อาบน้ำอย่างดี Smart TV ไปจนถึงห้องอ่านหนังสือและทำงานครับ
ในส่วนของการบริการนั้น ทางโรงแรมจะจัดสรร butler ส่วนตัวให้กับทุกห้องพัก เพราะฉะนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่าจะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด 24 ชั่วโมงครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหารและบาร์รวม 8 แห่ง + Wine Cellar ขนาดใหญ่ที่ได้รางวัลมาแล้ว
- บริการสปาและทรีตเมนต์ครบวงจร (ซาวน่า อบไอน้ำ นวด โยคะ สระน้ำเย็น ฯลฯ)
- โต๊ะปิงปอง คอร์ดเทนนิส ห้องฟิตเนส (เห็นวิวสวยๆ แบบพาโนรามา) สนามฟุตบอลและวอลเลย์บอล
- สระว่ายน้ำกลาง (Main Pool) กีฬาและกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ (รวมถึงดำน้ำลึก เรียนดำน้ำ เช่าเรือยอร์ช ฯลฯ แต่ส่วนมากจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)
- ห้องสมุดและ Kids’ Club
- บริการพิเศษสำหรับคู่รักที่ไปฮันนีมูน อาทิเช่น Floating Breakfast, Jungle Cinema (ชมภาพยนตร์กลางสวนป่า) หรือจัดมื้อค่ำสุดพิเศษที่จะเป็นความทรงจำดีๆ ให้กับคุณและคู่รักตลอดไปครับ
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
ทุกการจองจะรวมแพคเกจมาตรฐานอย่าง Bed & Breakfast ซึ่งจะรวมอาหารเช้าที่ห้องอาหารหลักโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม สำหรับการอัพเกรดของที่นี่นั้นจะไม่มี แต่จะมีแพคเกจพิเศษสำหรับผู้เข้าพักที่พักเกิน 6 คืนขึ้นไปเท่านั้น โดยแพคเกจนี้นอกจากไม่ต้องจ่ายเพิ่มแล้ว ค่าห้องของคุณยังลดไปประมาณ 25% คุณยังจะได้อาหารเย็นฟรีอีกด้วยครับ
สรุป
จุดเด่น
Vakkaru Maldives
รีสอร์ทระดับ 5 ดาวที่เป็นตัวเลือกอันยอดเยี่ยม ตั้งแต่บรรยากาศอันเขียวชอุ่มของป่ามะพร้าวที่ให้ความสดชื่นและผ่อนคลายตั้งแต่แรกเริ่มที่คุณถึงที่พัก ไปจนถึงห้องพักอันกว้างขวางที่ได้รับการรังสรรค์อย่างดีให้ส่งต่อการพักผ่อนที่วิเศษสุดกับผู้เข้าพัก ส่วนกิจกรรมที่ทางรีสอร์ทนั้นมีหลากหลาย จนเรียกได้ว่ามีให้คุณได้ทำจนเหนื่อยล้า ส่วนอาหารและการบริการอยู่ในระดับดีเลิศด้วยครับ
9. Dusit Thani Maldives
Dusit Thani Maldives เป็นโรงแรมในเครือ Dusit อีกหนึ่งเครือโรงแรมจากประเทศไทยที่ไปฉายแสงที่ประเทศมัลดีฟส์ และเป็นหนึ่งในโรงแรมชั้นนำของประเทศด้วยครับ ตัวโรงแรมตั้งอยู่ใกล้กับ Hanifaru Bay สถานที่รวมตัวของเหล่าแมนต้าเรย์ในช่วงกลางปี ทำให้มีโอกาสไม่น้อยที่คุณจะได้ว่ายน้ำกับสัตว์น้ำเหล่านี้ครับ
- ที่ตั้ง: Mudhdhoo Island, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 500-700 USD โดยมีให้เลือกสองแบบนั่นคือ Seaplane (700 USD) ไปลงที่รีสอร์ทโดยตรง หรือว่านั่งเครื่องบินเล็กไปลงสนามบินท้องถิ่นแล้วต่อเรือ (500 USD) ครับ แบบหลังจะถูกกว่าถึง 200 USD เลยทีเดียว
ห้องพัก
ห้องพักแต่ละห้องจะใช้คอนเซปต์ฟิวชั่นระหว่างการออกแบบสไตล์ไทย ควบคู่ไปกับ contemporary design ทำให้โดยรวมแล้ววิลล่าแต่ละหลังสวยงามและมีเสน่ห์อย่างยิ่งเลยครับ รูปแบบห้องที่มีให้จองมีดังต่อไปนี้
- Beach Villa/Beach Plunge Pool Villa/Beachfront Pool Villa – 122 ตร.ม. ทั้งสามห้องตั้งอยู่บนชายหาด แต่สองห้องหลังจะมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กแบบส่วนตัว
- Waterfront Villa – 150 ตร.ม. วิลล่าแบบพิเศษ เพราะตั้งอยู่บนทะเลและหันหน้าออกไปทางลากูน ซึ่งคุณสามารถลงไปดำน้ำตื้นโดยตรง แต่ด้านหลังนั้นจะเป็นผืนป่า เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่วิลล่ากลางน้ำในทางปฏิบัติครับ
- Overwater Pool Villa – 180 ตร.ม. วิลล่ากลางน้ำโดยมีจุดเด่นที่มี lounge area ทั้งด้านในและด้านนอกให้นั่งเล่นชมวิว
- Two Bedrooms Beach Pool Villa – 262 ตร.ม. – เวอร์ชันอัพเกรดของ Beach Pool Villa โดยเพิ่มห้องนอนเข้ามาอีกแห่ง เช่นเดียวกับสวนส่วนตัวที่เพิ่มความร่มรื่น
- Two Bedrooms Overwater Pool Pavilion – 370 ตร.ม. วิลล่าแบบกลางน้ำที่ได้รับการยกระดับเป็นสองห้องนอน เพิ่มเติมด้วยครัว และ wine cellar เช่นเดียวกับระเบียงขนาดใหญ่
- Two/Three Bedrooms Beach Pool Residence – 570/690 ตร.ม. วิลล่าแบบสองชั้นที่มี 2 หรือ 3 ห้องนอน ด้านในมีสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาดใหญ่
วิลล่าแต่ละหลังถือว่ากว้างขวางสะดวกสบาย จริงอยู่ว่าขนาดอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับที่พักระดับ luxury บางแห่ง แต่ก็เพียงพอสำหรับคณะส่วนใหญ่อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นถือว่าครบเครื่อง ตั้งแต่สระว่ายน้ำส่วนตัว (ยกเว้น Beach Villa ที่จะไม่มี) เครื่องทำกาแฟ มินิบาร์ ระเบียงขนาดใหญ่สำหรับนั่งเล่นผ่อนคลายอิริยาบถ อุปกรณ์อาบน้ำ Smart TV ขนาด 55 นิ้ว ฯลฯ
ทุกห้องพักจะได้รับการจัดสรร butler ที่ดูแลคุณอย่างใกล้ชิด แต่บริการนี้จะไม่ครอบคลุมช่วงกลางดึกและเช้าตรู่ (เที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า) ครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหารและบาร์รวม 6 แห่ง พร้อมด้วยบริการ Floating Breakfast และ Borderless Dining (รับประทานแบบริมหาด บนลากูน หรือจัดปิกนิกและ BBQ)
- ห้องฟิตเนส คอร์ดเทนนิส สระว่ายน้ำกลางแจ้ง
- สปา โยคะ + บริการนวดและทรีตเมนต์
- Ocean Dive Center ดำน้ำลึก + สามารถเรียนและรับใบอนุญาตของ PADI ได้เพื่อที่คุณจะดำน้ำได้ทั่วโลก
- กิจกรรมทางน้ำต่างๆ เช่นดำน้ำชมแมนต้าเรย์ที่ Hanifaru Bay หรือพายเรือ
- บริการจัดงานแต่งงาน และกิจกรรมพิเศษสำหรับคู่รัก
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจมาตรฐานของที่นี่คือ Bed & Breakfast นั่นคือจะมีอาหารเช้าในการจองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่คุณสามารถจ่าย add-on เพื่อให้แพคเกจครอบคลุมสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากขึ้นได้ครับ
- Half-board ($260 ต่อคนต่อวัน) – เพิ่มอาหารเย็นเข้าไปในแพคเกจ ไม่รวมเครื่องดื่ม
- Full-Board ($340 ต่อคนต่อวัน) – ครอบคลุมอาหารทุกมื้อ ไม่รวมเครื่องดื่ม
- All-Inclusive ($460 ต่อคนต่อวัน) – ครอบคลุมอาหารทุกมื้อและเครื่องดื่มทุกประเภท
ราคาในทุกแพคเกจถือว่าค่อนข้างสูง ทว่าจากที่ผมตรวจสอบเมนูของทุกร้านอาหารของรีสอร์ทแล้ว ผมมองว่าค่อนข้างยุติธรรม โดยไม่ได้สูงเวอร์เกินไป ราคาจะประมาณร้านระดับกลางถึงสูงในเมืองใหญ่ของยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถ้าโดยทั่วไปแล้ว คุณทานไม่เยอะนัก ผมมองว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องอัพเกรดก็ได้ครับ
สรุป
จุดเด่น
Dusit Thani Maldives
รีสอร์ทชั้นนำจากเครือจากประเทศไทย จุดเด่นสำคัญอย่างแรกคือใกล้กับ Hanifaru Bay ทำให้ใต้ทะเลโดยรอบอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ส่วนห้องพักก็กว้างขวาง สง่างามตามการตบแต่งแบบไทยที่เราคุ้นเคย ส่วนกิจกรรมในโรงแรมนั้นมีหลากหลาย เช่นเดียวกับร้านอาหารต่างๆ ทำให้คุณยากที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ขณะที่การบริการ คุณจะมี butler ส่วนตัวคอยดูแลในทุกบริบท (ยกเว้นในช่วงดึกและเช้าตรู่)
ทั้งหมดนี้คุณจะได้รับในราคาที่ไม่ได้สูงเท่ารีสอร์ท 5-6 ดาวอื่นๆ ทำให้โดยรวมแล้วน่าสนใจมากครับ
10. Milaidhoo Maldives
Milaidhoo Maldives เป็นรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาวที่ตั้งอยู่ใน UNESCO Biosphere Reserve โดยที่นี่จะมีจุดเด่นที่แนวปะการังจะอยู่รายล้อมเกาะส่วนตัวของโรงแรม ทำให้อุดมไปด้วยสัตว์น้ำไม่ว่าจะเป็นปลาน้อยและปลาใหญ่ที่ผลัดกันมาให้คุณชมอย่างอิ่มใจ ใกล้กับโรงแรมจึงเป็นจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นดำน้ำตื้นและลึกครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ต่างจากที่อื่นคือ ที่นี่จะไม่รับผู้เข้าพักที่อายุน้อยกว่า 9 ขวบ ทำให้เป็นตัวเลือกอันยอดเยี่ยมกับคู่รักที่มาฮันนีมูน และต้องการความสงบในการพักผ่อนครับ
- ที่ตั้ง: Milaidhoo Island, 1, 20002, Maldives
- Check-in/out: 14.00/12.00
- ค่า Seaplane: 829 USD
ห้องพัก
วิลล่าของที่นี่จะได้รับการดีไซน์ในสไตล์ Maldivian โดยมีองค์ประกอบหลักคือไม้ ผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์แนวร่วมสมัยแบบ custom-made เช่นเดียวกับผลงานศิลปะพื้นเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ทุกหลังจะมีเพดานสูงที่เพิ่มความโล่งสบายในทุกช่วงเวลา แถมยังสว่างด้วย เพราะแสงแดดจะเข้าถึงได้แทบทุกส่วนของห้องพักครับ
ตัวเลือกห้องพักของที่นี่จะมีแค่ 4 แบบเท่านั้น โดยประกอบด้วยดังต่อไปนี้
- Water Villa with Private Pool – 245 ตร.ม.
- Beach Villa with Private Pool – 290 ตร.ม.
- Beach Residence with Private Pool – 490 ตร.ม.
- Two Bedroom Ocean Residence with Private Pool – 564 ตร.ม. ห้องนี้มีจุดเด่นตรงที่คุณสามารถเปิดส่วนหนึ่งของห้องน้ำในวิลล่าเพื่อให้แสงแดดเข้ามาและชมวิวได้ เช่นเดียวกับห้องฟิตเนสส่วนตัว ห้องนี้เป็นห้องที่ได้รับความนิยม และชนะรางวัลมาแล้วมากมายครับ
วิลล่าทุกห้องจะมาพร้อมกับสระว่ายน้ำส่วนตัวแบบ infinity pool ขนาดใหญ่ โดยขนาดเริ่มต้นอยู่ที่ 36 ตร.ม. สำหรับ Beach Villa แต่ถ้าเป็นห้องระดับ Residence จะเพิ่มเป็น 60 ตร.ม.เลยครับ
ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อาบน้ำของแบรนด์ Acqua di Parma, Smart TV พร้อมระบบ Streaming, ห้องนั่งเล่น เตียงสำหรับนั่งเล่นและนอนอาบแดด ไปจนถึงชากาแฟ และผลไม้ฟรีครับ
ในส่วนของการบริการ ทุกห้องจะได้รับการจัดสรร butler ที่ดูแลทุกบริบทตลอดเวลาที่คุณเข้าพัก เช่นเดียวกับ turndown service ในช่วงเย็น แต่สำหรับห้องระดับ Residence นั้นจะได้ benefit เพิ่มดังต่อไปนี้
- บริการซักผ้า (ให้ซักได้ไม่จำกัดชิ้น ซึ่งจะต่างจากที่อื่นที่ให้แค่ 2-4 ชิ้นต่อวัน นอกจากนี้มีบริการซักแห้งด้วย)
- ล่องเรือ 3 ชั่วโมง ฟรี
- ได้ Private Dinner ฟรีที่ชายหาด 1 ครั้งต่อการจอง
- Early Checkin/Late Checkout ได้
- Private Cinema ฟรี
- ของขวัญพิเศษตอนเช็คอินและเช็คเอาท์
สำหรับเรื่องขนาดนั้น แต่ละห้องพักถือว่ากว้างขวางสมกับเป็นรีสอร์ทชั้นนำ ทวาที่นี่จะไม่มีวิลล่าระดับ ultra luxury หรือว่าระดับ 3 ห้องนอนขึ้นไปให้จอง ถ้าคุณอยากได้วิลล่าสำหรับคณะขนาดใหญ่ ผมมองว่าที่อื่นน่าจะตอบโจทย์มากกว่าครับ
Facilities และบริการอื่นๆ
- ร้านอาหารและบาร์ 6 แห่ง
- สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องฟิตเนส และ Games Room
- กิจกรรมทางน้ำ ตั้งแต่ดำน้ำตึ้น/ลึก กีฬาทางน้ำ เรียนรู้ชีววิทยาทางทะเลกับผู้เชี่ยวชาญ ตกปลา ฯลฯ
- บริการสปาแบบครบวงจร
- เข้า Airport Lounge ของทางโรงแรมได้ฟรี
- บริการจัดอีเวนต์ และโอกาสพิเศษ อาทิเช่นฮันนีมูน
เงื่อนไขแพคเกจอาหารของรีสอร์ท
แพคเกจพื้นฐานของรีสอร์ทแห่งนี้คือ Bed & Breakfast ซึ่งรวมอยู่แล้วในทุกการจอง แต่คุณสามารถอัพเกรดเป็นแพคเกจต่อไปนี้ได้ครับ
- Half Board ($132 ต่อคนต่อวัน) – เพิ่มอาหารเย็นที่ The Ocean Restaurant และส่วนลด $65 สำหรับอาหารเย็นที่ห้องอื่นๆ
- Summer Escapes หรือโปรพิเศษในช่วงอื่นๆ ของปี ($202 ต่อคนต่อวัน) – เหมือนกับ Half Board แต่จะได้ Course Dinner ที่ร้านอาหาร Ba’Theli ทุกๆ ห้าวัน พร้อมด้วยอีก 1 มื้อเย็นที่ชายหาด เช่นเดียวกับล่องเรือฟรี เรียนโยคะฟรี และปิดท้ายด้วย Private Cinema ฟรีครับ
เนื่องจาก Half Board นั้นราคาจัดว่าไม่ได้สูงเกินไป ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว แต่ถ้าเป็นไปได้โปรอย่าง Summer Escapes นั้นจะคุ้มค่ากว่ามาก เพราะนอกจากมื้ออาหารจะพรีเมียมกว่าแล้ว คุณยังจะได้กิจกรรมอีกหลายอย่างโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มครับ ถึงกระนั้นแพคเกจทั้งสองจะไม่รวมเครื่องดื่มต่างๆ ครับ
อย่างไรก็ดี benefit ของโปรพิเศษนั้นจะทับซ้อนกับสิทธิพิเศษของห้องแบบ Residence อยู่แล้วแทบทั้งหมด ดังนั้นถ้าคุณจองห้องระดับดังกล่าวอยู่แล้ว คุณอาจจะเลือกอัพเกรดแค่ Half-board เท่านั้นครับ
สรุป
จุดเด่น
Milaidhoo Maldives
รีสอร์ทอันเงียบสงบกลางมหาสมุทรอินเดียที่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคู่รัก และใครก็ตามที่หลงรักโลกใต้ทะเล วิลล่าแต่ละห้องของที่นี่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีที่ช่วยให้คุณพักผ่อนได้อย่างดีที่สุด ภายใต้บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ตัวห้องเองก็กว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ทุกห้อง
ด้านกิจกรรมและอาหารก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ขณะที่การบริการของพนักงานก็ใกล้ชิดและเอาใจใส่เป็นอย่างดีอีกด้วยครับ
11. ที่พักอื่นๆ
แม้ว่าบา อะทอลล์นั้นจะมีที่พักระดับ luxury ไปจนถึง ultra luxury แต่ก็มีที่พักระดับรองลงมาให้เลือกด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าความสมบูรณ์แบบของที่พัก อาหาร และกิจกรรมนั้นไม่อาจจะเปรียบกับที่พักด้านบนได้ แต่ในแง่ของราคานั้นก็ถือว่าประหยัดลงมา 70% หรือมากกว่า แห่งที่ผมมองว่าน่าสนใจได้แก่
- Coco Palm Dhuni Kolhu, Maldives – โรงแรมระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวบริเวณฝั่งใต้ของบา อะทอลล์ และอยู่ในพื้นที่ของ Biosphere Reserve เช่นเดียวกับที่พักหลายแห่งในบทความนี้ ทำให้เป็นจุดดำน้ำตื้นที่ดีมาก ตัวห้องพักนั้นเป็นวิลล่าทั้งหมด และมีขนาดเริ่มต้นที่ 87 ตร.ม. ซึ่งถือว่าใหญ่ทีเดียวครับ
- Dhigufaru Island Resort – รีสอร์ทราคาไม่สูงที่ตั้งอยู่ใน UNESCO Biosphere Reserve แต่ราคาที่ถูกลงมาก็แลกกับห้องพักที่ค่อนข้างเล็ก (เริ่มต้นที่ประมาณ 50 ตร.ม.) แต่กิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังอยู่ในระดับดีครับ
- Royal Island Resort & Spa – หนึ่งในตัวเลือกที่นักเดินทางจำนวนมากมองว่าคุ้มค่า เพราะว่าทุกการจองจะเป็นแบบ All Inclusive (แต่ไม่รวมเครื่องดื่ม) แถมราคาต่อคืนยังไม่สูง และสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน แต่ตัวห้องค่อนข้างเล็ก เพราะเริ่มต้นที่ 57 ตร.ม.ครับ