เจราช (Jerash) หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่าเมืองพันเสาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเป็นลำดับสองในประเทศจอร์แดน ความนิยมของเจราชนั้นด้อยกว่าเพียงมหานครเพตราของชาวนาบาเทียนเพียงแห่งเดียวเท่านั้นครับ
จะว่าไปแล้วเจราชก็มีความเหมือนกับเพตราอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือทั้งสองแห่งเป็นเมืองโบราณเหมือนกัน แต่เจราชนั้นเป็นเมืองโรมันขณะที่เพตรานั้นเป็นเมืองนาบาเทียนผสมกับโรมันครับ ดังนั้นสถาปัตยกรรมจะเห็นชัดว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้เจราชโดดเด่นก็คือ เจราชเป็นเมืองโรมันนอกประเทศอิตาลีที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด และขนาดยังใหญ่เป็นลำดับต้นๆ อีกด้วย ในฐานะที่ผมรักประวัติศาสตร์และเคยเดินทางไปเจราชแล้ว ผมมองว่าเจราชเป็นอีกสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด โดยเฉพาะถ้าคุณชอบวัฒนธรรมกรีก-โรมัน หรือชอบเล่นเกมอย่าง Assassin Creed: Odyssey ครับ
เราไปดูกันดีกว่าไฮไลท์ของเจราชมีอะไรบ้างครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความนี้มี Affiliate Links หรือแปลว่าผมอาจจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองทัวร์หรือบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ
ความเป็นมาของนครเจราช (Jerash)
เมืองเจราชตั้งอยู่ตอนเหนือของกรุงอัมมาน (คนละทิศกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอื่นๆ ของจอร์แดนอย่าง เพตรา ทะเลทรายวาดิรัม และอคาบา) โดยห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นย้อนไปได้ถึงอย่างน้อย 3,200 ปีก่อนคริสตกาล เพราะนักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบว่าใกล้กับตัวเมืองมีหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งที่แสดงถึงการลงหลักปักฐานของมนุษย์ในช่วงนั้นครับ
อย่างไรก็ดี กว่าจะเจราชจะกลายเป็นเมืองก็ลุเข้าช่วง 333 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว จารึกของเมืองได้ให้ข้อมูลว่าอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นผู้ให้กำเนิดเมืองนี้ โดยระหว่างที่พระองค์ทำสงครามกับอาณาจักรเปอร์เซีย ทหารมาซีโดเนียที่มีอายุและป่วยถูกส่งมาประจำการที่พื้นที่แห่งนี้ เจราชจึงกลายเป็นเมืองอย่างช้าๆ ในชื่อเกราซา (Gerasa) แต่ก็ยังไม่เจริญรุ่งเรืองมากนัก
ชาวโรมันได้ผนวกดินแดนแถบนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิในช่วง 63 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เจราชเจริญถึงขีดสุด สิ่งก่อสร้างแบบโรมันและถนนต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ เจราชกลายเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญถึงขนาดที่จักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrian) เคยเสด็จมาที่นี่ในช่วงปี ค.ศ.129 ครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 7 อาณาจักรโรมันตะวันออกได้พ่ายศึกต่อรัฐกาหลิบของชาวอาหรับ ดังนั้นชาวมุสลิมจึงได้ปกครองเมืองแห่งนี้สืบต่อมา ซึ่งชาวมุสลิมที่เข้ามาใหม่ได้อาศัยกับชาวเมืองเจราชเดิมที่เป็นคริสต์อย่างสันติสุข มัสยิดได้ถูกสร้างขึ้นมาหลายแห่งควบคู่ไปกับมหาวิหารและโบสถ์คริสต์ที่มีอยู่แล้วแต่เดิมครับ
อย่างไรก็ดีเจราชได้รับความเสียหายหนักมากเพราะแผ่นดินไหวในช่วงปี ค.ศ.749 ทำให้ตัวอาคารเก่าแก่พังทลายไปจำนวนมาก หลังจากนั้นเจราชก็สูญเสียความรุ่งเรืองไปอย่างถาวร และไม่เคยกลับไปสู่จุดเดิมได้อีกเลย
ตลอดช่วงหนึ่งพันปีต่อมา เจราชกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญใดๆ โดยในปี ค.ศ.1596 ทะเบียนสำมะโนครัวของจักรวรรดิออตโตมันได้บันทึกไว้ว่าเจราชมีผู้อยู่อาศัยแค่ 12 ครัวเรือนเท่านั้นเองครับ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 เจราชก็ได้ถูกลืมเลือนในหน้าประวัติศาสตร์ไปอย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานในช่วงนั้นบันทึกไว้ว่าเจราชเป็นซากปรักหักพังที่ปราศจากผู้อยู่อาศัยถาวร
จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 20 นักโบราณคดีได้ค้นพบเจราชอีกครั้งหนึ่ง และตกตะลึงว่าเจราชอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวซากปรักหักพังที่ว่ายังหลงเหลือโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างแบบโรมันที่เคยยิ่งใหญ่ เจราชจึงเป็นแหล่งโบราณคดีชั้นนำของประเทศจอร์แดน ก่อนที่จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายแสนคนทุกปีครับ
และเพราะอานิสงส์ของการท่องเที่ยว เจราชได้กลายเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยอย่างถาวรอีกครั้งหนึ่ง โดยมีจำนวนประชากรอยู่ที่ 50,000 คนครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวเจราชทำอย่างไร
คุณสามารถเดินทางไปเจราชได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- รถบัส – นั่งรถจากสถานี North Station จากกรุงอัมมาน ค่ารถบัสจะอยู่ที่ 1 ดีนาร์ โดยคุณจะไปถึงเมืองในเวลา 45 นาทีครับ หลังจากนั้นแค่เดินไปหน่อยเดียวจากท่ารถก็ถึงแล้วครับ ข้อเสียคือบางครั้งคนขับจะรอจนคนในรถเต็มก่อนค่อยออกเดินทาง ทำให้คุณเสียเวลาโดยไม่จำเป็น
- เช่ารถขับ – การเช่ารถขับไปเที่ยวเจราชถือว่าง่ายดายและสะดวกสบาย ค่าเช่ารถในจอร์แดนเองก็ไม่แพงมากนักอีกด้วย
- นั่งแท็กซี่ – ตัวเลือกระดับพรีเมียมสำหรับการเดินทางไปยังเจราช ส่วนมากแล้วคนขับแท็กซี่จะอยากให้คุณจองแบบไปกลับกรุงอัมมานในราคา 40 ดีนาร์หรือประมาณ 2,000 บาท โดยคนขับจะรอคุณเที่ยวเมืองโบราณให้เสร็จ ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะพาคุณกลับมาส่งที่อัมมานครับ
คำแนะนำในการชมนครเจราช
จากประสบการณ์ที่ผมได้เดินทางไปมา ถ้าคุณไม่มีความรู้ดังกล่าวมาก่อนเลย คุณจะรู้สึกว่าเจราชไม่ค่อยมีอะไรนอกจากเสาโรมันเรียงรายกันไป
ดังนั้นนอกเสียจากว่าคุณมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ดีอยู่แล้ว ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ใช้บริการทัวร์พร้อมไกด์ท้องถิ่นครับ เพราะเขาจะได้อธิบายให้คุณทราบว่าจุดนี้ในเจราชมีความเป็นมาอย่างไรบ้างอย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยเพิ่มอรรถรสการเข้าชมอย่างมากเลยทีเดียว
การจองทัวร์นั้น คุณสามารถจองล่วงหน้าผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Viator ทัวร์เหล่านี้จะใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง (ซึ่งจะให้เวลามากกว่าทัวร์ไทยทั่วไป) และมักจะรวมค่าเดินทางไปกลับอัมมานไว้แล้วครับ แต่ก่อนจะจองต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ดีด้วยเช่นกัน เพราะว่าเป็นทัวร์ท้องถิ่นที่ไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยครับ
นอกจากนี้การไปเที่ยวเจราชจะต้องเดินเยอะมากๆ (พูดง่ายๆ คือไล่เดินดูทั้งเมืองครับ) คุณควรจะนำรองเท้าคุณภาพดีที่พร้อมเดินไปด้วย มิฉะนั้นอาจจะประสบปัญหาหนังถลอกจนหลุดเป็นแผ่นออกมาเหมือนผมได้ครับ
1. Hadrian’s Arch
ประตูโค้งเฮเดรียน หรือ Hadrian’s Arch เป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณจะได้เห็นเมื่อคุณก้าวย่างมาถึงเมืองโบราณแห่งนี้ โดยประตูนี้เป็นแบบโรมันซึ่งสูงถึง 21 เมตรและกว้างถึง 37 เมตร ซึ่งประตูนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก (จนสามารถบูรณะได้จนอยู่ในสภาพที่ดีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน)
ประตูนี้มีจุดเด่นคือมีเสาแบบโครินเธียนส์ 4 ต้นหน้าหลังที่ตั้งตระหง่านค้ำจุนตัวส่วนโค้งด้านบน บริเวณประตูจะมีภาษากรีกโบราณแกะสลักอยู่ ซึ่งมีความหมายว่าประตูนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกการเสด็จประพาสที่นี่ของจักรพรรดิเฮเดรียนครับ
2. South Theater
South Theater เป็นหนึ่งในสามโรงละครแบบโรมัน (Amphitheater) ในเมืองเจราช และมีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย ตอนที่ผมเข้าไปนั้น ผมจำได้ว่ารู้สึกตะลึงเบาๆ เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีโรงละครโรมันที่สมบูรณ์ขนาดนี้อยู่นอกยุโรปได้ครับ
จารึกที่พบในบริเวณสถานที่จริงให้ข้อมูลว่าตัวโรงละครสร้างขึ้นในช่วง ค.ศ.90 หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว โดยที่นี่สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสามพันคน (บ้างว่ามากถึง 4,700 คน) เลยทีเดียว หรือถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพก็ใกล้เคียงกับ Impact Thunder Dome ที่เมืองทองธานีครับ
ตัวที่นั่งในโรงละครแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยที่นั่งล่างสุด (ใกล้ผู้แสดงที่สุด) จะสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงของเมือง ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นของชนชั้นล่างครับ
ส่วนบริเวณเวทีหรือส่วนของผู้แสดงนั้นก็ยังอยู่ในสภาพดีในระดับหนึ่ง ในอดีตนั้นโซนนี้จะมีสองชั้น แต่ชั้นบนนั้นพังทลายจนเกินกว่าที่จะบูรณะได้ ทำให้เหลือแค่ชั้นล่างเท่านั้น อย่างไรก็ดีคุณยังสามารถเห็นประตูที่ได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามที่เหล่าผู้แสดงจะเดินออกมาพบกับผู้ชมครับ
3. Sanctuary of Zeus
ในอดีตก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่เข้ามานั้น เจราชเคยเป็นเมืองกรีกที่มีการบูชาเทพเจ้ากรีกอยู่ทั่วไป แน่นอนว่าที่นี่ย่อมมีมหาวิหารที่บูชาเทพเจ้าซุส ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดอยู่ด้วย นักโบราณคดีมองว่ามหาวิหารแห่งนี้อาจจะสร้างขึ้นก่อนหรือใกล้เคียงกับที่ชาวโรมันปกครองเจราชครับ
ตัวมหาวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาเหนือเมืองเจราชครับ ส่วนหลังคาของมหาวิหาร รวมไปถึงรูปปั้นเทพเจ้านั้นพังทลายไปหมดแล้ว แต่ยังคงหรือเสาและโครงที่สมบูรณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตกาลอยู่ครับ
4. Oval Plaza
Oval Plaza เป็นที่โล่งทรงวงรีที่ห้อมล้อมไปด้วยเสาทรงไอโอนิก (Ionic) ซึ่งน่าจะ้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารของเทพเจ้าซุสที่ผมแนะนำไปแล้วด้านบน ตรงกลางของพลาซ่าจะมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ครับ
ตอนที่ผมเดินทางไป ผมรู้สึกประทับใจกับการปูพื้นที่เรียบ สวยงาม และดูแข็งแกร่งคงทน เรียกได้ว่าเดินสบายกว่าทางเดินเท้าของกรุงเทพในปัจจุบันเสียอีกครับ
5. Cardo/Decumanus
Cardo/Decumanus เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเมืองเจราซอย่างไม่ต้องสงสัย ที่นี่คือถนนสองเส้นที่มีเสาแบบโครินเธียนส์เรียงรายกันไปตลอดทาง โดยถนนจากทิศเหนือไปทิศใต้มีความยาว 800 เมตรเรียกว่า Cardo (หรือ Cardo Maximus) ส่วนอีกถนนจากทิศตะวันตกไปตะวันออกความยาว 600 เมตรเรียกว่า Decumanus ครับ ส่วนจุดที่บรรจบกันตรงกลางเรียกว่า Tetrakionion
ตัวพื้นถนนที่คุณเดินไปนั้นเป็นหินปูนของเดิมอายุสองพันปีแบบ 100% ครับ และถ้าคุณสังเกตนี้คุณจะเห็นทางเดินเท้าและทางระบายน้ำอยู่ด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงถึงความยอดเยี่ยมทางด้านวิศวกรรมและการผังเมืองของชาวกรีก-โรมันครับ
ในอดีตสองฝั่งของถนนแห่งนี้เป็นร้านค้า และสถานที่ต่างๆ ที่เปิดเป็นสาธารณะให้ชาวเมืองมาใช้บริการ บริเวณนี้จึงเป็นถนนคนเดินที่สำคัญ อย่างจุดนัดพบของถนนสองเส้นอย่าง Tetrakionion นั้นในอดีตเคยมีรูปปั้นของเหล่าจักรพรรดิโรมันประดับอยู่บนแท่นครับ
ใกล้กับถนนสองเส้นนี้จะมีมัสยิดและบ้านของชาวมุสลิมในสมัยที่จักรวรรดิมุสลิมปกครองตั้งอยู่ด้วย โดยมัสยิดและอาคารบ้านเรือนนี้เก่าแก่กว่า 1.200 ปี ย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 8 เลยครับ
6. Macellum
Macellum ตั้งอยู่ปลายถนน Cardo ทางทิศใต้ ในอดีตที่นี่เคยทำหน้าที่เป็นตลาดอาหารของชาวเมือง ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานย้อมสีผ้าในเวลาต่อมา
ในปัจจุบันตัวโครงสร้างของอาคารยังเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสามากมาย และน้ำพุแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่บริเวณตรงกลางครับ
7. Sanctuary of Artemis
Sanctury of Artemis เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในเจราช ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เดินขึ้นไปชมแล้วครับว่าในอดีตที่นี่น่าจะสวยงามอลังการเพียงใด ตัวศาสนสถานประกอบด้วยส่วนสำคัญดังต่อไปนี้
- Propylaea Church – ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อกรีก-โรมัน แต่เวลาต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารในศาสนาคริสต์ขึ้นในพื้นที่เดิม หลังจากที่ศาสนากรีก-โรมันสูญสิ้นไปครับ
- West Propylaeum – จุดนี้เด่นชัดตรงที่มีเสาแบบโครินเธียนส์ที่สูงตระหง่านโดดเด่นอยู่สี่ต้น ในอดีตตรงนี้ใช้เป็นทางเข้ามหาวิหารครับ
- Temenos Courtyard – จุดที่สำคัญที่สุดและเป็นพื้นที่บวงสรวงหลักของมหาวิหาร และเป็นที่ตั้งของแท่นพิธีหลักครับ
- Temple of Artemis – ใกล้กับพื้นที่ด้านในจะมีอาคารหลังหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นวิหารสักการะเทพเจ้าอาร์เทมิส ที่นี่มีเสาโครินเธียนส์ที่สูงถึง 13 เมตร แต่จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่าวิหารนี้น่าจะไม่เคยสร้างจนเสร็จสิ้นครับ
8. Nymphaeum
Nymphaeum เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 โดยทำหน้าที่แหล่งเก็บน้ำที่สำคัญของตัวเมืองเจราชและน้ำพุให้ชาวเมืองมาผ่อนคลายความร้อนและความเหนื่อยล้าไปพร้อมๆ กัน โดยในอดีตนั้นตัวน้ำพุจะมีรูปปั้นสิงโตเจ็ดตัวและมีน้ำไหลออกจากปากของพวกมันแบบไม่มีวันหยุดลงสู่อ่างเบื้องล่างครับ
ตัวน้ำพุจะถูกโอบล้อมด้วยตัวอาคารสองชั้นที่ได้รับการตบแต่งอย่างสวยงาม โดยปัจจุบันตัวอาคารนี้ได้ถูกบูรณะจากซากปรักหักพังจนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างที่เห็นในปัจจุบันครับ
9. Hippodrome
ชาวโรมันนั้นชื่นชอบในการแข่งรถม้า ในอดีตที่นี่คือสนามรถม้าโรมันครับหรือที่เรียกว่า Hippodrome ครับ ทั้งนี้สนามแข่งรถม้าของเจราชนั้นถือว่าเล็กที่สุดถ้าเทียบกับที่อื่น (ที่เหลือมาถึงทุกวันนี้) แต่สภาพและความสมบูรณ์นั้นถือว่าเป็นอันดับ 1
ดังนั้นถ้าคุณอยากสัมผัสบรรยากาศสนามแข่งรถม้าโรมันแบบในภาพยนตร์ดังๆ อย่าง Ben-Hur ว่าเป็นอย่างไร ที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในที่ที่ดีที่สุดเลยครับ
ใกล้กับตัวสนามดังกล่าวมีโบสถ์คริสต์ตั้งอยู่ด้วยชื่อว่า Church of Marianos ซึ่งมีประวัติย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 6 (หลังจากที่ตัวสนามรถม้าเลิกใช้งานแล้ว) โดยพื้นโบสถ์มีโมเสกที่ยังอยู่ในสภาพดีและสวยงามอยู่ครับ
10. Cathedral Complex
Cathedral Complex เป็นศาสนสถานในศาสนาคริสต์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเจราช จุดสำคัญในศาสนสถานแห่งนี้ได้แก่
- Cathedral – มหาวิหารคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในนครแห่งนี้ โดยสร้างขึ้นทับพื้นที่ที่เคยเป็นวิหารบูชาเทพเจ้ากรีก-โรมัน (บ้างว่าไดโอนิซุส) ครับ จากการตรวจสอบของนักโบราณคดีพบว่าในโบสถ์เคยมีพื้นที่บูชาพระแม่มารีตั้งอยู่ครับ
- Church of St.Theodore – โบสถ์เก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 5 ซึ่งอุทิศให้กับนักบุญธีโอดอร์ ตัวโบสถ์มีการตบแต่งด้วยโมเสกอย่างสวยงาม และการเรียงหินก็ประณีตมากครับ
- Placcus Baths – โรงอาบน้ำที่เสร็จขึ้นโดยนักบวชคริสต์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 5 ครับ
11. North Theater
อีกหนึ่งโรงละครโรมันในเมืองเจราช ซึ่งมีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 2 เลยทีเดียว ช่วงแรกเคยใช้เป็นสถานที่นัดพบของกรมการเมือง แต่เวลาต่อมาก็ได้รับการขยายกลายเป็นโรงละครที่จุผู้ชมได้ประมาณ 1,600 คน หรือว่าใหญ่ประมาณเกือบครึ่งนึงของ North Theater เท่านั้นครับ
สำหรับที่นั่งของผู้ชมนั้นจะแบ่งเป็นสามส่วนตามชนชั้นเช่นเดิม ทั้งบริเวณส่วนของผู้ชมและผู้แสดงนั้นได้รับการตบแต่งอย่างดี อย่างบริเวณเวทีนั้นจะมีประตูใหญ่ถีง 3 จุดด้วยกัน และมีการแกะสลักรวมไปถึงภาพเขียนประดับประดาอย่างงดงามครับ
12. เข้าชมเทศกาลเจราช
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคมนั้น เมืองเจราชจะมีการจัดเทศกาลประจำปีอย่าง Jerash Festival ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ที่สุดของเมือง โดยจะมีการแสดงมากมายในสถานที่จริงอย่าง South Theater หรือ North Theater เป็นต้น ดังนั้นคุณจะได้ชมการแสดงดังกล่าวในบรรยากาศแบบดั้งเดิมครับ
References
- Universes in Universe (สนับสนุนโดย Jordan Tourism Board)
- Jerash – Jordan Tourism Board
- Tourist Jordan